ในยุค ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ลิเวอร์พูล ดูจะแพ้ทางให้กับ เรอัล มาดริด บ่อยๆ หลังพ่ายไปถึง 6 จากการพบกัน 9 ครั้งในรายการนี้ โดยเฉพาะในนัดล่าสุดที่โดนถลุงคา แอนฟิลด์ 5-2 ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย เลกแรก เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา
แต่อย่างน้อย เดอะ ค็อป หลายคนก็จดจำเกมดวลกับ ‘ราชันชุดขาว ‘ในฤดูกาล 2008-09 ได้ขึ้นใจ เนื่องจากนั้นเป็น 2 หนที่ทีมรักของพวกเขาเอาชนะคู่แข่งจากสเปนได้ แถมเอาชนะด้วยสกอร์ถล่มถลายถึง 4-0 ด้วย
โดยผู้นำในวันนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็น สตีเว่น เจอร์ราร์ด กองกลางกัปตันทีม ในเวลานั้นนั่นเอง หลังเกมแรก หงส์แดง เอาชนะมาได้ด้วยประตูโทนของ ยอสซี่ เบนายูน ก่อนกลับมาเตะกันที่ แอนฟิลด์
ด้วยเหตุนี้ UFA ARENA จะพาไปย้อนรำลึกถึงเกมนั้นที่ หงส์แดง ถล่มยอดทีมจากแดนกระทิงจนหมดสภาพ
เจอร์ราร์ดโชว์
บริบทโดยรอบในแต่ละช่วงเวลานั้นน่าทึ่งมาก เนื่องจาก เรอัล มาดริดเป็นรองบาร์เซโลน่าในลาลีก้า และลิเวอร์พูลตามหลังแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในทำนองเดียวกัน ทำให้ทั้ง 2 ทีมมีโอกาสประสบความสำเร็จในฟุตบอลยุโรปไม่น้อยไปกว่ากัน
ในเกมแรก กองกลางผู้เป็นกัปตันทีม ‘หงส์แดง’ เพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บมาหมาด ทำให้เขาไม่ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงที่ ซานติอาโก้ เบอร์นาเบว แต่นั่นก็ทำให้เขามีความกระหายยิ่งกว่าเดิมในเกมที่ แอนฟิลด์
ในเลกสอง ราฟาเอล เบนิเตซ ได้วางให้ เจิด เล่นเป็นตัวรุกเบอร์ 10 อยู่ข้างหลัง เฟร์นานโด ตอร์เรส โดยมี ชาบี อลอนโซ่ และ ฮาเวียร์ มาสเคราโน่ สนับสนุนอยู่ด้านหลังในแดนกลาง
เกมผ่านไปแค่ 16 นาที เอล นินโญ่ ก็ยิงประตูให้ หงส์แดง ขึ้นนำ นั่นทำให้ทีมเจ้าบ้านที่ได้เปรียบอยู่แล้วจากสกอร์ในเกมแรก ยกระดับโมเมนท์ตั้มของเกมให้มาอยู่ที่พวกเขามากกว่าเดิมทันที
ก่อนจบครึ่งแรก ลิเวอร์พูล ทิ้งห่างไปเป็น 2-0 จากจุดโทษของ กองกลางกัปตันทีม ที่ยิงผ่าน อิเกร์ กาซิยาส ผู้รักษาประตูที่ถูกยกย่องว่าเป็นเบอร์หนึ่งของโลก ณ เวลานั้นด้วย
ฉีกเกมรับชุดขาวขาดวิ่น
ครึ่งหลัง ลูกทีมของ ราฟาแอล เบนิเตซ ก็ไม่ได้ผ่อนเกมลงแต่อย่างใด เมื่อ เจอร์ราร์ด ทำการวางเท้าแปเน้นๆในกรอบเขตโทษ จากลูกครอสด้านของ ไรอัน บาเบล เข้าไปตุงตาข่ายให้ออกนำเป็นลูกที่ 3 ในค่ำคืนวันนั้น
ต่อหน้า เดอ ค็อป ในแอนฟิลด์ นี่เป็นเกมที่ 100 ของ กัปตันทีมเบอร์ 8 ในฟุตบอลยุโรปกับ ลิเวอร์พูล แถมโชว์ฟอร์มได้ระดับท็อปอีกด้วย ซึ่งทำให้ทีมนำห่างไปด้วยสกอร์รวม 2 นัด 4-0 แล้ว หลังออกสตาร์ทครึ่งหลังแค่ 2 นาที
อันเดรีย ดอสเซน่า เป็นคนยิงประตูปิดกล่อง ในช่วงนาทีที่ 88 ให้ หงส์แดง เอาชนะไปด้วยสกอร์ ท่วมท้น 4-0 และกลายเป็นอีกหนึ่งค่ำคืนพิเศษที่เหล่า เดอะ ค็อป ไม่มีทางลืม
ถึง กองกลางทีมชาติอังกฤษ ไม่อยู่ในสนามครบ 90 นาที เนื่องจากถูกเปลี่ยนตัวออกในนาทีที่ 73 แต่แค่นั่นก็เพียงพอแล้วกับการฉีกเกมรับของ โลส บลังโกส เป็นชิ้นๆในเกมนั้น
และไม่แปลกที่ฟอร์มการเล่นในวันนั้น จะทำให้ ราอูล กอนซาเลซ ตำนานดาวยิงของทีมชุดขาว โน้มน้าวให้ เจอร์ราร์ด ย้ายมาเล่นร่วมกันที่สเปนด้วย
“พอจะมีโอกาสบ้างมั้ยที่นายจะมาเล่นให้ มาดริด?” อดีตกองหน้าทีมชาติสเปน กล่าวหลังเห็นฟอร์มของ เจ้าของเบอร์ 8 ขวัญใจแฟนหงส์
การพ่ายให้กับ ลิเวอร์พูล ด้วยสกอร์รวม 5-0 กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ เรอัล มาดริด เข้าสู่ยุคใหม่ เนื่องจากตกรอบอย่างรวดเร็วในฟุตบอลยุโรป ซึ่งนำไปสู่การยกเครื่องสร้างทีมขึ้นใหม่ในฤดูกาลต่อมา
คริสเตียโน่ โรนัลโด้, ริคาร์โด้ กาก้า, คาริม เบนเซม่า หรือ ชาบี อลอนโซ่ คือเหล่าสตาร์ดังบางส่วนที่ถูกดึงมาร่วมทัพ ราชันชุดขาว ในซัมเมอร์ปี 2009 แต่ใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากพวกเขาเดินหน้าคว้า แข้งเลือดผู้ดี มาร่วมทีมด้วยอีกคน
ความมั่นใจเต็มเปี่ยม
หลังจากชัยชนะ ตามแบบฉบับของเบนิเตซ เขาไม่อยากยกย่องผู้เล่นเพื่อชมเชยเป็นรายบุคคล แต่เขาเลือกที่จะพูดถึงความพยายามทุ่มเทของทีมมากกว่า
“เฟร์นานโด และ สตีวี่ เล่นได้ดีมากๆ แต่ผมไม่ชอบที่จะพูดถึงนักเตะคนเดียวมากเกินไป” กุนซือชาวสแปนิช กล่าวกับนักข่าว “ทั้งทีม ทั้งผู้เล่น และสต๊าฟฟ์ทุกคน ทั้งทีมแพทย์ โค้ช ไปยันทีมกายภาพ ทุกคนทำได้ดี ผมคิดว่าเราทำได้ดีมากๆเพื่อแฟนๆ”
ขณะที่ เจอร์ราร์ด ก็ออกมายกย่องถึงสปิริตของเพื่อนร่วม หงส์แดง เช่นกัน โดยกล่าวว่า “เราทำงานเสร็จลุล่วงใน 30 นาทีของคืนนนั้น ผมคิดว่ามันเจ๋งไปเลยล่ะ”
“ครึ่งหลัง มันเกี่ยวกับการมองเห็นเกม และโชคดีที่เราสามารถทำสกอร์เพิ่มได้อีก เราทุกคนล้วนยินดีมากๆ มันสำคัญที่เอาชนะ และผ่านเข้าไปในรอบ 8 ทีมสุดท้าย มันเป็นฟอร์มการเล่นของทีมที่ยอดเยี่ยมมากในคืนนี้”
ความมั่นใจของ ลิเวอร์พูล มีอย่างเต็มเปี่ยมหลังจากเกมยุโรป เพราะอีก 4 วันต่อมา พวกเขาก็ทำแบบเดียวกันในเกมพรีเมียร์ลีกที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด หลังบุกไปถล่ม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถึง 4-1 โดยที่ เจอร์ราร์ด เป็นพระเอกของทีมอีกครั้ง
น่าเสียดายที่ปีนั้น ลิเวอร์พูล จบฤดูกาลมือเปล่า ทั้งใน UCL ที่จอดรอบ 8 ทีมสุดท้าย หลังพ่าย เชลซี ด้วยสกอร์รวม 5-7 ขณะที่บอลลีก ก็ไล่ ปีศาจแดง ทีมแชมป์ไม่ทัน
แต่ถึงอย่างนั้น ความยอดเยี่ยม เจอร์ราร์ด ในช่วงเวลานั้นก็ยากจะลืมเลือน และแสดงให้เห็นว่าเวลาช่วงที่พีกๆ เขาก็สามารถพา ลิเวอร์พูล เอาชนะทีมสุดแกร่งได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นจากในประเทศหรือยุโรป ก็ตาม