ถึงแม้เป็นชาติที่มีสมาคมฟุตบอลเก่าแก่เป็นอันดับที่ 3 ของโลก รวมถึงสร้างแข้งระดับโลกมาประดับวงการพอสมควร แต่ เวลส์ ก็ถือเป็นชาติเล็กๆที่ไม่เคยประสบความสำเร็จเป็นรูปธรรมในวงการลูกหนังเลย
นับตั้งแต่ลงเล่นเกมทางนัดแรกในปี 1876 ทีม ‘มังกรแดง’ เคยเข้าร่วมทัวร์นาเม้นต์ระดับเมเจอร์รอบสุดท้าย แค่ 3 ครั้งเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายการฟุตบอลโลก ปี 1958 ที่สวีเดน เป็นเจ้าภาพคือครั้งเดียวที่พวกเขาเคยเข้าร่วมการแข่งขัน และหลังจากนั้น ชาตินี้จากสหราชอาณาจักรก็ไม่เคยผ่านเข้ามาเล่นในรายการระดับโลกได้เลย
อย่างไรก็ดี การรอคอยของแฟนบอลชาวเวลส์ สิ้นสุดลงในวันที่ 5 มิถุนายน ปี 2022 เมื่อทีมภายใต้การดูแลของ โรเบิร์ต เพจ เอาชนะ ยูเครน 1-0 ในรอบเพลย์ออฟ คว้าตั๋วไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้เป็นหนแรกในรอบ 64 ปี
ด้วยเหตุนี้ UFA ARENA จึงขอพาย้อนไปพบกับเรื่องราวของทีมเล็กจากสหราชอาณาจักร ตั้งแต่ได้ไปเล่นฟุตบอลโลกครั้งแรก และอุปสรรคความยากลำบากที่พวกเขาเผชิญหลังจากนั้น ก่อนได้ไปเล่นบอลโลกอีกครั้งใน 64 ปีต่อมา
เกือบไปบอลโลกสมัยแรก
เวลส์ได้ก่อตั้งสมาคมฟุตบอลขึ้นมาในปี 1876 พร้อมกับพัฒนาทีมร่วมกับอีก 3 ชาติในสหราชอาณาจักร ในรายการ บริติช โฮม แชมเปี้ยนส์ชิพ ในฤดูกาล 1883-84 ซึ่งแข่งขันกันยาวนานถึงฤดูกาล 1983-84 โดยพวกเขาคว้าแชมป์ในรายการนี้ไป 12 สมัย
จากนั้นในปี 1910 พวกเขาก็กลายเป็นสมาชิกของ สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ฟีฟ่า ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างฟีฟ่า และสมาคมฟุตบอลในสหราชอาณาจักรนั้นเต็มไปด้วยความยุ่งยากวุ่นวาย และ 4 ชาติ ก็เลือกถอนตัวจาก ฟีฟ่า ในปี 1928 เนื่องจากมีข้อพิพาทเรื่องการจ่ายเงินให้กับผู้เล่นสมัครเล่น ส่งผลให้เวลส์ ไม่ได้เข้าร่วม ฟุตบอลโลก 3 หนแรกเช่นกัน ตั้งแต่ปี 1932
อย่างไรก็ตาม 4 ชาติจากสหราชอาณาจักรก็กลับมาเข้าร่วมเป็นสมาชิกของ ฟีฟ่า อีกครั้งในปี 1946 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง และหลังจากนั้นยุคของทีม ‘มังกรแดง’ ก็ถือกำเนิดขึ้น
ยุคทองมังกรแดง
ยุค 1950 เวลส์ เต็มไปด้วยดาวเด่นมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ไอวอร์ ออลเชิร์ช, คลิฟฟ์ โจนส์, อัลฟ์ เชอร์วู้ด, แจ็ค เคลซี่ย์, เทรเวอร์ ฟอร์ด, รอนนี่ เบอร์เจสส์, เทอร์รี่ เมดวิน หรือ จอห์น ชาร์ลส์
ทั้งหมดนี่คือผู้เล่นคนสำคัญที่ทีมผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้เป็นครั้งแรกในปี 1958 ที่สวีเดน เป็นเจ้าภาพ โดยในตอนนั้นทีมมี จิมมี่ เมอร์ฟี่ เป็นผู้จัดการทีมกุมบังเหียน
แต่เส้นทางสู่บอลโลกของพวกเขาดูไม่ปกติเท่าไหร่ เนื่องจากจบอันดับที่ 2 ในรอบคัดเลือกรองจาก เช็กโกสโลวาเกีย แต่ปัญหาการเมืองระหว่างชาติจากเอเชีย และแอฟริกา ทำให้ ตุรกี, อินโดนีเซีย และ ซูดาน ปฏิเสธที่จะลงเล่นในรอบแบ่งกลุ่มพบ อิสราเอล ส่งผลให้พวกเขาที่เป็นแชมป์กลุ่ม
แต่การผ่านเข้าไปเล่นบอลโลกแบบไม่เตะแม้แต่นัดเดียวคงเป็นเรื่องประหลาดเกินไป ทำให้ ฟีฟ่า เลือกทีมที่จบรองแชมป์กลุ่มในยุโรปมาเตะเพลย์ออฟ ซึ่งเดิมทีคือ เบลเยี่ยม แต่ก็ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมอีก ให้ทีม ‘มังกรแดง’ ได้ส้มหล่น ก่อนเอาชนะ อิสราเอล 2-0 คว้าตั๋วไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้สำเร็จ
เวลส์ อยู่ในกลุ่มเดียวกับ สวีเดน เจ้าภาพ, ฮังการี และ เม็กซิโก แต่คว้าผลเสมอมาได้ทั้ง 3 นัด แต่ก็เพียงพอให้พวกเขาผ่านเข้ารอบน็อคเอ้าท์ตามหลัง ไวกิ้ง ก่อนไปจอดในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ด้วยการพ่ายต่อ บราซิล ว่าที่แชมป์โลก จากประตูโทนของ เปเล่ ที่มีวัยเพียง 17 ปีในตอนนั้น ก่อนที่ทีมจะเข้าสู่ยุคตกต่ำอย่างช้าๆ
อดไปบอลโลกแบบช้ำๆ
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เวลส์ ก็ไม่สามารถผ่านเข้าไปเล่นในรอบสุดท้ายของทัวร์เนาเม้นต์ระดับเมเจอร์ได้เลย ทั้งศึกชิงแชมป์ระดับทวีปยุโรป หรือ ฟุตบอลโลก อีกทั้งในรอบคัดเลือกก็มักกลายเป็นทีมที่คอยแจกแต้มให้ชาติอื่นๆอยู่ร่ำไป
แต่หากพูดกันจริงๆ โอกาสได้ไปเล่นบอลโลกหลังจากนั้นก็ยังมีอยู่บ้าง แต่การเสียจุดโทษแบบกังขาทำให้พวกเขาพลาดไปลุ้นเพลย์ออฟในปี 1978 และ 1986 ตามลำดับ แต่เหตุการณ์ที่เจ็บช้ำที่สุดคงหนีไม่พ้นฟุตบอลโลก 1994 รอบคัดเลือก
ณ ตอนนั้น ทีม ‘มังกรแดง’ เต็มไปด้วยดาวเด่นหลายราย ทั้ง เนวิลล์ เซาธ์ทอลล์ นายทวารตัวเก๋า, แกรี่ สปีด ดาวเตะจากลีดส์ ยูไนเต็ด, ไรอัน กิ๊กส์ กับ มาร์ค ฮิวจ์ส จาก แมนฯ ยูไนเต็ด หรือ เอียน รัช กองหน้าตัวเก่งจาก ลิเวอร์พูล
โดยในนัดสุดท้ายของรอบคัดเลือกที่พบกับ โรมาเนีย เกมเสมอกัน 1-1 แต่โอกาสของพวกเขาก็มาถึงเมื่อได้จุดโทษในครึ่งหลัง ซึ่งหากยิงเข้าเป็นประตูชัยพวกเขาก็การันตีไปเล่นบอลโลกรอบสุดท้ายทันที และจะพิเศษยิ่งกว่าเดิมด้วย เนื่องจากอังกฤษ ชาติเพื่อนบ้านในสหราชอาณาจักร พลาดไปเล่นบอลโลกที่ สหรัฐอเมริกา แน่นอนแล้ว
โดยคนที่รับหน้าที่สังหารคือ พอล โบดิน กองหลังจาก สวินดอน ทาวน์ ซึ่ง 3 จุดโทษก่อนหน้านี้ก็เคยพลาด ทว่าในหนนี้กลับซัดไปชนคานเต็มๆ และหลังจากนั้น ทีม ‘ผีดิบ’ ก็ซัดประตูชัยในนาทีที่ 83 ส่งผลให้พวกเขาต้องรอคอยโอกาสไปเล่นบอลโลกต่อไปเป็นปีที่ 36 และรอต่อไปโดยที่ไม่รู้เลยว่าจะจบลงเมื่อไหร่
ความหวังใหม่
อย่างไรก็ตาม ความหวังสู่ทัวร์นาเม้นต์ใหญ่ของแฟนบอลชาวเวลส์ก็ยังไม่จบสิ้นลง เมื่อปลายปี 2010 แกรี่ สปีด อดีตกองกลางของทีมในชุดดังกล่าว ได้เข้ามาคุมทีมต่อจาก จอห์น โตแช็ค ด้วยเป้าหมายยุติ 52 ปีที่พลาดเข้าร่วมทัวร์นาเม้นต์ระดับเมเจอร์ให้ได้
แน่นอนว่าชาติเล็กจากสหราชอาณาจักรก็ยังสร้างดาวเตะขึ้นมาประดับวงการ ไม่ว่าจะเป็น แกเร็ธ เบล, อารอน แรมซี่ย์, โจ อัลเลน, นีล เทย์เลอร์ ในช่วงนั้น
สปีด เริ่มต้นได้อย่างยอดเยี่ยมกับการพาทีมคว้าชัย 5 จาก 10 นัดแรกที่คุม ทว่าทุกอย่างก็หยุดชะงักลงอีกครั้ง เมื่อ อดีตแข้ง ‘ยูงทอง’ เลือกจบชีวิตตัวเองแบบสุดช็อกด้วยการแขวนคอในโรงรถ เมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2011
เหตุการณ์ทำให้ทีมต้องไปเริ่มกันใหม่อีกครั้ง ก่อนได้ คริส โคลแมน เข้ามาสานต่อทีมช่วงต้นปี 2012 ซึ่งแม้พลาดไปเล่นบอลโลกที่บราซิลในปี 2014 แต่ใน ยูโร 2016 รอบคัดเลือก ทีมทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม จนคว้าอันดับ 2 เข้ารอบสุดท้ายตามหลัง เบลเยี่ยม ซึ่งนอกจากได้เล่นในยูโรรอบสุดท้ายเป็นครั้งแรกแล้ว ยังเป็นการได้เล่นรายการเมเจอร์ครั้งแรกในรอบ 58 ปีด้วย
และุถึงเป็นหนแรกในศึกใหญ่ระดับทวีป แต่ทัพ ‘มังกรแดง’ ก็กลายเป็นม้ามืดในรายการทันที หลังผงาดจบแชมป์กลุ่ม บี เหนือ อังกฤษ ตัวเต็ง และในรอบน็อคเอ้าท์ ก็เฉือน ไอร์แลนด์เหนือ 1-0 ในรอบ 16 ทีม ก่อนโชว์ฟอร์มเทพสุดๆ ด้วยการตบ เบลเยี่ยม ตัวเต็งแชมป์รายการถึง 3-1
แม้สุดท้ายไปพ่ายให้กับ โปรตุเกส ว่าที่แชมป์ในรายการนั้น ณ รอบรองชนะเลิศ แต่พวกเขาก็กลายเป็นฮีโร่ของคนทั้งชาติ เมื่อกลับมาบ้านเกิด พร้อมได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่จากแฟนๆ ซึ่งถือเป็นความสำเร็จที่พวกเขาไม่เคยพบเจอมาก่อน
บอลโลกที่รอคอย
จากความสำเร็จดังกล่าวทำให้ เวลส์ ตั้งเป้าไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่ รัสเซีย ให้ได้ ในปี 2018 แต่การพ่ายให้ ไอร์แลนด์ ในรอบคัดเลือกทำให้ทีมจบแค่อันดับ 3 ก่อนที่ โคลแมน จะลาออกจากตำแหน่งเพื่อไปรับงานคุม ซันเดอร์แลนด์ ในปี 2017
ไรอัน กิ๊กส์ เข้ามารับช่วงต่อหลังต้นปี 2018 แต่จากประเด็นทำร้ายร่างกายแฟนสาว ทำให้เขาถูกพักงานทันที และสมาคมก็ดัน โรเบิร์ต เพจ เข้ามาคุมทีมชั่วคราว ที่ถึงแม้ไม่เคยมีประวัติคุมทีมชาติหรือสโมสรระดับท็อปมาก่อน แต่ก็สามารถพาทีมทำผลงานได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ทั้งการเลื่อนชั้นไปเล่นในลีก เอ ของ ยูฟ่า เนชั่นส์ลีก หรือในยูโร 2020 ที่ไปถึงรอบ 16 ทีมสุดท้าย
นั่นทำให้ สมาคมยังไว้วางใจให้ เพจ ทำหน้าที่นี้ต่อไปในฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก ซึ่งก็ทำผลงานได้ดีตามมาตรฐานจบพาทีมจบอันดับ 2 ในกลุ่ม อี และไปลุ้นตั๋วไปบอลโลกรอบสุดท้ายด้วยการเพลย์ออฟ
ออสเตรีย คือคู่แข่งรายแรกในรอบตัดเชือก ซึ่งทีมของ เพจ ก็เอาชนะมาได้แบบไม่ยากเย็น ก่อนเตรียมพบกับ ยูเครน ในนัดชิงชนะเลิศ
ด้วยภาวะสงครามที่ถูกรัสเซียรุกรานในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ทำให้ ยูเครน มุ่งมั่นทุ่มเทกับเกมนี้อย่างมาก และด้วยขุมกำลังที่มีทำให้ทีมของ โอเล็กซานเดอร์ เปตราคอฟ ดูเป็นต่อกว่าด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม มังกรแดง ที่รูปเกมดูเป็นรอง กลับเป็นฝ่ายขึ้นนำไปก่อนจาก เบล สตาร์เบอร์หนึ่งของทีม ก่อนที่ เวย์น เฮนเนสซี่ย์ จะโชว์เซฟแบบอุตลุดถึง 9 ครั้งในเกมนั้น ช่วยให้ทีมคว้าชัยได้สำเร็จ
นั่นทำให้การรอคอยสิ้นสุดลงที่ 64 ปี เมื่อ เพจ กลายเป็นกุนซือคนแรกที่พา เวลส์ ผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโลกได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1958
ครั้งสุดท้ายที่ ทีมจากสหราชอาณาจักร ได้เล่นบอลโลก แมนฯ ยูไนเต็ด กับ ลิเวอร์พูล ยังคว้าแชมป์ลีกได้เพียงทีมละ 5 สมัยเท่านั้น และทั้งโลกก็ยังไม่รู้ เปเล่ ด้วยซ้ำ ก่อนมาสร้างชื่อในศึกใหญ่ที่สวีเดน ซึ่งนี่บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน
ทัพ ‘มังกรแดง’ เตรียมตัวมุ่งหน้าสู่กาตาร์ปลายปีนี้ โดยอยู่กลุ่มเดียวกับ อังกฤษ, สหรัฐอเมริกา และ อิหร่าน
แน่นอนว่า พวกเขา ก็ยังไม่ใช่ตัวเต็งอยู่แล้ว แต่จากสิ่งต่างๆที่ทีมแสดงให้เห็นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในศึกยูโร 2016 ก็พิสูจน์ว่า เวลส์ อาจจะเป็นหนึ่งในทีมม้ามดที่สร้างเซอร์ไพรส์ในบอลโลกหนนี้ก็เป็นได้