หลังพยายามตามจีบอยู่พักใหญ่ตั้งแต่จบศึกฟุตบอลโลก 2022 ที่ กาตาร์ ในที่สุด เชลซี ก็สมหวังในช่วงโค้งสุดท้ายของตลาดหน้าหนาวปี 2023 ด้วยการคว้า เอ็นโซ่ เฟร์นานเดซ กองกลางตัวรับเนื้อหอมของ เบนฟิก้า ด้วยค่าตัวมากกกว่า 105 ล้านปอนด์
นี่เป็นตัวสถิติใหม่ของฟุตบอลอังกฤษ แซงหน้าตอนที่ แจ็ค กรีลิช ที่ย้ายจาก แอสตัน วิลล่า ไป แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมื่อซัมเมอร์ปี 2021 เรียบร้อย
กองกลางทีมชาติอาร์เจนติน่า เป็นส่วนสำคัญในการพาบ้านเกิดคว้าแชมป์โลก เมื่อปลายปีก่อน และกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาได้รับความสนใจอย่างมากจากสโมสรทั่วยุโรป ก่อนเป็น ‘สิงห์บลูส์’ จะคว้าเขาไปร่วมทีม
ทว่าคำถามที่เกิดขึ้นหลังจากนี้ก็คือ เพราะอะไรกันทำให้ ทีมจากลอนดอน ยอมทุ่มเงินเป็นสถิติแดนผู้ดี เพื่อคว้าแข้งวัย 22 ปีมาร่วมทีมช่วงกลางซีซั่น ทั้งที่เขามีประสบการณ์ในยุโรปได้ราวๆครึ่งปีเท่านั้น?
ด้วยเหตุนี้ UFA ARENA จึงขอพาไปวิเคราะห์ว่าทำไม เชลซี ถึงยอมทุ่มคว้า เอ็นโซ่ มาร่วมทีม และนี่จะเป็นดีลคุ้มค่าที่พวกเขาคาดหวังหรือไม่ ผ่านบทความชิ้นนี้กัน
ตัวแทนจอร์จินโญ่
ก่อนตลาดหน้าหนาวปิดตัว 1 วัน เชลซี ได้ทำการปล่อย จอร์จินโญ่ กองกลางตัวรับชาวอิตาเลี่ยน ให้กับ อาร์เซน่อล ด้วยค่าตัวราวๆ 12 ล้านปอนด์ จุดนี้แสดงถึงความมั่นใจว่าพวกเขาจะคว้า เอ็นโซ่ มาร่วมทีมได้ค่อนข้างแน่นอน
แต่หากตัดเรื่องเงินทิ้งไป นี่ถือเป็นการเสริมทัพที่ชาญฉลาดของ เชลซี เช่นกัน
พวกเขาเต็มไปด้วยปัญหามากมายในฤดูกาลนี้ หลักๆก็คือเกมรุกที่ยิงประตูได้ไม่มากอย่างที่ควร แต่ตำแหน่งกองกลางตัวทำเกมจากแนวลึก อาจไม่ใช่ปัญหาที่ชัดเจนนัก แต่ผลงานของ เฟร์นานเดซ ใน ปรีไมร่า ลีก้า, แชมเปี้ยนส์ลีก และฟุตบอลโลก ทำให้ ‘สิงห์บลูส์’ ตาลุกวาว
ทีมของ แกร์หม พ็อตเตอร์ ยิงได้เพียง 22 ลูกในพรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้ มากกว่า เซาแธมป์ตัน ทีมบ๊วยของลีกแค่ 5 ลูกเท่านั้น และน้อยกว่าทีม 9 อันดับเหนือพวกเขาอย่างน้อย 10 ลูกด้วยกัน ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงฟอร์มการเล่นเช่นกัน หลังมีตัวเลขการสร้างสรรค์โอกาสน้อยกว่าแม้กระทั่ง เวสต์แฮม ที่ยิงประตูเพียง 17 ลูก
ไม่แปลกที่ใครก็ตามที่ดู เชลซี ในฤดูกาลนี้ จะบอกว่าพวกเขามองไม่เห็นศักยภาพที่ดีเลย
ตัวรับที่ปั้นเกมได้
ทว่าความสามารถของ เอ็นโซ่ อาจดีพอช่วยแก้ไขจุดนี้ให้ เชลซี ได้ แม้เขาลงเล่นแค่ครึ่งซีซั่นให้กับ เบนฟิก้า แต่ก็รั้งตำแหน่งนักเตะที่ทำแอสซิสต์มากสุดเป็นอันดับ 2 ในลีกสูงสุดโปรตุเกส (5 ลูก) เป็นรองแค่ เปโดร ปอร์โร่ ฟูลแบ็คของ สปอร์ติ้ง ลิสบอน ที่ย้ายมา สเปอร์ส แล้วเท่านั้น
อีกทั้งยังสร้างโอกาสได้ 30 ครั้งให้กับเพื่อนร่วมทีม ซึ่งบางลูกก็เตะตาเป็นพิเศษ แถมมีการเตะลูกเซ็ตพีซที่น่าทึ่งไม่น้อยกับจังหวะจ่ายให้ กอนซาโล่ รามอส ยิงประตูในเกมพบ สปอร์ติ้ง เมื่อเดือนธันวาคม
การเป็นนักเตะตัวรับแต่สามารถทำเกมจากแนวลึกได้จากการวางบอลระยะไกล ทำให้ กองกลางชาวอาร์เจนไตน์ ได้รับความสนใจตั้งแต่สมัยเขาฉายแสงกับ ริเวอร์เพลท แล้ว โดยตกเป็นข่าวกับ เรอัล มาดริด และ 2 ทีมจากเมืองแมนเชสเตอร์ เมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมา ก่อนสุดท้ายจะย้ายไปเล่นในลิสบอน
ใน ‘โลส บลังโกส’ แข้งวัย 22 ปี ถูกมองว่าเป็นตัวแทนที่เหมาะสมของ ลูก้า โมดริช ที่กำลังเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของอาชีพในวัย 37 ปี และการถูกนำไปเปรียบเทียบกับเจ้าของบัลลงดอร์ ปี 2018 ก็แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ธรรมดาแน่ๆ
ความชื่นชอบฟุตบอลที่เน้นการต่อบอลเพื่อเข้าทำ เป็นส่วนที่ให้ ท็อดด์ โบห์ลี่ย์ เลือกดึง พ็อตเตอร์ เข้ามาคุมทีมใน สแตมฟอร์ด บริดจ์ และสไตล์ของ เฟร์นานเดซ ก็อาจเติมเต็มส่วนนั้นได้เช่นกัน
ไม่มีใครลีกแดนฝอยทองฤดูกาลนี้ จ่ายบอลมากกว่า เอ็นโซ่ อีกแล้ว (1,432 ครั้ง) และถ้าเขามาเป็นตัวแทนของ จอร์จินโญ่ จริงๆ ก็จะเพิ่มความสามารถในการจ่ายบอลในพื้นที่สุดท้ายด้วย เนื่องจากในปรีไมร่า ลีก้า เขาก็ทำไปถึง 372 ครั้งมากกว่านักเตะคนไหนในลีก
หาก เชลซี ต้องการเล่นกองกลางแบบ 2 คนยืนคู่กัน แข้งเลือดฟ้าขาว ก็สามารถเสนอตัวเลือกที่ดีได้เหมือกกัน เพราะเขาทำหน้าที่เก็บกวาดแนวรับยามไม่มีบอลให้กับ เบนฟิก้า อยู่แล้ว ทำให้ยิ่งเหมาะกับการเป็นหัวใจในแดนกลาง โดยเขาติดอันดับที่ 12 ของนักเตะที่แทคเคิ่ลมากที่สุดในลีก (41) และมีผู้เล่นเพียง 10 คนเท่านั้นในลีกที่แย่งบอลกลับมาครองได้มากกว่าเขาในแดนกลาง (54)
เสี่ยงแน่แต่ก็ขอลอง
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ปรีไมร่า ลีก้า มีรายได้เป็นกอบเป็นกำจากการขายนักเตะให้ทีมต่างแดน ซึ่งหลายคนมีมูลค่าสูงเกินจริง และมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ทำผลงานได้สมราคาค่าตัวที่สโมสรทุ่มจ่ายไปเช่นกัน
แน่นอนว่าความเสี่ยงของ เชลซี กับดีลนี้ก็มีอยู่ไม่ต่างกัน และน่าจะมากเป็นพิเศษด้วย เมื่อ เอ็นโซ่ ต้องแบกค่าตัวที่เป็นสถิติฟุตบอลอังกฤษถึง 105 ล้านปอนด์
แต่ผลงานที่ กองกลางทีมชาติอาร์เจนติน่า แสดงให้เห็นทั้งในระดับฟุตบอลสโมสรระดับทวีป และเวทีระดับโลกอย่างฟุตบอลโลก ก็ทำให้ เชลซี เชื่อมั่นว่านี่คือการลงทุนที่คุ้มค่าจะลองเสี่ยงเหมือนกัน
ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่ม เขาลงเล่นให้ เบนฟิก้า ครบทั้ง 6 เกม พร้อมเป็นส่่วนสำคัญที่ทำให้ เหยี่ยวลิสบอน ผงาดเหนือ เปแอสเช และ ยูเวนตุส ทะยานเป็นแชมป์กลุ่ม H แบบเหนือความคาดหมาย
หลังจากนั้นไม่นาน แข้งวัย 22 ปี ยังคว้าดาวรุ่งยอดเยี่ยมของเวิลด์คัพ ในเดือนธันวาคม ตามรอย คิลิยัน เอ็มบัปเป้ และ ปอล ป็อกบา โดยลงเล่นเป็นตัวจริงให้ทัพ ‘ฟ้าขาว’ ถึง 5 นัดก่อนก้าวไปถึงแชมป์โลก
แน่นอนว่าความกดดันยังคงไม่หายไปง่ายแน่นอน เมื่อเขาต้องย้ายมาเล่นในลีกใหม่ กับต้นสังกัดใหม่ แถมเกิดขึ้นในช่วงกลางซีซั่น ทำให้มีเวลาเตรียมตัวไม่มาก พร้อมแบกค่าตัวระดับ 9 หลัก ซึ่งมากกว่านักเตะทุกคนในพรีเมียร์ลีก และเป็นจุดที่ กรีลิช เคยเผชิญเมื่อ 18 เดือนก่อนตอนไปย้ายซบ แมนฯซิตี้ ด้วยค่าตัว 100 ล้านปอนด์
แต่ถ้า เฟร์นานเดซ สามารถสลัดความกดดันทิ้งไป ปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆได้ และรักษาฟอร์มการเล่นที่ดีต่อไปเพื่อแสดงให้เห็นว่าทำไม เชลซี ถึงกล้าทุ่มเงินมหาศาลเพื่อคว้าตัวเขาไปร่วมทีม เชื่อว่าข้อสงสัยที่ในตัวเขาก็จะหายไป และแทนที่ด้วยคำชื่นชมอย่างแน่นอน