ศึกฟุตบอล เดอะ แชมเปี้ยนชิพ อังกฤษ ได้บทสรุปไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังฟาดแข้งกันมาอย่างยาวนานถึง 46 เกม
ทีมแชมป์คงไม่ต้องพูดถึงเพราะ “เดอะ คลาเร็ตต์” เบิร์นลีย์ ที่เพิ่งตกชั้นไปเมื่อฤดูกาลที่แล้ว สามารถกลับมาขึ้นมาเล่นบนลีกสูงสุดได้อย่างรวดเร็ว ด้วยฝีมือการคุมทีมของกุนซือดาวรุ่งอย่าง แวงซ็องต์ กอมปานี ที่พาทีมเก็บได้ถึง 101 คะแนน เลขสวยเลยทีเดียว
อดีตแนวรับของ แมนฯ ซิตี้ ถือว่าเป็นหนึ่งในผู้จัดการทีมที่น่าจับตามอง เพราะนี่คือการเข้ามาทำงานในอังกฤษ ปีแรกของเขา แต่สามารถพาทีมคว้าแชมป์พร้อมตั๋วในการเลื่อนชั้นได้ทันที
ขณะที่รองแชมป์เป็นของ “ดาบคู่” เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ที่ตกชั้นไปเมื่อฤดูกาล 2020-21 พวกเขาใช้เวลาแค่ 2 ปี ในการกลับขึ้นมาพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง ผู้จัดการทีมชุดนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน พอล ฮิกกิ้นบ๊อดท่อม คนที่รับไม้ต่อจาก คริส ไวเดอร์ ในช่วงท้ายฤดูกาลที่ตกชั้นนั้นเอง
ที่น่าใจหายไม่น้อยคือเหล่าบรรดา 3 ทีมท้ายตารางที่ต้องกระเด็นหล่นลงไปเล่นลีก วัน วีแกน แอธเลติก, แบล็คพูล และ เรดดิ้ง เป็นทีมที่เราคุ้นหูกันทั้งนั้น เพราะต่างก็เคยมาโลดแล่นบนลีกสูงสุด
อันดับในตารางจบลงแล้ว แต่ไฮไลท์สำคัญยังไม่หมด การเพลย์ออฟของทีมอันดับ 3-6 ที่ต้องแย่งชิงตั๋วใบสุดท้ายในการเลื่อนชั้นขึ้นไปเล่นในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ
โดยทีมอันดับ 3 อย่าง ลูตัน ทาวน์ จะต้องพบกับอันดับ 6 อย่าง “แมวดำ” ซันเดอร์แลนด์ ที่พลิกนรกทะยานเข้ามาเพลย์ออฟในวันสุดท้าย ส่วนอันดับ 4 “สิงห์แดง” มิดเดิ้ลสโบรห์ จะเจอกับ “ช้างกระทืบโรง” โคเวนทรี
รอบตัดเชือกจะเล่นกับแบบเหย้า-เยือน ก่อนจะหาสองทีมไปเล่นรอบชิงชนะเลิศที่สนามเวมบ์ลีย ในวันที่ 27 พฤษภาคม
วันนี้ UFA ARENA จะพาทีมทุกท่านไปทำความรู้จักกับ 4 ทีมได้สิทธิ์เพลย์ออฟเลื่อนชั้นพรีเมียร์ลีก เพื่อให้การติดตามศึกสุดท้ายของลีกรอง ได้อรรถรสมากยิ่งขึ้น
๐ ลูตัน ทาวน์
“เดอะ แฮ็ตเตอร์ส” ลูตัน ทาวน์ ถือว่าเป็นสโมสรเก่าแก่ของวงการฟุตบอลอังกฤษ ก่อตั้งมา 138 ปี แฟนบอลในยุคเก่าสัก 80-90 คงคุ้นเคยกับพวกเขาเป็นอย่างดี โดยเฉพาะในเกมนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลลีก คัพ เมื่อฤดูกาล 1987-88
พวกเขาสร้างเซอร์ไพรส์เฉือนเอาชนะ “ปืนใหญ่” อาร์เซน่อล ในยุคของ จอร์จ เกรแฮม ไปแบบสุดระทึก 3-2 คว้าแชมป์ไปครองได้สำเร็จ จากการทำสองประตูของ ไบรอัน สเติร์น นี่คือแชมป์ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร
ลูตัน ทาวน์ โลดแล่นในลีกสูงสุดของอังกฤษอยู่หลายปี ด้วยสนามเหย้าเคนิลเวิร์ธ โร้ด ที่เป็นหญ้าเทียมใครมาเยือนก็ล้วนแต่เจองานหนักตลอด จนได้รับฉายาว่า “สิงห์หญ้าเทียม” แต่เมื่อ ดิวิชั่น 1 ได้เปลี่ยนเป็นพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ในปี 1992 พวกเขาก็ไม่เคยสัมผัสการเล่นบนลีกสูงสุดอีกเลย แถมผลงานยังเลวร้ายสุด ๆ หล่นลงไปนอกลีก ก่อนจะไต่เต้าตัวเองกลับมาอยู่ในเดอะ แชมเปี้ยนชิพ เมื่อฤดูกาล 2019-20
ฤดูกาลนี้พวกเขาต้องเสียหัวเรือใหญ่อย่าง เนธาน โจนส์ คนที่พาทีมจบอันดับ 6 ได้เล่นเพลย์ออฟ เมื่อฤดูกาลที่แล้ว เพราะรับข้อเสนอจาก “นักบุญ” เซาธ์แฮมป์ตัน ที่ยอมจ่ายค่าฉีกสัญญาจำนวน 4 ล้านปอนด์ พรากผู้จัดการทีมคนสำคัญของพวกเขาไปในช่วงกลางทาง
ทำให้ต้องไปดึง ร็อบ เอ็ดเวิร์ดส์ ที่เพิ่งโดน “แตนอาละวาด” ไล่ออกจากตำแหน่งเมื่อ 2 เดือนก่อนเข้ามาคุมทีมแทน ซึ่งผลงานกลับดีอย่างเหลือเชื่อ คุมทัพไป 29 นัด ชนะ 15 เสมอ 10 แพ้แค่ 4 จนพาทีมจบอันดับ 3 ได้สำเร็จ เรียกได้ว่าทำผลงานได้ดีกว่าคนเก่าอย่าง เนธาน โจนส์ เสียด้วยซ้ำ
ส่วนผู้เล่นตัวทีเด็ดที่ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นที่สุดของพวกเขาคือ คาร์ลตัน มอร์ริส หัวหอกที่เพิ่งไปคว้าตัวมาจาก “เจ้าตูบ” บาร์นสลีย์ เพียงแค่ซีซั่นแรกกับต้นสังกัดใหม่ เขายิงไป 20 ประตูกับ 7 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 44 เกมในเดอะ แชมเปี้ยนชิพ
ผนวกกับตัวเดิมที่ดีอยู่แล้วอย่าง เอลิจาห์ อเดบาโย่ บวกกับมิดฟิลด์ชั้นดีอย่าง มาร์เวลาส นาคัมบ้า ที่เคยมีประสบการณ์ลงเล่นในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ กับ “สิงห์ผงาด” แอสตัน วิลล่า ทำให้ทุกอย่างดูจะลงตัวสุด ๆ
“เดอะ แฮ็ตเตอร์ส” ถือว่าเป็นอีกหนึ่งทีมตัวเต็งในการเพลย์ออฟหนนี้ เพราะฟอร์มกำลังสด ไม่แพ้ใครมา 14 เกมติด ชนะ 8 เสมอ 6
๐ มิดเดิ้ลสโบรห์
ทีมขวัญใจของใครหลายๆ คน โดยเฉพาะแฟนบอลในยุค Y2K ที่คุ้นชื่อของพวกเขาเป็นอย่างดี ในฉายาของ “สิงห์แดง” หรือ “สิงห์อีสาน” แล้วแต่ใครจะเรียก ซึ่งนั่นหมายถึง มิดเดิ้ลสโบรห์ นั่นเอง
“เดอะ โบโร่” เป็นทีมที่มีความเก่าแก่ก่อตั้งมากว่า 147 ปี ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของพวกเขาคือการคว้าแชมป์ลีกคัพ เมื่อฤดูกาล 2003-04 ด้วยการเอาชนะ โบลตัน วันเดอร์เรอร์ส ไป 2-1
หรือถ้าเก่ากว่านั้นคงเป็นช่วงยุค 90 ที่เริ่มมีการดึงนักเตะต่างชาติฝีเท้าดีเข้ามาร่วมทีม อาทิ จูนินโญ่ เปาลิสต้า, แอแมร์ซอน รวมไปถึง “ไอ้หงอก” ฟาบริซิโอ้ ราวาเนลลี่
พวกเขาตกชั้นไปเมื่อฤดูกาล 2008-09 ก่อนจะใช้เวลา 7 ปีในการกลับขึ้นมาเล่นบนลีกสูงสุดอีกครั้งในปี 2016 แต่น่าเสียดายที่พวกเขาไม่สามารถเอาตัวได้ อยู่ได้แค่ฤดูกาลเดียวก็ร่วงตกชั้นกลับไปเล่นในเดอะ แชมเปี้ยนชิพอีก
ฤดูกาลนี้ในช่วงออกสตาร์ทพวกเขาไม่ได้มีผลงานที่ดีเลย จนต้องปลด คริส ไวเดอร์ ออกจากตำแหน่งก่อนจะตั้ง ไมเคิ่ล คาร์ริก เข้ามาคุมทีม ผลงานดีขึ้นอย่างชัดเจนด้วยการคุมทีมไป 31 เกม ชนะ 18 เสมอ 4 แพ้ 9 จบอันดับ 4 ของตารางมี 75 คะแนนจากการลงเล่น 46 เกม ชื่อของเขากลายเป็นหนึ่งในกุนซือดาวรุ่งที่น่าจับตามอง และมีข่าวเชื่อมโยงกับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ที่ต้องการตัวแทนของ เดวิด มอยส์ ในฤดูกาลหน้า
นักเตะที่โดดเด่นของ มิดเดิ้ลสโบรห์ ในชุดนี้ไม่ใช่ใครที่ไหนเขาคือ ชูบ้า อัคปอม ดาวยิงวัย 27 ปี ที่ชื่อน่าจะคุ้นหูกันดี เพราะเคยเป็นเด็กปั้นของ “ปืนใหญ่” อาร์เซน่อล เขาซัดไป 28 ประตูคว้ารางวัลดาวซัลโวพ่วงด้วยนักเตะยอดเยี่ยมของศึกเดอะ แชมเปี้ยนชิพ อังกฤษ แถมยังมีผู้เล่นรายอื่นๆ ที่ฟอร์มดีอย่าง คาเมร่อน อาร์เชอร์, มาร์คัส ฟอร์สส์ รวมไปถึง ไรลีย์ แม็คกรี
๐ โคเวนทรี ซิตี้
“ช้างกระทืบโรง” โคเวนทรี ซิตี้ เจ้าของแชมป์เอฟเอ คัพ ในฤดูกาล 1986-87 ด้วยการต่อเวลาพิเศษเอาชนะ “ไก่เดือยทอง” ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ 3-2 เป็นอีกหนึ่งทีมดังที่สร้างชื่อในยุคแรกของการก่อตั้งพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ที่ในตอนนั้นสร้างสีสันได้เป็นอย่างมาก ทั้ง ปีเตอร์ เอ็นเลิฟ, ดิออน ดับลิน, ดาร์เรน ฮัคเคอร์บี้ รวมไปถึง ร็อบบี้ คีน และเคร็ก เบลลามี่ สมัยที่ยังเป็นดาวรุ่ง
ในซีซั่น 2000-01 พวกเขาต้องกระเด็นตกชั้น และหลังจากนั้นก็ไม่เคยโผล่มาเล่นในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ อีกเลย เรียกได้ว่าเป็นเวลากว่า 22 ปี ที่ห่างหายไปจากลีกสูงสุด เคยย่ำแย่ถึงขึ้นหล่นลงไปเล่นในลีก ทู เมื่อฤดูกาล 2017-18 ก่อนจะกลับมาได้อยู่ในเวทีเดอะ แชมเปี้ยนชิพ 3 ปีติด ภายใต้การคุมทีมของ มาร์ค โรบินส์ อดีตกองหน้าของ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ฤดูกาลนี้พวกเขาสามารถจบเป็นอันดับ 5 ของตารางมี 70 คะแนนจากการลงเล่น 44 เกม นัดสุดท้ายเสมอกับ มิดเดิ้ลโบรห์ 1-1 เหมือนนัดกันมา แถมทั้งคู่ยังต้องมาเจอกันเองในรอบเพลย์ออฟของการชิงตั๋วเลื่อนชั้นด้วย
ผู้เล่นที่โดดเด่นในทีมชุดนี้คือ วิคเตอร์ โยเคอเรส แนวรุกสามารถพัดประโยชน์ที่เล่นได้ทั้งหน้าเป้า หน้าต่ำหรือตัวริมเส้นที่ซัดไป 21 ประตูกับ 10 แอสซิสต์ ดาวเตะทีมชาติสวีเดน เคยค้าแข้งอยู่กับ ไบรท์ตัน แต่ไม่ได้รับโอกาส ตอนนี้ชื่อของเขากลับมาได้รับความสนใจจากหลายสโมสรในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ
๐ ซันเดอร์แลนด์
ทีมสุดท้ายที่ได้สิทธิ์ในการเข้ามาเพลย์ออฟฤดูกาลนี้คือ “แมวดำ” ซันเดอร์แลนด์ ที่แฟนบอลนั้นคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี นี่คือคู่ต่อกรตัวฉกาจของ “สาลิกาดง” นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด พวกเขาเจอปัญหาการเงินจนต้องร่วงตกชั้นในฤดูกาล 2017-18 ย่ำแย่จนถึงขั้นหล่นไปอยู่ในลีก วัน ก่อนจะกลับมาได้ในปีที่แล้ว
นี่คือซีซั่นแรกของพวกเขาที่กลับมาเล่นในศึกเดอะ แชมเปี้ยนชิพ อังกฤษ ซึ่งถือว่าเป็นดราม่าในวันสุดท้าย เพราะผลการแข่งขันอีกคู่ระหว่าง มิลล์วอลล์ พบกับ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส นั้นเป็นใจสุดๆ มิลล์วอลล์ ขึ้นนำ 3-1 ในครึ่งแรก แต่สุดท้ายมาพ่ายให้กับ “กุหลาบไฟ” คารัง 3-4 กลายเป็น ซันเดอร์แลนด์ บุกถล่ม เปรสตัน นอร์ธ เอนด์ 3-0 มี 69 จบอันดับ 6 สิทธิ์มาเพลย์ออฟแบบหน้าตาเฉย ทั้งที่ก่อนเกมการแข่งขันพวกเขามีโอกาสน้อยที่สุด
ชุดนี้คุมทัพโดย โทนี่ โมเบรย์ ที่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกเหมือนกัน เขาทำ แบล็คเบิร์น มา 4 ปี ไม่เคยได้เพลย์ออฟ แต่มาคุม ซันเดอร์แลนด์ ปีแรกทำได้ทันที ส่วนหนึ่งก็ต้องขอบคุณทีมเก่าอย่าง แบล็คเบิร์น ด้วยที่ช่วยบุกเอาชนะ มิลล์วอลล์
แน่นอนว่านักเตะที่โดดเด่นที่สุดของพวกเขาในชุดนี้คือ อาหมัด ดิยัลโล่ แนวรุกดาวรุ่งที่ยืมตัวมาจาก “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซัดไป 13 ประตู และ 10 แอสซิสต์ จากการลงสนาม 37 เกม นอกจากนี้ยังมี รอสส์ สจ๊วร์ต ตัวรุกฝีเท้าดีชาวสกอตแลนด์ รวมไปถึงอดีตวอนเดอร์คิดของ สเปอร์ส อย่าง อเล็กซ์ พริตชาร์ด
นี่คือ 4 สโมสรที่เข้ามาชิงชัยตั๋วใบสุดท้ายในการเลื่อนชั้นพรีเมียร์ลีก อังกฤษ โดยในรอบรองชนะเลิศจะเล่นแบบเหย้า-เยือน ฟาดแข้งในวันเสาร์-อาทิตย์ที่ 13-14 พฤษภาคม หรือสุดสัปดาห์ที่จะถึงนี้
13-05-2023 ซันเดอร์แลนด์ (6) พบกับ ลูตัน ทาวน์ (3)
14-05-2023 โคเวนทรี (5) พบกับ มิดเดิ้ลสโบรช์ (4)
ส่วนเกมนัดชิงชนะเลิศจะเล่นกันที่สนามเวมบลีย์ ในวันที่ 27 พฤษภาคม
4 ทีมนี้คุณอยากเห็นใครเลื่อนชั้นมาเล่นในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซีซั่นหน้า…