เอซี มิลาน กลายเป็นทีมแชมป์กัลโช่ เซเรียอาประจำฤดูกาลล่าสุดเป็นที่เรียบร้อยด้วยการเฉือนคู่ปรับร่วมเมืองอย่างอินเตอร์ มิลาน ไปแค่ 2 แต้มเท่านั้น ซึ่งนี้ถือเป็นแชมป์สคูเด็ตโต้สมัยที่ 19 และเป็นยุติช่วงเวลากว่า 11 ปีนับตั้งแต่พวกเขาได้ชูถ้วยใบนี้หนล่าสุด
เกิดอะไรขึ้นบ้างในช่วงเวลาร้างแชมป์ที่แสนยาวนานกว่าทศวรรษนี้จากทีมยักษ์ใหญ่สู่ทีมยักษ์หลับ ก่อนได้ลืมตาตื่นอีกครั้ง วันนี้ UFAARENA จะพาไปทบทวนเส้นทาง 11 ปีของปีศาจแดงดำกว่าจะกลับมาชูถ้วยแชมป์ปีล่าสุด
สคูเด็ตโต้หนสุดท้าย
ย้อนไปในฤดูกาล 2010/11 ถือเป็นฤดูกาลสุดท้ายที่เอซี มิลาน คว้าแชมป์กัลโช่ เซเรียอา มาครองซึ่งในปีนั้นถือเป็นปีที่พวกเขาเข้าวินคว้าแชมป์ไปได้แบบสบายด้วยการมีแต้มห่างอันดับ 2 อย่าง อินเตอร์ มิลานถึง 6 แต้มถือเป็นความสำเร็จชั้นเยี่ยมจนไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะตกต่ำลงได้
หลังจากนั้นซีซั่นถัดมาแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้แชมป์แต่ก็จบอันดับสอง โดยมีแต้มห่าง ยูเวนตุสเพียงแค่ 4 แต้มเท่านั้นซึ่งก็ถือว่ายังเป็นฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยม ส่วนฤดูกาลต่อมาพวกเขาจบอันดับ 3 แน่นอนว่าก็ยังถือว่ายังเกาะกลุ่มหัวตารางแต่ความหายนะของรอสโซเนลลี่ก็เริ่มขึ้นที่ตอนจบซีซั่น 2012/13 นี้แหละ
หลังจากครองความยิ่งใหญ่เกาะหัวตารางมาได้ตลอด บรรดาแกนหลักของทีมที่โรยรากันแล้วก็พร้อมใจกันประกาศอำลาทีมไปพร้อมๆกันไล่มาตั้งแต่ อเลสซานโดร เนสต้า , ฟิลิปโป้ อินซากี้ , จานลูก้า ซามบร็อตต้า , เจนนาโร่ กัตตูโซ่ , มาร์ค ฟาน บอมเมล และ คลาเรนซ์ เซดอร์ฟ นอกจากนี้พวกเขายังต้องจำใจขาย ซลาตัน อิบราฮิโมวิช และ ติอาโก้ ซิลวา ออกไปอีกเนื่องจากปัญหาทางการเงิน และนี้คือจุดเริ่มต้นของช่วงขาลง
ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง
จากความเสียหายในซีซั่น 2012/13 ที่ต้องเสียแกนหลักไปพร้อมๆกัน ทำให้ทั้งขนาดทีมและคุณภาพของนักเตะก็ตกฮวบลงไปพร้อมๆกับผลงานอย่างเห็นได้ชัด แม้จะได้อดีตสตาร์อย่าง กาก้าเข้ามาทดแทน แต่ซีซั่น 2013/14 พวกเขาร่วงไปอยู่กลางตาราง ก่อนที่ มักซิมิเลียโน่ อัลเลกรี จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบในฐานะผู้จัดการทีม พร้อมกับตั้งอดีตนักเตะที่เพิ่งแขวนสตั๊ดไปหมาดๆอย่าง คลาเรนซ์ เซดอร์ฟ เข้ามาทำหน้าที่แทนในช่วงครึ่งซีซั่นหลัง
สุดท้ายซีซั่นดังกล่าวปีศาจแดงดำจบด้วยอันดับ 8 ของตารางไม่มีลุ้นไปเวทียุโรปใดๆเลย แน่นอนว่าด้วยผลลัพธ์แบบนี้กับทีมที่เคยเกาะหัวตารางมาตลอดทำให้ นายใหญ่ชาวฮอลแลนด์โดนปลดจากตำแหน่ง ก่อนหันไปหาอีกหนึ่งตำนานทีมอย่าง ฟิลิปโป้ อินซากี้ เข้ามาทำทีมต่อ แต่ก็คุมได้แค่ซีซั่นเดียวก็โดนปลด ต่อด้วย ซินิซ่า มิไฮโลวิช ที่มีชะตากรรมไม่ต่างกัน เรียกว่าพวกเขาเปลี่ยนผู้จัดการทีมแบบปีต่อปี หลังจากแยกทางกับ อัลเลกรี
การขายทีมแห่งความหวัง(พังไม่เป็นท่า)
ช่วงเวลาแห่งความผิดหวังของอดีตทีมที่ยิ่งใหญ่ทำให้บรรดาแฟนบอลไม่พอใจกับการบริหารของหัวเรือใหญ่อย่าง ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ แม้ว่าจะเคยพาทีมรุ่งเรืองมาก่อน แต่เมื่อปัจจุบันมันไม่เวิร์ค ประกอบกับปัญหาการเงินที่รุมเร้าทำให้สุดท้ายในปี 2017 เจ้าตัวก็ตัดสินใจขายทีมที่ตัวเองครอบครองมาตั้งแต่ปี 1986
โดยผู้ที่เข้ามาเทคโอเวอร์ต่อเป็นกลุ่มทุนจากจีนด้วยวงเงินกว่า 700 ล้านยูโร ภายใต้การนำของ หลี่ หยงหง แม้จะเป็นมหาเศรษฐีที่แทบจะไม่มีใครรู้ที่มาที่ไปเลย แต่การเจรจาซื้อขายทีมก็เป็นไปด้วยความราบรื่น แถมกลุ่มทุนจากแดนมังกรก็ประเดิมด้วยการทุ่มงบเสริมทัพในซัมเมอร์แรกของพวกเขาไปเกือบ 200 ล้านยูโรพร้อมกับนักเตะที่ตบเท้าเข้ามาสู่ทีมถึง 11 คน
อย่างไรก็ตามผลงานของพวกเขากลับไม่ได้ต่างจากเดิมคือการเป็นทีมกลางตารางเหมือนเดิม หลังให้ วินเซนโซ่ มอนเตลล่า คุมทีมไป 14 นัดของฤดูกาล 2017/18 ก็โดนปลดออกจากตำแหน่งพร้อมดึง เจนนาโร่ กัตตูโซ่ มาแทนที่ก่อนจะพาทีมกลับมาจบอันดับ 6 ของตารางได้สำเร็จ
ส่วนในแง่ของการบริหารจนแล้วจนรอดเจ้าสัวจากจีนก็เป็นเพียงของเก๊ ส่งให้ทีมติดหนี้ก้อนโตกว่า 100ล้านยูโรภายในปีเดียว แถมตัวประธานสโมสรก็หายเข้ากลีบเมฆเข้าวลี ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย ทำให้เจ้าหนี้อย่างกลุ่มทุน เอลเลียตเข้ามาเทคโอเวอร์สโมสรไปในที่สุด
การเริ่มใหม่สุดทุลักทุเล
การเข้ามาของกัตตูโซ่ เหมือนเป็นการกระตุ้นสัญญาณชีพของปีศาจแดงดำให้กลับมาอีกครั้ง แม้เรื่องแท็คติคจะไม่ได้หวือหวาจากประสบการณ์คุมทีมอันน้อยนิด แต่เรื่อง DNA สโมสรและพลังใจที่ถูกปลูกฝังเข้าไปสู่ตัวนักเตะ ต้องบอกว่าเจ้าตัวทำได้อย่างดีเยี่ยม
ฤดูกาล 2018/19 เป็นซีซั่นที่ กัตตูโซ่ ได้คุมทีมอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ซึ่งท้ายที่สุดแล้วรอสโซเนลลี่สามารถจบอันดับ 5 โดยมีแต้มตามหลังอันดับ 3 และ 4 อย่าง อินเตอร์ มิลาน และ อตาลันต้า เพียงแต้มเดียวเท่านั้น แต่ตัวนายใหญ่ชาวอิตาเลี่ยนมองว่าตนทำไม่ได้ตามเป้า และขอลาออกเพื่อเป็นการรับผิดชอบผลงาน ที่ก็ไม่ได้ดูแย่เลยแม้แต่น้อย
หลังจากนั้นทีมก็ไปดึงตัว มาร์โก้ จามเปาโล เข้ามาทำทีมต่อในซีซั่น 2019/20 แต่คุมทีมไปได้แค่ 7 นัดก็โดนปลดออกจากทีมด้วยผลงาน ชนะ 3 แพ้ 4 ก่อนจะตั้ง สเตฟาโน่ ปิโอลี่ เข้ามาทำหน้าที่ขัดตาทัพ และแม้จะยังไม่ได้เริ่มงานแต่เจ้าตัวก็โดนกระแส #PioliOut ตั้งแต่แรกเลยทีเดียว
ภายใต้การคุมทีมของปิโอลี่ ทำให้ซีซั่น 2019/20 ปีศาจแดงดำไปจบที่อันดับ 6 ของตาราง ซึ่งแทบจะไม่ต่างจากเดิมเลยแม้แต่น้อย และด้วยความที่เจ้าตัวถูกดึงมาเป็นกุนซือขัดตาทัพอยู่แล้ว ทำให้ในช่วงซัมเมอร์มีข่าวการเปลี่ยนตัวกุนซืออีกหน ซึ่งคนที่ตกเป็นข่าวคือ ราล์ฟ รังนิค ที่จะถูกดึงมาทำหน้าที่ผู้จัดการทีม พ่วงด้วยผู้อำนวยการของทีมไปด้วย
นั่นทำให้เกิดความแตกแยกในทีมบริหารด้าน อิวาน กาซิดิส ในฐานะซีอีโอ ต้องการดึงนายใหญ่ชาวเยอรมันเข้ามาทำทีม ส่วนเปาโล มัลดินี่ และ ซโวนิเมียร์ โบบัน ที่เป็นผู้อำนวยการของทีม ยังคงเชื่อในตัวปิโอลี่ ก่อนที่จะจบลงด้วยการปลด โบบันออกจากตำแหน่ง แต่ก็ทำให้บรรดานักเตะภายในทีมโดยเฉพาะ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ไม่พอใจเพราะพวกเขาให้การสนับสนุนตัว ปิโอลี่ เต็มที่เช่นเดียวกัน
คืนชีพทีมจากจิตวิญญาณ
สุดท้ายแล้ว มิลานก็เลือกจะเชื่อใจกุนซือชาวอิตาเลี่ยนให้ทำทีมต่อไป และเจ้าตัวก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เมื่อซีซั่น2020/21 ที่เขาได้คุมทีมอย่างเต็มตัวก็พาทีมทะยานไปจบอันดับ 2 แถมทำสถิติไม่แพ้ใครยาวนานกว่า 15 นัดก่อนจะไปสะดุดพ่าย ยูเวนตุส ในช่วงต้นเดือนมกราคม เรียกว่าเป็นการพลิกฟอร์มจากทีมลุ้นพื้นที่ยุโรป เป็นทีมลุ้นแชมป์ทันที
ความเป็นทีม ความกระหายถูกแสดงออกมาผ่านตัวนักเตะที่ยิ่งเล่นยิ่งได้ใจ ประกอบกับการแก้เกม และ แท็คติคของ ปิโอลี่ ทำให้พวกเขาสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้อย่างเห็นได้ชัดขนาดนี้ แถมในเรื่องของความสัมพันธ์ภายในทีมบ่อยครั้งที่บรรดานักเตะ แสดงออกว่าพวกเขาทั้งเคารพและสนิทสนมกับกุนซือของทีม ไม่เว้นแม้แต่ตัวเก๋าอย่าง ซลาตัน
แม้ว่าจะไม่ใช่ทีมที่ดีที่สุด แต่เป็นทีมที่สามารถผสมผสานนักเตะวัยหนุ่มประสบการณ์น้อย กับแข้งใกล้ปลดระวางที่ผ่านการค้าแข้งมาอย่างโชกโชนได้อย่างลงตัว แถมซีซั่น 2021/22 ก็เริ่มด้วยการเสียนักเตะตัวหลักอย่าง จานลุยจิ ดอนนารุมม่า และ ฮาคาน คัลฮาโนกลูออกไปแบบฟรีๆ ประกอบกับปัญหานักเตะตัวหลักเจ็บรุมเร้ามากมาย แต่พวกเขาก็สามารถฝ่าฟันมาได้ด้วยความเป็นทีม จนเข้าป้ายคว้าสคูเด็ตโต้สมัยที่ 19 ที่รอมานานกว่า 11 ปีได้สำเร็จ