งานใหญ่เจ้าของใหม่ : 5 ปัญหาที่โบห์ลี่ต้องเร่งแก้ในเชลซี

หลังจากยืดเยื้ออยู่นานจนเกือบจบฤดูกาล ในที่สุด เชลซี ก็ได้เจ้าของสโมสรคนใหม่เรียบร้อยกับมหาเศรษฐีชาวอเมริกันนามว่า ท็อดด์ โบห์ลี่

เป็นเวลา 66 วันหลังจาก โรมัน อับราโมวิช ประกาศขายสโมสร ช่วงวันเสาร์ที่ผ่านมาก็มีการยืนยันอย่างเป็นทางการว่าได้มีการตกลงเงื่อนไขสำหรับกลุ่มเจ้าของใหม่ นำโดย ท็อดด์ โบห์ลี่, เคลียร์เลค แคปิตอล บริษัทด้านการลงทุน, มาร์ค วอลเตอร์ และฮันส์ยอร์ก วิสส์ เพื่อซื้อกิจการสโมสรแล้ว ด้วยมูลค่ารวม 4,250 ล้านปอนด์ 

ดีลนี้รอแค่การรับรองอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลและพรีเมียร์ลีกอังกฤษก็จะเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งคาดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร และน่าจะลุล่วงช่วงปลายเดือนพฤษภาคมนี้ ซึ่งจะนี่กลายเป็นการซื้อขายทีมกีฬาที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก 

จากนั้นงานจริงๆก็จะรออยู่ ซึ่งนอกเหนือจากสร้างผลกำไรในสโมสร และสร้างสนาม สแตมฟอร์ด บริดจ์ ใหม่แล้ว ยังมีปัญหาที่เจ้าของคนใหม่ ‘สิงห์บลูส์’ ต้องเร่งแก้ไขในช่วงสั้นๆ ต่อจากนี้

เมื่อ โบห์ลี่ จ่ายค่าจ้างรายเดือนราวๆ 28 ล้านปอนด์แล้ว เขาจะต้องตัดสินใจว่าผู้เล่นคนไหนจะอยู่หรือไป และหวังว่าทีมจะไม่พลาดคว้าตั๋วลุยแชมเปี้ยนส์ลีกในฤดูกาลหน้า

หลังจากสองเดือนแห่งความไม่แน่นอน อนาคตอันใกล้นี้จะเป็นความท้าทายครั้งใหญ่สำหรับเจ้าของใหม่ในสโมสร และนี่คือ 5 สิ่งที่ โบห์ลี่ ต้องเร่งแก้ไขให้ได้เป็นอันดับแรก

 

จัดการสัญญาตัวหลักและกุนซือ

ความกังวลที่น่าหนักที่สุดสำหรับเชลซีคือ พวกเขามีกองหลังมากกว่าครึ่งที่จะลาทีมไปเมื่อหมดสัญญาหลังสิ้นสุดฤดูกาลนี้ ขณะที่ โรเมลู ลูกากู กองหน้าค่าตัวสถิติเป็นได้แค่ตัวสำรอง และ ลูกหม้อสโมสรที่กลายเป็นตัวหลัก ทั้ง เมสัน เม้าท์ กับ รีช เจมส์ ก็ได้รับความสนใจจาสโมสรทั่วยุโรป

ซึ่งหมายความว่าหลังจาก 2 เดือนที่ข้อตกลงใหม่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้เนื่องจากการคว่ำบาตรของสโมสร จึงทำให้เจ้าของใหม่ต้องการคนที่ทำงานในด้านนี้อย่างรวดเร็ว

ผู้อำนวยการฟุตบอลคนใหม่หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการคัดเลือกบุคลากรจะสามารถลงมือแก้ไขปัญหาเร่งด่วนเหล่านั้นได้หรือไม่? อาจจะไม่ มันอาจจะสมเหตุสมผลมากกว่าที่จะให้ที่ปรึกษาด้านเทคนิค ปีเตอร์ เช็ก และผู้อำนวยการมารีน่า กรานอฟสกาย่า เป็นผู้เจรจาเรื่องสัญญาเป็นหลัก แม้สิ่งนี้จะทำให้มรดกยุค อับราโมวิช ยังอยู่ต่อไปในทีมก็ตาม

มีรายงานว่า กรานอฟสกาย่า และประธานสโมสรอย่าง บรู๊ซ บัค อาจยังคงอยู่ที่สโมสร โดย บัค มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากในกระบวนการขายกับ เรน กรุ๊ป (Raine Group) ซึ่งเป็นธนาคารเพื่อการลงทุนของอเมริกา

โบห์ลี่ และหุ้นส่วนของเขาจะมีความคิดว่าใครควรได้เป็นผู้บริหารของทีมในอนาคต รวมถึงตำแหน่งผู้อำนวยการฟุตบอลที่ยังว่างเว้นอยู่ แต่ทีมชายจำเป็นต้องให้ความสนใจอย่างเร่งด่วนมากกว่าทีมหญิง หรือชุดเยาวชน

ระหว่างกระบวนการขายสโมสร โธมัส ทูเคิ่ล กุนซือทีมชาย และเอ็มมา เฮย์ส บอสใหญ่ทีมหญิงกล่าวว่าพวกเขาต้องการอยู่คุมทีมต่อต่อไป แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทูเคิ่ล ที่เหลือสัญญาในลอนดอนอีก 2 ปี ขณะที่ เฮย์ส เพิ่งพาทีมคว้าแชมป์ วูเมน ซูเปอร์ ลีก เป็นฤดูกาลที่ 3 ติดต่อกัน ซึ่งคาดว่าจะมีการพูดคุยเรื่องแผนและอนาคตของพวกเขาทั้งคู่ในซัมเมอร์นี้

 

จัดการแข้งที่อนาคตไม่แน่นอน

ความไม่แน่นอนที่ เชลซี ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมามีส่วนมาจากการขายสโมสร แต่ก็ไม่สามารถอธิบายปัญหาทั้งหมดได้อยู่ดี

อันโตนิโอ รูดิเกอร์ได้รับข้อเสนอให้กลายเป็นกองหลังที่มีค่าตัวสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร ก่อนที่อับราโมวิชจะโดนคว่ำบาตร ซึ่งทำให้ไม่สามารถเจรจาอะไรเพิ่มเติม และเจ้าตัวก็ตัดสินใจไม่ต่อสัญญา เตรียมย้ายไป เรอัล มาดริด ในซัมเมอร์นี้แล้ว

ทูเคิ่ล พาทีมคว้าแชมป์แชมเปียนส์ลีก เข้าชิงเอฟเอ คัพ และจบท็อปโฟร์ของพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลแรกอย่างยอดเยี่ยม เพียงแต่ในฤดูกาลนี้ผลงานของทีมตกลงไปพอสมควร โดยเฉพาะช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา

แม้ผ่านเข้าไปเล่นในนัดชิงชนะเลิศของ เอฟเอ คัพ เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน ซึ่งจะพบกับ ลิเวอร์พูล ในวันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคมนี้ แต่ ‘สิงห์บลูส์’ ก็พลาดโอกาสป้องกันแชมป์ยุโรป หลังตกรอบแชมเปี้ยนส์ลีกในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ขณะที่ตำแหน่งท็อปโฟร์เพื่อคว้าไปเล่น UCL ฤดูกาลหน้าก็ยังไม่การันตี

ทั้งหมดนี้หมายความว่ามีบางคำถามที่ต้องการคำถามอย่างจริงจัง

ใครจะแทนที่ รูดิเกอร์? รวมไปถึง แนวรับตัวหลักอีกรายอย่าง อันเดรส คริสเตนเซ่น ที่มีรายงานว่าตกลงเงื่อนไขกับ บาร์เซโลน่า ไปแล้ว? นั่นส่งผลกระทบกับกองหลังอีกคนอย่าง เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ซึ่งเหลือสัญญาอีกหนึ่งปีแต่ก็กำลังเจรจากับทีมจากคาตาลันด้วยหรือไม่? รวมไปถึงกรณีของ ลูกากู ที่สโมสรจะยอมขายทิ้งแบบขาดทุนหรือไม่ เนื่องจากเขาดูไม่เหมาะกับสไตล์การเล่นในทีมของ ทูเคิ่ล เท่าไหร่นัก

นอกจากนี้ยังมี คริสเตียน พูลิซิช ที่ตกเป็นข่าวว่าไม่แฮปปี้กับบทบาทตัวสำรองในทีม จนพ่อของดาวเตะทีมชาติสหรัฐอเมริกา ต้องออกมาเปรยเรื่องอนาคตใน เดอะ บริดจ์ อีกทั้ง กองกลางแกนหลักอย่าง จอร์จินโญ่ และ เอ็นโกโล้ ก็องเต้ ก็กำลังเข้าสู่ช่วงปีสุดท้ายของสัญญาแล้ว

เห็นได้ชัดว่าสโมสรจำเป็นต้องมีความมั่นคง แต่ก็จำเป็นต้องดำเนินการอย่างรวดเร็ว เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เจอปัญหาอุปสรรคต่างๆระหว่างทางสู่ยุคใหม่

กลุ่มทุนของ โบห์ลี่ ซึ่งมีแฟน ‘สิงห์บลูส์’ อย่าง ดาเนี่ยล ฟินเคลสไตน์ และ บาร์บาร่า ชาร์โลน อยู่ด้วย น่าจะทำให้พวกเขาตระหนักถึงสิ่งที่ต้องแก้ไขเกี่ยวกับเรื่องนี้

 

เล็งแนวรับหน้าใหม่

การเสริมทัพเป็นสิ่งที่ โบห์ลี่ จะแสดงให้เห็นถึงแนวทางและวิสัยทัศน์ในการเป็นเจ้าของทีมคนใหม่ของ เชลซี โดยเฉพาะแนวรับหลายรายที่เตรียมลาทีมหลังจบฤดูกาลนี้

ไม่ว่าจะเป็น รูดิเกอร์, คริสเตนเซ่น, อัซปิลิกวยต้า หรือแม้กระทั่ง มาร์กอส อลอนโซ่ ที่มีข่าวย้ายทีมเช่นกัน ซึ่งนั่นจะทำให้ตอนนี้ ทูเคิ่ล จะเหลือตัวเลือกหลังบ้านให้ใช้งานแค่ ติอาโก ซิลวา, เทรโวห์ ชาโลบาห์ และ มาล็อง ซาร์ ซึ่งรายแรกเต็มไปด้วยประสบการณ์ก็จริง แต่ก็เข้าสู่ช่วงบั้นปลายอาชีพแล้ว ขณะที่ 2 รายหลังก็ยังเป็นดาวรุ่ง แถมฟอร์มก็ไม่สม่ำเสมอ ยากที่จะไว้วางใจได้ยาวๆ

ฌูลส์ คุนเด้ ปราการหลัง เซบีย่า ตกเป็นเป้าหมายหลักของ ‘สิงห์บลูส์’ มาตั้งแต่ซัมเมอร์ปีที่แล้ว ก่อนชวดคว้าตัวมาร่วมทีม และปัจจุบันก็ยังเป้าหมายแรกๆที่ทีมต้องการคว้ามาร่วมทีม

การที่ โบห์ลี่ ได้เข้ามาชมเกมที่สโมสรใหม่ของเขา เสมอกับ วูล์ฟแฮมป์ตัน 2-2 ในรัง เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา น่าจะทำให้เขาพอดูออกว่าเกมรับของทีมมีปัญหา และจำเป็นต้องการแก้ไข

ตอนนี้ทีมจาก ลอนดอน เสีย รูดิเกอร์ ไปแล้วแน่นอน และอาจจะเสียไปอีกหลายคนหลังจากนี้ เพราะฉะนั้นทางที่ดี สโมสรควรมองหากองหลังเข้ามาเสริมตั้งแต่เนิ่นๆ หรือหากต้องการประหยัดเงินก็ลองดันแนวรับลูกหม้อขึ้นมาใช้งานดูบ้าง ก็น่าจะเป็นแนวทางที่ได้ใจแฟนบอลไม่น้อยเช่นกัน

 

เปลี่ยนนโยบายซื้อขาย

การจ่ายค่าเหนื่อยถึง 28 ล้านปอนด์ ถือเป็นรายจ่ายที่สูงมากๆ สำหรับสโมสรฟุตบอล และเมื่อพิจารณาว่า ลูกากู และ นายทวารค่าตัวสถิติ 71 ล้านปอนด์อย่าง เกป้า อาร์ริซาบาลาก้า ตกเป็นตัวสำรอง นี่พอจะบอกได้ว่าถึงเวลาในการปรับปรุงนโยบายการซื้อขายของทีมใหม่แล้ว

นอกจากนี้ การผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนผู้จัดการทีมบ่อยๆในยุคอับราโมวิช น่าจะจบสิ้นลงแล้ว ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยให้ทีมลดรายจ่ายลงไปอีกมากโข หลังครั้งหนึ่งมีรายงานว่าพวกเขาเสียเงินไปถึง 26 ล้านปอนด์ในการปลด อันโตนิโอ คอนเต้ พ้นตำแหน่งกุนซือ

การทุ่มทุนเเสริมทัพกว่า 1.5 พันล้านปอนด์ ตลอด 19 ปีที่ผ่านมาในยุคของ ‘เสี่ยหมี’ ไม่น่าเกิดขึ้นได้อีกในยุคที่ โบห์ลี่ จะเข้ามาเป็นเจ้าของ สิงห์บลูส์ เนื่องจากต้องขาดทุนโดยเฉลี่ย 900,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ตามข้อมูลจาก คีแรน แม็คไกวร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินฟุตบอล

โดยแม็คไกวร์ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทการลงทุนอย่าง เคลียร์เลค แคปิตอล ที่เป็นกลุ่มใหญ่ในการเทคโอเวอร์ เชลซี มักมองหากำไรหลัง 5 ปีในการลงทุนบ่อยๆ แต่เป็นที่เข้าใจกันว่า สโมสรจากลอนดอน ได้รับการรับรองว่ากลุ่มทุน โบห์ลี่ จะทำหน้าที่เจ้าของสโมสรเป็นเวลาอย่างน้อย 10 ปี และจะไม่จ่ายเงินปันผลหรือค่าธรรมเนียมการจัดการให้ตัวเองในช่วงเวลาดังกล่าว

“ที่เชลซี ไม่น่าเป็นไปได้อย่างยิ่งที่เราจะได้เห็นแนวทางแบบกระจัดกระจายไร้การวางแผน ในการสรรหาผู้จัดการทีมและผู้เล่นภายใต้การดูของ อับราโมวิช อีก” แม็คไกวร์ กล่าว

“บริษัทหุ้นเอกชนมีแนวโน้มที่จะใช้แนวทางที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลมากกว่า และมีแนวโน้มที่จะดึงตัวผู้เล่นที่ถูกกว่าที่พวกเขาสามารถพัฒนาต่อยอดได้ และอาจขายได้ในราคาที่สูงกว่า”

“ดังนั้นมันจะเป็นการเปลี่ยนแปลงในกลยุทธ์ แต่ ลิเวอร์พูล ก็กำลังดำเนินการในลักษณะเดียวกัน และไม่ได้ทำอันตรายใดๆ กับพวกเขาเลย”

 

สนาม, สปอร์เซอร์ และผลกำไร

การประหยัดเงินในการซื้อขายและผู้จัดการทีมจะดำเนินต่อไปจนถึงตอนนี้ แต่ในระหว่างกระบวนการ กลุ่มของ โบห์ลี่ ต้องแสดงให้เห็นว่าพวกเขาจะนำ เชลซี ไปสู่ระดับต่อไปได้อย่างไร

ในระยะสั้น การเจรจาเรื่องสปอนเซอร์รายใหม่อาจเปิดโอกาสให้เติบโตได้ เมื่อ ผู้สนับสนุนเสื้อของเชลซีกับบริษัทโทรคมนาคม Three ที่มีมูลค่า 40 ล้านปอนด์ต่อปี และเหลือเวลาอีก 1 ฤดูกาล ต่างก็ระงับข้อตกลงอันเป็นผลมาจากการคว่ำบาตรไปแล้ว เช่นเดียวกับ Hyundai บริษัทยานยนต์จากเกาหลีใต้

การเพิ่มรายได้ในวันแข่งขันให้สูงที่สุดก็จะอยู่ในวาระการประชุมเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ทำได้ดีกว่าพวกเขาถึง 40-50 ล้านปอนด์ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีโดยพิจารณาจากขนาดของสนามกีฬาของพวกเขา

สแตมฟอร์ด บริดจ์ เป็นสนามกีฬาความจุ 42,000 ที่นั่ง ซึ่งทำรายได้ 67 ล้านปอนด์ในวันแข่งขันสำหรับฤดูกาลสุดท้ายก่อนโควิด-19 แพร่ระบาด แต่ อาร์เซนอล และ ลิเวอร์พูล เมื่อพวกเขาเพิ่มความจุแล้ว จะสามารถดึงรายได้มากกว่า 100 ล้านปอนด์ต่อฤดูกาล

การสร้างสนามกีฬาใหม่จะต้องเสียค่าใช้จ่ายมหาศาล แต่กลุ่มของ โบห์ลี่ ได้แบ่งเงิน 1.75 พันล้านปอนด์จาก 4.2 พันล้านปอนด์ในการซื้อสโมสร เพื่อใช้การลงทุนกับทั้ง สแตมฟอร์ด บริดจ์, ทีมเยาวชน, ทีมหญิงและ คิงสเมโดว (สนามทีมเยาวชนและทีมหญิง) และการจัดหาเงินทุนอย่างต่อเนื่องสำหรับมูลนิธิสโมสร

นอกจากนี้ มหาเศรษฐีแดนลุงแซม ยังเคยพูดถึงการใช้โทเค็นของแฟนๆ ว่าเป็นวิธีการมีส่วนร่วม และอาจหากำไรจากผู้สนับสนุนในระดับต่างๆ

อีกทั้งยังบอกใบ้ถึงความพยายามที่จะเปลี่ยน เชลซี ให้กลายเป็นแบรนด์ระดับโลกและเพิ่มความนิยมในสหรัฐอเมริกา โดยสร้างจากรากฐานของเด็กอเมริกันบางส่วนที่เติบโตมากับการดูพรีเมียร์ลีกในเช้าวันเสาร์

วิธีที่ เชลซี สร้างความแตกต่างจากฝูงชนที่มีอยู่ และสร้างกำไรที่พวกเขาต้องการ จะเป็นสิ่งที่น่าทึ่งในระยะยาว และจะเริ่มต้นกันในซัมเมอร์นี้

แต่หลังจากนี้ โบห์ลี่ จะพา ‘สิงห์บลูส’ ยุคใหม่ประสบความสำเร็จทั้งแง่ผลงาน, ถ้วยรางวัล หรือกำไรนอกสนาม อีก 10 ปีหลังจากนี้เราคงได้รู้กัน

 

บทความที่เกี่ยวข้อง