มหกรรมกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติอย่าง โอลิมปิก เกมส์ 2020 กำลังจะเปิดฉากขึ้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 23 กรกฏาคมนี้ ที่จากเดิมจะต้องเริ่มกันตั้งแต่ 24 กรกฏาคมปีที่แล้ว แต่ด้วยสถานการณ์โควิดทำให้ต้องเลื่อนมาในปีนี้เช่นเดียวกับศึกยูโร 2020 ที่เพิ่งจบไป แน่นอนว่ากีฬามหาชนอย่าง ฟุตบอลก็เป็นที่จับตาอยู่แล้ว นอกจากนี้ยังเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้บรรดานักเตะอายุน้อยขึ้นมาสร้างสรรค์ผลงานจากกฏเกณฑ์เรื่องอายุที่ถูกกำหนดไว้
ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีสตาร์ดังชื่อคุ้นหูหลายรายที่แจ้งเกิดจากรายการนี้ วันนี้ UFA ARENA จะพาไปย้อนดูเหล่าดาวดังที่ใช้เวที โอลิมปิก เป็นสถานที่แจ้งเกิดของตัวเอง ว่าจะมีใครกันบ้าง
เป๊ป กวาร์ดิโอล่า | ทีมชาติสเปน
ย้อนกลับไปในสมัยเป็นนักเตะ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เพิ่งเริ่มต้นลงสนามให้กับ บาร์เซโลน่า อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เมื่อฤดูกาล 1991/92 เท่านั้น แต่เขาก็ถูกเรียกติดทีมชาติสเปน ชุดโอลิมปิก ปี 92 ด้วยวัยเพียงแค่ 21 ปีเท่านั้น ก่อนที่เขาจะสร้างชื่อให้ตัวเองด้วยการพาทีมเอาชนะ โคลอมเบีย ในเกมนัดชิง 3-2 คว้าเหรียญทองไปได้สำเร็จ
ซึ่งในรายการดังกล่าวเขายังสามารถคว้ารางวัล บราโว อวอร์ด ที่เป็นรางวัลสำหรับดาวรุ่งที่ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นในยุโรป ส่วนกับสโมสรเขาก็กลายมาเป็นตัวหลักของทีมและได้ลงสนามไปกว่า 384 นัด ยิง 12 ประตู 40 แอสซิสต์ รวมทุกรายการ พร้อมคว้าถ้วยแชมป์ติดมือไปถึง 15 รายการ ก่อนที่เขาจะกลับมารับงานเป็นผู้จัดการทีมในปี 2008 ก่อนเป็นจุดเริ่มต้นของยุคทองทัพต่างดาว
เฮอร์นาน เครสโป | อาร์เจนติน่า
กองหน้าเลือดฟ้าขาวที่ถูกเรียกติดทีมชาติไปด้วยวัย 21 ปีเท่านั้น ซึ่งในช่วงเวลานั้นเขายังค้าแข้งอยู่ในทีมบ้านเกิดกับ ริเวอร์เพลท ก่อนที่เวทีโอลิมปิก จะกลายเป็นสถานที่แจ้งเกิดเต็มตัวของเขา ด้วยผลงานยิงคนเดียว 6 ประตู แม้ว่าพวกเขาจะได้ไปแค่เหรียญเงิน แต่นี้เป็นประตูสู่การค้าแข้งในยุโรปของ เครสโป
โดยหลังจากจบทัวร์นาเมนต์นี้ หัวหอกชาวอาร์เจนไตน์ ก็โดน ปาร์ม่า ดึงไปสู่ทีมทันที ก่อนจะได้ย้ายไป ลาซิโอ ในปี 2000 ในฐานะนักเตะที่แพงที่สุดในโลกเวลานั้นด้วยค่าตัว 36 ล้านปอนด์ ซึ่งหลังจากนั้นเส้นทางอาชีพของเขาก็อุดมไปด้วยทีมใหญ่ทั้ง อินเตอร์ มิลาน, เอซี มิลาน และ เชลซี ก่อนกลับมาแขวนสตั๊ดกับ ปาร์ม่า ในปี 2012
โรนัลโด้ | บราซิล
แม้ว่าตำนานแข้งแซมบ้าจะมีชื่ออยู่ในทีมชุดแชมป์โลก 1994 แต่ในรายการนั้น ตัวเขาในวัย 18 ปีไม่ได้รับโอกาสลงไปมีส่วนร่วมกับทีมเลยแม้แต่เกมเดียว หลังจากนั้นเมื่อมาถึง โอลิมปิก 1996 โรนัลโด้ ก็ได้กลายเป็นแนวรุกตัวหลักที่กดไป 5 ประตู พร้อมกับฟอร์มการเล่นอันโดดเด่น น่าเสียดายที่เขาคว้าไปได้แค่ เหรียญทองแดงเท่านั้น
แต่ด้วยฟอร์มการเล่นระดับนี้ทำให้เขาได้ย้ายจาก พีเอสวี ไปอยู่กับ บาร์เซโลน่า ทำให้เขาได้สร้างชื่อของตัวเองอย่างเต็มตัว ก่อนที่จะได้ย้ายไปอยู่กับทั้ง อินเตอร์ มิลาน, เรอัล มาดริด และ เอซี มิลาน และแม้จะมีอาการบาดเจ็บตามรบกวนตลอดอาชีพ แต่เขาก็กวาดแชมป์ไปมากถึง 18 รายการทั้งในนามทีมชาติและสโมสร
ซามูเอล เอโต้ | แคเมอรูน
ดาวรุ่งจาก เรอัล มาดริด ถูกเรียกมาติดทีมชาติชุดลุย โอลิมปิกด้วยวัยเพียง 19 ปี เท่านั้น แต่พวกเขาก็สามารถเอาชนะทีมชาติสเปนในการดวลจุดโทษ ซึ่งตัว เอโต้ ก็เป็นผู้ยิงประตูช่วยให้ทีมตีเสมอได้ในเวลา คว้าเหรียญทองไปครองได้สำเร็จ
อย่างไรก็ตามกับทัพราชันชุดขาว เขาก็ยังไม่ได้รับโอกาสและถูกปล่อยไปแจ้งเกิดเต็มตัวกับ มายอร์ก้า หลังจบศึกโอลิมปิก ก่อนจะไปเป็นสตาร์ที่ บาร์เซโลน่า พร้อมผลงาน 133 ประตูจากการลงสนาม 199 นัด และได้ย้ายไปเล่นให้อีก 8 สโมสรก่อนแขวนสตั๊ด นอกจากนี้เขายังเป็นหนึ่งในตัวหลักของ อินเตอร์ มิลาน ชุดทริปเปิ้ลแชมป์อีกด้วย
คาร์ลอส เตเวซ | อาร์เจนตินา
ย้อนไปในรายการโอลิมปิก 2004 ดาวยิงวัย 20 ปียังค้าแข้งอยู่กับทีมในบ้านเกิดกับ โบคา จูเนียร์ ซึ่งเจ้าตัวเป็นนักเตะที่ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นที่สุดในทีมยุคนั้น ด้วยผลงานยิงไป 8 ประตู จากการลงสนาม 6 นัด พร้อมพาทีมคว้าเหรียญทองไปอย่างยอดเยี่ยม
อย่างไรก็ตามหลังจากจบศึกครั้งนี้ เขาก็ยังไม่ได้ย้ายไปทีมใหญ่ๆเหมือนคนอื่นเลยในทันที แต่ต้องรออีก 1 ปีก่อนจะได้ย้ายไป โคเรนเทียน ต่อด้วย เวสต์แฮม และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งเป็นที่ที่เขาสร้างชื่อให้ตัวเองอย่างโด่งดังสุดๆ
อังเคล ดิ มาเรีย | อาร์เจนตินา
นอกจากที่ ดิ มาเรีย จะเพิ่งเป็นผู้ทำประตูชัยช่วยให้ อาร์เจนติน่า คว้าแชมป์โคปา อเมริกาล่าสุด ที่ถือเป็นแชมป์รายการแรกกับทีมชาติของสตาร์ดังอย่าง ลิโอเนล เมสซี่ มาได้แล้ว ย้อนไปในโอลิมปิกปี 2008 เจ้าตัวก็เป็นผู้ทำประตูชัยพา เมสซี่ คว้าความสำเร็จแรกในนามทีมชาติอย่างการคว้าเหรียญทองด้วย
โดยในเวลานั้น แนวรุกเลือดฟ้าขาวเพิ่งย้ายมาค้าแข้งบนเวทียุโรปกับ เบนฟิก้า ก่อนจะใช้เวลาสั่งสมชื่อเสียงอีกถึงปี 2010 ก่อนที่ เรอัล มาดริด จะมาดึงเขาไปร่วมทีมและแจ้งเกิดในฐานะสตาร์ชื่อดังอย่างเต็มตัว จนมาถึงปัจจุบันเขาก็ยังคงค้าแข้งอยู่กับ เปแอสเช
ลูคัส มูรา | บราซิล
เด็กหนุ่มวัยเพียง 20 ปี ถูกเรียกติดทีมชาติบราซิลชุดลุยโอลิมปิกปี 2012 แม้ว่าจะจบลงด้วยการคว้าเหรียญเงิน แต่ฟอร์มการเล่นของเจ้าตัวจัดว่าโดดเด่นอย่างมาก จนหลังจากนั้นเพียงแค่ปีเดียวก็เป็น เปแอสเช ที่ดึงเขาไปลุยเวทียุโรป ด้วยค่าตัวมากถึง 45 ล้านยูโร
โดยเพียงแค่ 5 ฤดูกาลในแดนน้ำหอม มูร่า ก็กวาดความสำเร็จไปด้วยแชมป์ถึง 16 รายการ ก่อนที่ในปี 2018 จะได้ย้ายมาโลดแล่นในพรีเมียร์ลีกกับ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ มาจนถึงปัจจุบัน ที่เขาก็ยังคงได้รับโอกาสอย่างสม่ำเสมอ จากฤดูกาลล่าสุดที่ได้ลงสนามไป 50 นัด ยิง 9 ประตู 8 แอสซิสต์ รวมทุกรายการ
แซร์จ กนาบรี้ | เยอรมัน
แม้ในช่วงฤดูกาล 2015/16 ดาวเตะชาวเยอรมันจะถูกปล่อยไปล้มลุกคลุกคลานกับ เวสต์บรอมวิช แต่ในระดับทีมชาติเขาก็ยังถูกเรียกตัวติดทีมไปลุยศึกโอลิมปิก ซึ่งนี้ถือเป็นการกอบกู้ชื่อเสียงของตัวเองจากที่ล้มเหลวในระดับสโมสร ด้วยการที่เขายิงไปถึง 6 ประตูในรายการนี้ แม้ว่าจะไปได้ไม่ถึงเหรียญทองจากการแพ้จุดโทษ บราซิลในเกมนัดชิง แต่ก็ทำให้ชื่อของเขาถูกพูดถึงมากขึ้น
หลังจบทัวร์นาเมนต์ กนาบรี้ก็เลือกไม่ต่อสัญญากับ อาร์เซน่อล และย้ายกลับบ้านเกิดไปอยู่กับ เบรเมน ซึ่งก็ใช้เวลาแค่เพียงฤดูกาลเดียวก็ได้ย้ายไปอยู่กับยอดทีมอย่าง บาเยิร์น มิวนิค ก่อนกลายเป็นหัวใจสำคัญในเกมรุกของทั้งสโมสรและทีมชาติในเวลาต่อมา โดยในฤดูกาลล่าสุดเขาลงสนามไปกว่า 38 นัด ยิง 11ประตู 7 แอสซิสต์รวมทุกรายการ
กาเบรียล เชซุส | บราซิล
ดาวรุ่งจาก พัลไมรัส เป็นอีกหนึ่งนักเตะในทีมชาติบราซิลชุดคว้า เหรียญทอง โอลิมปิกสมัยแรกให้กับทีมได้ แม้ว่าจะเป็นดาวรุ่งวัยเพียงแค่ 19 ปี ท่ามกลางสตาร์ดังอย่าง เนย์มาร์ และมาร์ควินญอส แถมเขาเองก็ไม่ได้แค่มีชื่อติดทีมมาเพียงเท่านั้น แต่ยังได้ลงทำผลงานไปได้ 3 ประตูอีกด้วย
ก่อนที่หลังจากนั้นเพียงแค่ปีเดียว แมนเชสเตอร์ ซิตี้ก็เป็นทีมที่เข้ามาดึงตัวเขาไปสู่ทีม พร้อมประสบความสำเร็จอย่างมากทั้งในระดับสโมสรที่ถูกดันขึ้นมาแทน เซร์คิโอ อเกวโร่ และในระดับทีมชาติที่ตอนนี้เขาเป็นตัวหลักของทีมชุดปัจจุบัน
โมฮาเหม็ด ซาลาห์ | อียิปต์
ย้อนไปในศึกโอลิมปิก 2012 แม้ว่า อียิปต์ จะไปไม่ถึงการคว้าเหรียญ แต่หนึ่งในนักเตะที่โชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นก็คือ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ ที่เพิ่งถูกดันขึ้นทีมชุดใหญ่ของทีมในบ้านเกิดเพียงแค่ 2 ปี เท่านั้น ซึ่งก่อนหน้านี้ในเกมอุ่นเครื่องกับ ทีมชาติบราซิล เขาก็ยิงไป 2 ประตู พาทีมชนะ 4-3
โดยหลังจบศึกโอลิมปิก บาเซิ่ล ก็เป็นทีมที่เข้ามาดึงตัวเขาไปร่วมทัพ ก่อนที่จะเป็นเชลซีที่มารับช่วงต่อ แม้ว่าที่ สแตมฟอร์ดบริดจ์ จะถือว่าล้มเหลวแต่สุดท้ายเขาก็ได้กลับมากู้ชื่อของตัวเองบนเวทีพรีเมียร์ลีกอีกครั้งกับ ลิเวอร์พูล ในปัจจุบัน พร้อมกลายเป็นหนึ่งในยอดดาวยิงประจำลีกในทันที
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : จับตาให้ดี! 7 แข้งม้ามืดเตรียมฉายแสง โอลิมปิก เกมส์ 2020