ในวันที่ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทย ยังคงพุ่งสูงขึ้น ท่ามกลางความสุขของคนในประเทศที่ลดน้อยลงทุกวัน การมีกิจกรรมที่ได้ช่วยผ่อนคลายในช่วงเวลาเช่นนี้คงเป็นเรื่องยอดเยี่ยม และหากพูดถึงแฟนฟุตบอล หนึ่งในความสุขที่ทุกคนรอคอยคือการกลับมาลงสนามของทีมโปรดนั่นเอง
สุดสัปดาห์นี้ ศึกลูกหนังพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาลใหม่ กำลังจะเปิดฉากฟาดแข้งอีกครั้ง และคงทำให้ทุกคนได้บรรเทาความเครียดลงบ้างไม่มากก็น้อย แม้เชื้อโควิด-19 จะยังไม่จางมลายหายไปหมดสิ้น แต่ลีกลูกหนังเมืองผู้ดีซีซั่นนี้ต้องบอกว่ามีหลายสิ่งที่น่าสนใจ จะมีอะไรบ้าง UfaArena จะพาไปดูกัน
การเสริมทัพที่บ้าคลั่งของยักษ์ใหญ่
หลังจากฤดูกาลที่แล้วตลาดซื้อขายนักเตะนั้นสุดแสนจะซบเซา ที่สภาพคล่องทางการเงินของทุกสโมสรนั้นไม่เป็นเหมือนเคย แต่มาฤดูกาลนี้ เราได้กลับมาเห็นยักษ์ใหญ่แต่ละทีมเสริมทัพกันแบบเต็มสูบอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการทุบสถิติ พรีเมียร์ลีก ของ แจ็ค กรีลิช ที่ย้ายจาก แอสตัน วิลล่า ไปร่วมทัพ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เท่านั้นยังไม่พอยังมีรายงานว่าเวลานี้พวกเขายื่น 120 ล้านปอนด์ให้ ท็อตแน่ม ฮอต สเปอร์ พิจารณาปล่อยตัว แฮร์รี่ เคน ดาวยิงกัปตันทีมชาติอังกฤษแล้ว
ทางด้าน “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาลก่อน ก็จัดการดึงตัวโรเมลู ลูกากู ดาวยิงทีมชาติเบลเยี่ยม ของ อินเตอร์ มิลาน หวนกลับมาสู่ทีมเป็นคำรบ 2 ในรอบ 7 ปี ด้วยค่าตัวสถิติสโมสร 97 ล้านปอนด์ ขณะที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ดึง 2 จิ๊กซอว์สำคัญทั้ง เจดอน ซานโช่ แนวรุกจาก โบรุสเซียร์ ดอร์ทมุนด์ และ ราฟาเอล วาราน กองหลัง เรอัล มาดริด เข้ามาด้วยค่าตัวรวมกันกว่า 120 ล้านปอนด์
ยังไม่รวมกับทีมอื่นๆทั้ง อาร์เซน่อล ที่ได้ เบน ไวท์ กองหลังทีมชาติอังกฤษ มาร่วมทัพที่ 50 ล้านปอนด์ หรือ หงส์แดง ลิเวอร์พูล ที่เวลานี้จะยังดูเงียบๆหลังเพิ่งคว้าเพียง อิบราฮิม่า โกนาเต้ กองหลัง แอร์เบ ไลป์ซิก 30 ล้านปอนด์ แต่การได้ เวอร์กิล ฟาน ไดค์ ที่เจ็บทั้งฤดูกาลก่อนกลับมาจะทำให้พวกเขากลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง เรียกว่าการฟาดฟันแย่งแชมป์ฤดูกาลนี้จะดุเดือดเป็นทวีคูณอย่างแน่นอน
แฟนบอลเข้าชมเกมได้เต็มความจุสนาม
ผ่านมาแล้วกว่า 2 ฤดูกาลที่ลีกลูกหนังผู้ดี ต้องแข่งขันกันท่ามกลางสนามที่ว่างเปล่า จนการถ่ายทอดสดต้องใช้เสียงเอฟเฟกต์ช่วยเพื่อไม่ให้เงียบเหงาจนเกินไป จนกระทั่งในช่วงท้ายฤดูกาลก่อนเมื่อสถานการณ์เริ่มผ่อนคลายลง พรีเมียร์ลีก ก็ยอมให้มีแฟนบอลเข้ามาชมเกมในสนามได้บางส่วน ซึ่งแม้ว่าจะไม่มาก แต่นั่นก็สามารถสร้างแรงกระตุ้นให้กับนักเตะในสนามได้เป็นอย่างมาก
และในฤดูกาลนี้นี่เอง พรีเมียร์ลีก ได้ไฟเขียวพร้อมเปิดทางให้แฟนบอลสามารถเข้ามาชมเกมได้แบบเต็มความจุ อย่างไรก็ตามจะยังคงมีมาตรการที่เป็นข้อบังคับสำคัญสำหรับแฟนบอลทุกคนที่จะเข้าสนาม คือต้องตรวจหาเชื้อโควิด-19 เป็นเวลา 48 ชั่วโมงก่อนเกมการแข่งขัน และจะต้องส่งผลการตรวจผ่านแอปของสาธารณสุข หรือ NHS.UK แต่หากทุกคนทำตามมาตรการดังกล่าวอย่างเคร่งครัด ก็จะทำให้ ฟุตบอลลีกผู้ดีได้กลับมาคึกคักเต็มที่อีกครั้ง
กลับมาเตะเวลาเดิมอีกครั้ง
จากช่วงโควิด19 ที่แทบจะไม่มีเกมไหนที่ลงสนามพร้อมกัน ซึ่งสาเหตุนั้นเกิดจากที่แฟนบอลไม่สามารถเข้าชมการแข่งขันได้นั่นเอง ทำให้ พรีเมียร์ลีก ต้องการแยกโปรแกรมถ่ายทอดสด เพื่อให้แฟนบอลมีโอกาสได้ดูครบทุกเกม พร้อมกับทำให้ทุกทีมได้รับค่าลิขสิทธิ์กันแบบเท่าเทียมด้วย
แต่ฤดูกาลนี้ โปรแกรมการแข่งขัน นั้นจะกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิมอีกครั้ง โดยเกมวันศุกร์ จะเตะ 02.00 น. ส่วนวันเสาร์ มี 3 เวลา คือ 18.30, 21.00 และ 23.30 น. และวันอาทิตย์ เตะ 2 เวลา 20.00 และ 22.30 น. และเกมกลางสัปดาห์ จะเตะเวลา 01.45 และ 02.00 น. (ตามเวลาประเทศไทยทั้งหมด)
VAR กับการปรับปรุงครั้งสำคัญ
ความบรรลัยของเทคโนโลยี VAR ที่เข้ามาช่วยผู้ตัดสินในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลก่อน ต้องบอกว่าหลายต่อหลายครั้งนั้นขัดใจทั้ง นักเตะ ,ผู้จัดการทีม และแฟนบอลจากทั่วโลกอย่างยิ่ง แต่มาฤดูกาลนี้ พรีเมียร์ลีก ได้มีการเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งหลายอย่าง ซึ่งน่าจะทำให้ทุกอย่างนั้นดูราบรื่นขึ้นไม่มากก็น้อย
เริ่มจากจังหวะล้ำหน้าที่กลายเป็นประเด็นหลายครั้ง จากการที่เส้นจำลองถูกตีขึ้นมามีความกว้างเพียง 1 มิลลิเมตร แต่ฤดูกาลนี้จะมีการขยายออไปเป็น 5 เซนมิเตร ซึ่งเริ่มใช้ไปแล้วในศึก ยูโร 2020 และถือว่าได้ผลการตอบรับที่น่าพอใจมากกว่าเดิม
นอกจากนั้นในการเป่าลูกแฮนด์บอลจะมีการดูตำแหน่งของมือหรือแขนว่าเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของร่างกายหรือไม่ ส่วนการแฮนด์บอลโดยไม่เจตนานั้นจะดูจังหวะเกมรุกว่าตัวรุกทำประตูได้โดยตรงหรือทันทีหลังบอลสัมผัสมือหรือแขนหรือไม่ พร้อมกำหนดชัดเจนแล้วว่า ใต้รักแร้ถือเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย และทำให้การตัดสินใจว่าประตูนั้นล้ำหน้าหรือไม่ จะเช็คจากใต้รักแร้เป็นต้นไป
เอาเป็นว่า 10 ปากว่าไม่เท่าตาเห็น และคงต้องรอให้พรีเมียร์ลีก เปิดสนามและได้ใช้งาน VAR กันในหลายๆสนามก่อน ถึงเวลานั้นเราคงจะได้รู้ว่าปัญหาเรื่องนี้จะถูกแก้ไขได้มากน้อยเพียงใด
ราฟา สู่การคุมศัตรูที่รักอย่าง เอฟเวอร์ตัน
ตลอด 6 ปีที่ “เอลราฟา” คุมทัพ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ต้องบอกว่าเขาคือหนึ่งในกุนซือที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด จากการพาทีมคว้าถ้วยบิ๊กเอียร์มาครองได้สำเร็จ แต่เรื่องที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้นในฤดูกาลนี้เมื่อ เอฟเวอร์ตัน ที่แยกทางกับ คาร์โล อันเชล็อตติ สโมสรก็ติดต่อไปยังตัวกุนซือชาวสแปนิช ให้ได้หวนกลับมาคุมทัพในพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง
จากเหตุนี้ทำให้เกิดกระแสต่อต้านอย่างหนักจากเหล่าแฟนบอล เอฟเวอร์โตเนี่ยน อย่างรุนแรงที่ไม่ต้องการเห็น กุนซือจากทีมคู่อริเข้ามาคุมสโมสรอันเป็นที่รักของพวกเขา ซึ่งมีการขึ้นป้ายประท้วง ที่บริเวณหน้าสนามกูดิสัน ปาร์ก และต้องการให้สโมสรเปลี่ยนใจอีกครั้ง ขณะที่ เนวิลล์ เซาท์ธอล อดีตนายทวารระดับตำนานของทัพ “ทอฟฟี่สีน้ำเงิน” ก็เป็นหนึ่งในแกนนำที่แสดงความไม่เห็นด้วย ในการแต่งตั้ง ราฟา เป็นผู้จัดการทีมด้วยเช่นกัน
ซึ่งหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ กุนซือวัย 61 ปี โดนแอนตี้ขนาดนี้ ก็เนื่องจากสมัยที่เขาคุมทัพ “หงส์แดง” นั้นเขาเคยวิจารณ์ว่า เอฟเวอร์ตัน ในเกมที่บุกมาเสมอกับ ลิเวอร์พูล ที่ แอนฟิลด์ ว่าเป็น “สโมสรเล็ก” และการมีแต้มกลับไปก็เนื่องจากเล่นแบบอุดประตูเท่านั้น
นั่นจึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจว่า เบนิเตซ จะสามารถพิสูจน์ตัวเองในการคุมทัพครั้งนี้ เพื่อให้แฟนบอลเชื่อมั่นในตัวเขาได้หรือไม่ และการประเดิมสนามนัดแรกที่จะดวลกับ เซาธ์แฮมป์ตัน ที่กูดิสัน พาร์ค ด้วยชัยชนะ คงจะเป็นการเริ่มต้นที่ดีที่สุดแล้ว
DaboyG
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : ทีมใหญ่ก็เหวอได้ : 10 เกมพรีเมียร์ลีกนัดเปิดสนามสุดช็อก