ช่วงเวลาที่ย่ำแย่ของ มาร์คัส แรชฟอร์ด ยังคงเกิดขึ้นเรื่อยๆ และยังไม่มีท่าทีว่าจะหมดไปในเร็วๆนี้ จากฟอร์มการเล่นที่ตกต่ำอย่างน่าใจหายในฤดูกาลนี้
ดาวเตะชาวอังกฤษ กลายเป็นตัวเลือกสำรองในแนวรุกเป็นรองทั้ง เจดอน ซานโช่ และ แอนโธนี่ เอลังก้า ทำให้หลุดทีมชาติอังกฤษของ แกเร็ธ เซาธ์เกต ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปีกับ 8 เดือนที่เขาหลุดจากทัพ ‘สิงโตคำราม’
และถึงแม้ทีมจะขาดทั้ง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ เอดินสัน คาวานี่ ในเกมเสมอกับ เลสเตอร์ ซิตี้ 1-1 เมื่อสัปดาห์ก่อน ราล์ฟ รังนิค กุนซือขัดตาทัพ ก็เลือกใช้ ปอล ป็อกบา กับ บรูโน่ แฟร์นานเดส เล่นเป็นกองหน้าก่อน แรช ด้วยซ้ำ
หากจะบอกว่านี่คือปีที่แย่ที่สุดของ แข้งวัย 24 ปี นับตั้งแต่แจ้งเกิดกับชุดใหญ่ในปี 2016 ก็คงไม่ผิดนัก เพราะก่อนหน้านี้เขายังมีส่วนร่วมกับประตูทั้งยิงและจ่ายอย่างน้อย 30 ลูกต่อซีซั่นอยู่เลยใน 2 ฤดูกาลหลังสุด
มีเพียงตำนานของ ยูไนเต็ด อย่าง นอร์แมน ไวท์ไซด์, จอร์จ เบสต์ และ ไรอัน กิ๊กส์ ที่ลงสนามแตะ 250 เกมให้สโมสรด้วยอายุที่น้อยกว่า แรชฟอร์ด แต่ฟอร์มของเขาก็ค่อยๆตกลงตั้งแต่ท้ายฤดูกาลที่แล้ว หลังพลาดจุดโทษช่วงชี้ขาดในเกมที่ อังกฤษ พ่าย อิตาลี ในศึกยูโร 2020
ในฤดูกาลนี้ เขาทำได้เพียง 5 ประตูกับ 2 แอสซิสต์ เท่านั้น และสิ่งนั่นทำให้สถานะของลูกหม้อ ปีศาจแดง สั่นคลอนอย่างมากทั้งในสโมสรและทีมชาติ
ดังนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกับ แรช กันแน่?
ช้ำจากยูโรและการผ่าตัดหัวไหล่
แรชฟอร์ด ฝืนลงเล่นทั้งๆที่มีอาการเจ็บมาเกือบทั้งฤดูกาลที่ผ่านมา หลังจากกล้ามเนื้อที่ไหล่ซ้ายฉีกในเดือนพฤศจิกายน 2020
เขาเลือกที่จะเลื่อนการเข้ารับผ่าตัด และลงสนามช่วย แมนฯ ยูไนเต็ด ในเกมนัดชิงยูโรป้า ลีก แทน และในขณะเดียวกันก็รู้ว่าทีมชาติอังกฤษมีทัวร์นาเม้นต์ระดับเมเจอร์รออยู่หลังจากนั้น
“ผมเห็นบางคนบอกว่าผมเห็นแก่ตัวที่ไม่ยอมเข้ารับการผ่าตัดในฤดูกาลนี้ แต่ผมไม่เคยให้ความสำคัญกับตัวเองก่อนหรอก และนั่นเป็นวิธีที่ทำให้เรามาถึงจุดนี้ และเป็นบางสิ่งที่คนวัย 23 ปีอย่างผมต้องเรียนรู้เอาไว้ให้มาก” แรชชี่ กล่าว ณ เวลานั้น
บางครั้ง การฉีดยาแก้ปวดก็ถูกนำมาใช้กับอาการบาดเจ็บ ซึ่งทำให้มีความยืดหยุ่นและความแข็งแร่งของร่างกายถูกจำกัด ซึ่งส่งผลต่อความเร็วของเขา อีกทั้งยังต้องจัดการกับปัญหาที่เท้าขวาของเขาที่บาดเจ็บหลังในเดือนมกราคม 2021 ที่พบ แมนเชสเตอร์ ซิตี้
ยูไนเต็ดพ่ายแพ้ในศึกยูโรปาลีกนัดชิงชนะเลิศแก่ บียาร์เรอัล เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม โดยดาวเตะวัย 24 ปี พลาดโอกาสทองในการพ่ายแพ้ครั้งนั้น ก่อนที่เขาจะเข้าร่วมทีมชาติอังกฤษสำหรับยูโร 2020
ถึง ‘สิงโตคำราม’ จะไปไกลถึงรอบชิงดำ แต่ ดาวเตะ ‘ปีศาจแดง’ ก็ลงเล่นเพียง 83 นาทีจาก 7 เกมในยูโร อีกทั้งยังพลาดจุดโทษจนถูกมองเป็นแพะรับบาปของทีมในครั้งนั้นด้วย
ฝันร้ายที่ เวมบลีย์ เป็นจุดสิ้นสุดนัดที่ 59 อันทรหดของ แรช ในฤดูกาลนั้น และมันส่งผลต่อฤดูกาลปัจจุบันอย่างเลี่ยงไม่ได้
เขาเข้ารับการผ่าตัดหัวไหล่ในเดือนสิงหาคม ก่อนกลับมาลงเล่นในเดือนต่อมาที่พ่าย เลสเตอร์ 2-4 ก่อนฟอร์มการเล่นของเขาจะตกลงไม่จากภาพรวมของทีมภายใต้การกุมบังเหียนของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา
เจ้าของเบอร์ 10 เป็นตัวจริงในเกมต่อมาที่พ่าย ลิเวอร์พูล คา โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด 5-0 ซึ่งถูกเปลี่ยนหลังผ่านไป 1 ชั่วโมง และเกมสุดท้ายของ โซลชา ใน 3 สัปดาห์ต่อมาที่พ่าย วัตฟอร์ด 4-1 เขาก็ลงเป็นตัวจริง แต่ก็ทำอะไรได้ไม่มากจนถูกเปลี่ยนออกในครึ่งหลัง
ตัวเลือกสำรองซานโช่
ยูโรของอังกฤษจบลงด้วยความผิดหวังสำหรับแรชฟอร์ด แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นกับ ยูไนเต้ด ด้วย แม้การผ่าตัดอาจส่งผลกระทบต่อนักเตะได้ในบางครั้งก็ตาม
แรชชี่ เป็นปีกซ้ายตัวหลักของ ‘ปีศาจแดง’ ในฤดูกาลที่แล้ว โดยมี 23 นัดที่เขาได้ลงเล่นในตำแหน่งนั้น จากทั้งหมด 37 นัดในลีก ทว่าตอนนี้เขาไม่ใช่ตัวเลือกแรกในตำแหน่งนั้นอีกแล้ว
ส่วนหนึ่งที่ทำให้ ดาวเตะวัย 24 ปี ต้องดิ้นรนเค้นฟอร์มอย่างหนักในโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด คือการปรับตัวของ เจดอน ซานโช่ ที่แม้เจ้าของค่าตัว 73 ล้านปอนด์ในซัมเมอร์จะเริ่มต้นได้อย่างเชื่องช้า แต่ตอนนี้เขากลายเป็นตัวเลือกทางฝั่งซ้ายเหนือเพื่อนร่วมทีมชาติอังกฤษไปแล้ว
ซานโช่ ทำไป 3 ประตู กับ 3 แอสซิสต์ จาก 8 นัดหลังสุดในทุกรายการ ขณะที่ แรช ทำได้เพียง 1 แอสซิสต์ และไม่มีประตูเลย ณ เวลานั้น
อดีตปีกโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ได้รับโอกาสจาก รังนิค ผู้จัดการทีมชั่วคราวของยูไนเต็ดในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา และมันก็เป็นเรื่องง่ายที่จะเข้าใจว่าทำไม เนื่องจาก ซานโช่แสดงให้เห็นความครบเครื่องในเกมรุกมากกว่าแรชฟอร์ด และไม่ใช่แค่เรื่องทำประตูเท่านั้น
จากสถิติในพรีเมียร์ลีก ระบุว่า ซานโช่ สร้างโอกาสถึง 35 ครั้ง, เก็บบอลจังหวะสอง 84 ครั้ง, เลี้ยงบอลผ่าน 36 ครั้ง และจ่ายบอลแม่นยำถึง 83.21% ซึ่งเจ้าของเบอร์ 10 ในโรงละครแห่งความฝันเป็นรองในทุกด้าน (9, 37, 21 และ 75.8%)
เหตุอีลังก้าแจ้งเกิด
การแย่งตำแหน่งปีกฝั่งขวา ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน เมื่อ แอนโธนี่ อีลังก้า ลูกหม้อของสโมสรกำลังฉายแวว และได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงอยู่หลายครั้งในฤดูกาลนี้
ปีกชาวสวีดิช ลงสนามแทน เจ้าของหมายเลข 10 ช่วงกลางเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้ายพบ แอตเลติโก้ มาดริด ซึ่งตอนแรกทีมไม่ยิงตรงกรอบเลยสักลูก แต่เมื่อ อีลังก้า ลงสนามก็ได้รับลูกจ่ายทะลุช่องของบรูโน่ ยิงประตูตีเสมอให้ทีมได้ในวันนั้น
ไม่แปลกที่ อีลังก้า จะได้เป็นปีกขวาตัวจริงในเกมที่เสมอกับ วัตฟอร์ด 0-0 อีก 3 วันต่อมา รวมไปถึงเกมพ่าย แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในสัปดาห์ถัดมา ถึงแม้ดาวรุ่งวัย 19 ปี ไม่สามารถทำแบบในเกมพบ ‘ตราหมี’ ได้อีก แต่แข้งรุ่นพี่ชาวอังกฤษ ที่กลับมาเป็นตัวจริงในเกมเฉือน สเปอร์ส 3-2 ก็ไม่ได้สร้างผลกระทบในเกมมากนัก
โดยรวมแล้ว รังนิค จับ แรชชี่ ไปยืนปีกขวา 6 นัดในพรีเมียร์ลีก แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับเป็นประตูกับแอสซิสต์อย่างละลูก การสร้างโอกาส 3 ครั้ง และครอสบอลสำเร็จเป็นศูนย์
ขณะที่ อีลังก้า ที่โชว์ฟอร์มได้ดีตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ กุนซือชาวเยอรมัน รู้สึกว่า ปีกทีมชาติสวีเดน เหมาะสมกับตำแหน่งนี้มากกว่า
ทว่าไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์ในการวิเคราะห์เกมมากนักก็สามารถเข้าใจได้ว่านั่นไม่ใช่ตำแหน่งโปรดของ แข้งวัย 24 ปี เหมือนทางฝั่งซ้ายหรือตรงกลาง ซึ่งเขาเคยเปิดปากถึงเรื่องนี้ด้วยตัวเองจากบทสัมภาษณ์ปีก่อนด้วย
“เมื่อคุณอยูทางซ้าย คุณสามารถสร้างหลายๆอย่างได้ด้วยตัวคุณเอง ทำสิ่งต่างๆเพื่อทีมได้มากขึ้น” ลูกหม้อ ยูไนเต็ด กล่าว
“พูดตามตรง มันรู้สึกเป็นธรรมชาติที่จะได้เล่นในตำแหน่งที่ผมเล่นอยู่ตอนนี้ ผมอยู่ตรงกลางระหว่างทางซ้ายและกองหน้า และมันเป็นไปได้ด้วยดีอย่างแน่นอน”
ความมั่นใจที่หายหด
จากฟอร์มการเล่นที่ยังไม่เข้ารูปเข้ารอยเสียที นับตั้งแต่ผ่าตัดกลับมา ไม่แปลกที่นั่นจะทำให้นักเตะคนหนึ่งเสียความมั่นใจไปมากโข และ แรชฟอร์ด ก็ไม่แตกต่างกัน
ไม่ว่าจะเป็นการลากเลื้อยที่ติดขัด ไม่สามารถผ่านคู่แข่งได้อย่างเคย, การสร้างโอกาสที่น้อย รวมไปถึงตัวเลขการทำประตูที่ตกลงอย่างชัดเจน
“ไม่ใช่ความลับอะไรที่ทำให้เขายังไม่อยู่ในฟอร์มที่ดีในตอนนี้ มันเกี่ยวกับจังหวะและความมั่นใจ มันเป็นงานของเราที่จะช่วยให้เขากลับมามั่นใจอีกครั้ง” รังนิค กล่าว
“สิ่งเดียวที่เราสามารถทำได้คือพูดคุยกับเขาสม่ำเสมอ บอกสิ่งที่เราคาดหวังในตัวเขา และเขาควรทำอะไร ที่เหลือเขาต้องทำมันด้วยตัวเอง”
แม้เหลือแค่ แข้งเบอร์ 10 เป็นกองหน้าธรรมชาติคนเดียวในทีม แต่ฟอร์มการเล่นและความั่นใจที่ตกลง ทำให้กุนซือชาวเยอรมัน ไม่ส่ง แรชชี่ ลงเป็นตัวจริง และเลือกใช้ ปอล ป็อกบา ลงเล่นในตำแหน่งนี้แทนกับเกมเสมอ เลสเตอร์ 1-1 ช่วงต้นเดือนเมษายน
และถึงแม้ส่งเขาลงไปในนาทีที่ 60 รูปเกมของ ยูไนเต็ด ก็ยังไม่ดีขึ้นเท่าที่ควร และนี่แสดงให้เห็นว่า รังนิค ไม่ได้พูดอะไรผิดนักเกี่ยวกับความมั่นใจที่ตกลงไปมากไม่ต่างจากฟอร์มของแนวรุกชาวอังกฤษ
“เรามี มาร์คัส แรชฟอร์ด เป็นกองหน้าที่เหลืออยู่คนเดียว เรารู้เมื่อเช้านี้ว่า คริสเตียโน่ จะเล่นไม่ได้ และตัดสินใช้ ปอล ป็อกบา เล่นแทน หลังจากนาทีที่ 60 เราก็เปลี่ยน และส่งกองหน้าตัวเป้าลงไปในสนาม”
“ไม่ใช่ความลับอะไรที่เขาจะไม่มั่นใจเต็มร้อยในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ในช่วงซ้อม เขาก็ทำได้ดีนะ แต่เมื่อมีคำถามระหว่าง ปอล และ มาร์คัส เราก็เลือกไปที่ ปอล”
โฟกัสเรื่องนอกสนามมากไป
อีกปัจจัยที่หลายๆคนอาจมองข้ามไปก็คือเรื่องนอกสนามของ แรชฟอร์ด เช่นกัน ซึ่งจริงๆแล้วก็ไม่ใช่เรื่องแย่เสียทีเดียว
นับตั้งแต่ขึ้นมาเล่นชุดใหญ่ในปี 2016 ดาวเตะชาวอังกฤษ แทบไม่เคยมีข่าวฉาวนอกสนามเลย อีกทั้งยังได้รับการชื่นชมจากคนทั่วเกาะอังกฤษ รวมไปถึงแฟนบอลทั่วโลกจากการอุทิศตัวเพื่อช่วยเหลือสังคม
ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือคนไร้บ้านช่วงคริสต์มาส, เยี่ยมผู้ป่วยหลังเหตุก่อการร้าย, วอนรัฐบาลแจกอาหารฟรีในโรงเรียน รวมไปถึงช่วงโควิดระบาดก็มีส่วนช่วยเหลือคนในบ้านเกิดหลายต่อหลายครั้ง
ทว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ดูเหมือน เจ้าของเบอร์ 10 จะโฟกัสกับเรื่องนอกสนามมากเกินไปหน่อย จนถูกหลายคนมองว่าเขาลืมโฟกัสกับสิ่งที่ควรให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกก็คือเรื่องฟุตบอลเป็นหลัก
หนึ่งในนั้นคือ พอล พาร์คเกอร์ อดีตแข้งของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่แนะนำแข้งรุ่นน้องว่าให้เลิกสนใจเรื่องนอกสนามพร้อมกลับมามุ่งมั่นกับเกมฟุตบอล พร้อมชี้ว่าหากไร้สโมสรก็ไม่มีใครต้องการ
“ท้ายที่สุดแล้ว ถ้าเขาไม่ได้เป็นนักเตะของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เขาก็ไม่ดีสำหรับใครเลย พวกเขาไม่ได้สนใจเขาหรอก มันคือการพีอาร์อย่างชาญฉลาด ถ้าจะให้พูดตรงๆ” ปาร์คเกอร์ กล่าวกับ OddsNinja
“ผมมองว่าเขามีช่วงเวลาที่ย่ำแย่สุดๆ เขาอาจจะคิดว่าตัวเองต้องการอะไรกันแน่ เอางานอื่นออกไป ทิ้งมันไปและจดจ่อกับงานของตัวเอง เพราะถ้าไม่มีพวกนั้นมันก็ไม่มีอะไรมารบกวน”
อนาคตในโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด
ช่วง 24 ชั่วโมงหลังเกมที่ ยูไนเต็ด พ่ายให้ ซิตี้ 4-1 ช่วงต้นเดือนมีนาคม แรชฟอร์ด ที่ถูกเปลี่ยนตัวออกในครึ่งหลังของเกม ตกเป็นข่าวว่าอาจย้ายทีมในช่วงซัมเมอร์
เหตุผลที่เป็นเช่นนั้น รายงานจากสื่อในอังกฤษระบุว่า หอกชาวอังกฤษ ไม่มีความสุขกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในสโมสร ทั้งโอกาสลงสนามที่ไม่มากพอ และการตกเป็นตัวสำรอง จนทำให้เจ้าตัวกำลังพิจารณาอนาคตตัวเองในโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด
ปัจจุบัน สัญญาของดาวเตะเบอร์ 10 เหลือถึงช่วงซัมเมอร์ปี 2023 หากรายงานที่สื่อระบุเป็นเรื่องจริง นั่นคงทำให้สโมสรต่างๆอาจหมุนเวียนกันมายื่นข้อเสนอเพื่อคว้าเขาไปร่วมทีมช่วงที่มูลค่าราคากำลังตกลง แม้ ยูไนเต็ด มีออปชั่นขยายสัญญาเพิ่มไปอีก 1 ปีก็ตาม
ด้วยการเป็นผลผลิตจากอคาเดมี่ของสโมสร คงทำให้ ดาวเตะวัย 24 ปี ลำบากใจไม่น้อยกับการลาทีมรัก แต่ข้อเสนอจากสโมสรอย่าง บาร์เซโลน่า หรือแม้กระทั่ง เปแอสเช ก็อาจโน้มน้าวให้เขาเลือกไปผจญภัยในต่างแดนเช่นกัน อีกทั้งมีรายงานว่า อาร์เซน่อล สโมสรร่วมลีกก็สนใจเขาด้วย
อย่างไรก็ตาม หาก คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ คาวานี่ ดาวยิงตัวเก๋า ตัดสินใจย้ายทีมในซัมเมอร์นี้ ก็อาจทำให้เขาพิจารณาอนาคตของตัวเองใหม่อีกครั้ง
ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับว่ากุนซือคนใหม่ของ ยูไนเต็ด ในอนาคตอันใกล้นี้ที่จะเป็นตัวแปรสำคัญในเรื่องนี้ ซึ่งจะมองว่า แรชฟอร์ด คือกองหน้าที่เหมาะสมกับแผนการทีมของเขาหรือไม่ในฤดูกาลหน้า