เกม ลอนดอน ดาร์บี้ ระหว่าง เชลซี ปะทะ สเปอร์ส ในศึกพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2022-23 จบลงด้วยผลเสมอกันไปแบบสุดมันส์ 2-2 ณ สนาม สแตมฟอร์ด เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
การดวลกันระหว่างทั้ง 2 ทีมได้เดินทางมาถึงครั้งที่ 174 แล้ว แต่ในครั้งล่าสุดต้องบอกว่าเป็นการแข่งขันที่ดุเดือดเป็นอันดับต้นๆจากที่พวกเขาเคยฟาดแข้งกัน ทั้งในผลสกอร์กับ 4 ประตูที่เกิดขึ้น, เหตุการณ์ชวนดราม่า รวมไปถึงการปะทะคารมณ์ของ โธมัส ทูเคิ่ล กับ อันโตนิโอ คอนเต้ 2 กุนซือหลังสิ้นเสียงนกหวีดด้วย
เหตุการณ์ที่เกิดเมื่อวานนี้ทำให้หลายคนอันนึกถึง เกมที่ทั้งคู่พบกันเมื่อเดือนพฤษภาคมปี 2016 ณ สนามเดียวกัน จบลงด้วยผลเสมอสกอร์เดียวกัน และเต็มไปด้วยความวุ่นวายโกลาหลหลังสิ้นเสียงนกหวีดเช่นกัน จนถูกขนามนามศึกในครั้งนั้นว่า ‘เดอะ แบทเทิ่ล ออฟ เดอะ บริดจ์’ (The Battle of the Bridge)
ที่มากไปกว่านั้น ผลการแข่งขันในตอนนั้นยังทำให้ ‘ไก่เดือยทอง’ หมดลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกไปโดยปริยาย เนื่องจากทำแต้มตาม เลสเตอร์ ซิตี้ แชมป์ในฤดูกาล 2015-16 ไม่ทันแล้ว
ด้วยเหตุนี้ UFA ARENA จึงขอพาไปย้อนรำลึกถึง เกม ลอนดอน ดาร์บี้ ระหว่าง เชลซี ปะทะ สเปอร์ส เมื่อ 6 ปีก่อนว่ามีจุดเริ่มต้นอย่างไร พร้อมบทสรุปของทั้ง 2 ทีมหลังเกมสุดเดือดผ่านบทความชิ้นนี้กัน
โหมโรงก่อนดวล
ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ภายใต้การคุมทีม เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ คือชุดที่มีโอกาสใกล้เคียงลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกมากที่สุด โดยเฉพาะในฤดูกาล 2015-16 ที่ทีมใหญ่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, แมนเชสเตอร์ ซิตี้, อาร์เซน่อล, ลิเวอร์พูล และ เชลซี ต่างทำผลงานได้ต่ำว่ามาตรฐานทั้งหมด
มีเพียง เลสเตอร์ เท่านั้นที่โผล่พรวดทำผลงานได้ยอดเยี่ยมเกินคาด จนครองจ่าฝูงลีกอย่างเหนี่ยวแน่นตั้งแต่สิ้นเดือนมกราคม แต่ถึงอย่างนั้น ‘ไก่เดือยทอง’ ของ พอช ก็พยายามทำแต้มไล่ตามไปเรื่อยๆในฐานะทีมอันดับ 2
แต่จนแล้วจนรอด ‘จิ้งจอกสีน้ำเงิน’ ของ เคลาดิโอ รานิเอรี่ กลับทำผลงานได้สม่ำเสมอ แบบแทบไม่มีแผ่วเลย จนกระทั่งถึงช่วงโค้งสุดท้าย สเปอร์ส ดันพลาดไปเสมอกับ เวสต์บรอมวิช 2-2 ในเกมนัดที่ 35 ของฤดูกาล ก่อนจะไปเยือนกับ เชลซี ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ เป็นเกมต่อไป พร้อมเงื่อนไขต้องเอาชนะให้ได หากหวังลุ้นแชมป์ต่อไป แม้นั่นเป็นสนามที่พวกเขาไม่เคยเอาชนะได้เลยนับตั้งแต่ปี 1990 ก็ตาม
มากไปกว่านั้น บรรดาแข้ง ‘สิงห์บลูส์’ ก็ให้สัมภาษณ์ก่อนเกมหลายคนว่าจะทำเต็มที่เพื่อให้ เลสเตอร์ คว้าแชมป์ไปครองในปีนั้นให้ได้ ซึ่งก็ไม่แปลกที่นั่นจะทำให้บรรยากาศก่อนเกม ลอนดอน ดาร์บี้ ระหว่าง เชลซี ปะทะ สเปอร์ส ดูดุเดือดมากกว่าปกติเป็นพิเศษ
“ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน เรามาถึงเกมนั้นในช่วงเวลาที่มีอารมณ์ร่วมมาก” โปเช็ตติโน่ กล่าวก่อนเกมที่ เดอะ บริดจ์
“เราดุดันมุ่งมั่นเต็มที่ในทุกสิ่งที่เกิดขึ้น มันเป็นช่วงเวลาที่พิเศษ พิเศษมาก นอกบริบทดังกล่าว เราสามารถพูดได้ว่า ‘ทำไมท็อตแนมถึงมีพฤติกรรมแบบนี้’ แต่ด้วยบริบทนี้ทั้งหมด ในช่วงเวลานั้น ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ”
เดือดช่วงท้ายครึ่งก่อนลากยาวจนจบเกม
ไม่ใช่ว่าแฟนบอลหลายคนจะไม่รู้เรื่องราววุ่นวายกำลังจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะเมื่อฝั่ง สเปอร์ส ทีมเยือนออกนำไปก่อนจาก 2 ประตูอันยอดเยี่ยมของ ซอน เฮือง มิน และ แฮร์รี่ เคน
แต่เมื่อทั้ง ไคล์ วอล์คเกอร์ และ แยน แฟร์ตองเก้น 2 แนวรับ ‘ไก่เดือยทอง’ โดนใบเหลือง อุณหภูมิของเกมก็ค่อยๆเปลี่ยนแแปลงไป และเป็นไปอย่างฉับพลัน หลังเข้าสู่ช่วงทดเวลาในครึ่งแรกของการแข่งขัน
แดนนี่ โรส ได้หวิดฟาดปากกับ วิลเลี่ยน หลังแบ็คทีมเยือนเข้าบอลหนักเกินไป แถวๆบริเวณใกล้ๆม้านั่งสำรองข้ามสนาม แต่คู่ที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่กลับเป็น มูซ่า เดมเบเล่ ที่เข้าไปจิ้มตาของ ดิเอโก้ คอสต้า ดาวยิงทีมเจ้าถิ่น
เมื่อถึงจุดนั้น แม้แต่ โปเช็ตติโน่ เฮดโค้ชของ สเปอร์ส ก็เข้าสู่การต่อสู้หลังจากวิ่งเข้าไปในสนามเพื่อพยายามแยกโรส และวิลเลี่ยน ซึ่งเป็นบางสิ่งที่โค้ชชาวอาร์เจนไตน์ยอมรับในภายหลังว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด
“ผมมีส่วนร่วมในเกมนี้และผมก็ลืมความคิดของผมไป มันเป็นความผิดพลาด ผมไม่สามารถเข้าไปในสนามได้” พอช กล่าวหลังเกม
โรส โชคดีที่จังหวะเข้าบอลใส่ ปีกชาวบราซิลเลี่ยน ไม่โดนใบแดง แต่ทั้งคู่ก็โดนตักเตือนจากมาร์ค แคลตเทนเบิร์ก ผู้ตัดสินในเวลาต่อมา นั่นทำให้จบครึ่งแรก มีใบเหลืองปลิวว่อนไปแล้ว 4 ใบ ก่อนที่จะตามอีก 8 ใบในครึ่งหลัง จากการเล่นที่หนักหน่วงเกินจำเป็น โดยเฉพาะฝั่งทีมเยือน รวมแล้วเป็น 12 ใบมากสุดที่เคยเกิดขึ้นในเกมพรีเมียร์ลีก โดยที่ฝั่งทีมเยือนทำสถิติเป็นทีมเดียวที่ได้ใบเหลืองมากสุดในเกมเดียว (9 ใบ)
แต่ฝันของเหล่า ยิด อาร์มี่ ก็ต้องสลาย เมื่อ เอเด็น อาซาร์ ตัวสำรองของเจ้าบ้าน ลงมาสร้างความแตกต่างจนช่วยให้ เชลซี ตามตีเสมอเป็น 2-2 ส่งผลให้ เลสเตอร์ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกครองไป ส่วน สเปอร์ส ที่เฝ้ารอแชมป์ลีกนับตั้งแต่ปี 1961 ก็ต้องตั้งหน้าตั้งตารอต่อไป แบบที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมีโอกาสใกล้เคียงแบบนี้อีก
คำบอลเล่าของจารย์มาร์ค
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าเหลือเชื่อก็คือการที่ แคลตเทนเบิร์ก ไม่ได้แจกใบแดงให้ใครเลย แม้ว่ามีตอนที่ เอริค ลาเมล่า จงใจเหยียบมือของ เชส ฟาเบรกาส หรือจังหวะที่ เอริค ดายเออร์ จะเข้าบอลช้าใส่ เอเด็น อาซาร์ ในช่วงท้ายเกม
“มันเป็นเหมือนละครเลย” แคลทเทนเบิร์กเล่าในภายหลัง “ผมทำไปตามแผนว่าผมไม่ต้องการให้ ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ โทษมาร์ค แคลตเทนเบิร์กว่า ทำให้พวกเขาหมดลุ้นแชมป์ ท็อตแนมควรได้ใบแดงถึง 3 ใบด้วยซ้ำ”
“ผมปล่อยให้พวกเขาทำลายตัวเอง ดังนั้นสื่อทั้งหมด ทุกคนในโลกก็พากันพูดถึงเรื่อง ‘ท็อตแน่มหมดลุ้นแชมป์แล้ว”
“ถ้าผมไล่ผู้เล่น 3 คนออกจากท็อตแนม หัวข้อข่าวคืออะไร ‘แคลตเทนเบิร์กทำท็อตแน่มหมดลุ้นแชมป์’ แต่นี่มันเป็นละครที่สมบูรณ์แบบกับการที่ ท็อตแนมทำลายตัวเองกับเชลซี และ เลสเตอร์ ก็เข้าป้ายคว้าแชมป์ลีก”
อย่างไรก็ตาม สิ้นเสียงนกหวีดสุดท้าย ซึ่งเป็นการยืนยันการสิ้นสุดการหมดลุ้นแชมป์ของสเปอร์สแล้ว เรื่องราวการทะเลาะวิวาทก็วุ่นวายก็เริ่มขึ้น เมื่อผู้เล่นทั้ง 2 ทีมกำลังทุ่งหน้าไปที่อุโมงค์สนาม แต่ มิเชล ฟอร์ม นายด่านสำรองของทีมเยือน กลับเตรียมวัดกับ คอสต้า ก่อนที่แฟร์ตองเก้นจะเข้ามาเอี่ยวด้วย ท่ามกลางอุณหภูมิที่ร้อนระอุบริเวณข้างสนาม
ด้าน โปเช็ตติโน่ ก็เข้าไปมีปากเสียงกับ ฟาเบรกาส และแม้แต่กุนซือผู้ดูเป็นผู้ใหญ่ใจเย็นของเชลซีอย่าง กุส ฮิดดิ้งค์ ก็พบว่าตัวเองมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย หลังจากพยายามบอกให้เพลย์เมกเกอร์ชาวสแปนิชเข้าห้องแต่งตัวไป แต่ถูกกระแทกเข้าไปในพื้นที่ความวุ่นวายแถวๆนั้นจนผู้เล่นเจ้าบ้านกรูเข้ามาปกป้องเจ้านาย
อย่างไรก็ดี นายใหญ่ชาวดัตช์วัย 69 ปี จะมองเป็นเรื่องขำๆและพูดติดตลกหลังจากนั้นว่า “แม้ในวัยของผม ผมก็ไม่มีปัญหากับการล้มลงนะ!”
เกมที่รับมือตัดสินได้ยากสุด
“มันเป็นลอนดอนดาร์บี้ที่เราไม่เคยแพ้มา 26 ปีแล้ว” จอห์น เทอร์รี่ กัปตันทีมเชลซี กล่าวหลังจบเกมนั้น
“มันมักจะเดือดดาลเสมอ เมื่อมันเกิด 2-3 ครั้งก็หลุดมือเกินจะควบคุม แต่ผู้เล่นกำลังต่อสู้เพื่อคะแนนและอันดับ มันคืออารมณ์ร่วม นั่นแหละคือฟุตบอล”
ในขณะเดียวกัน อดีตผู้ตัดสินในลีกสูงสุดของอังกฤษอย่าง เดอร์ม็อต กัลลาเกอร์ ก็คิดว่าการปะทะกันครั้งนี้ดูยากในการรับมือมากที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมาก่อนในยุคพรีเมียร์ลีก
“ผมคิดว่านั่นเป็นเกมที่ยากที่สุดที่ผมเคยเห็นตลอด 24 ปีในการทำหน้าที่ผู้ตัดสินเลย นั่นเป็นการทดสอบที่หนักหน่วง ผู้ตัดสินตระหนักถึงเดิมพัน ตระหนักถึงอารมณ์และทุกอย่าง ผมคิดว่าเขาพยายามตัดสินในโอกาสนี้” กัลลาเกอร์ กล่าว
“การลงเอยด้วยใบเหลือง 12 ใบในการแข่งขันนั้นไม่ธรรมดาจริงๆ เขาพยายามที่จะยืนหยัดและปล่อยให้นักเตะเล่นไปตามเกม และเขากำหนดทิศทางของผู้เล่นได้ในช่วงหนึ่ง แต่ต่อมาผู้เล่นไม่ได้เชื่อในสิ่งที่เขาต้องการจะทำ นั่นเป็นเหตุผลที่เขาเจอเรื่องที่ยากมากๆในตอนท้าย”
เหตุการณ์หลังจากนั้น
หลังเกมระหว่างเชลซี ปะทะ สเปอร์สจบลงหลายวันต่อมา สมาคมฟุตบอลอังกฤษ หรือ เอฟเอ ตั้งข้อหาทั้ง 2 สโมสรในข้อหาไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมนักเตะในทีมได้ โดยสเปอร์สโดนปรับ 225,000 ปอนด์ เพิ่มเติมจากบทลงโทษ 25,000 ปอนด์ สำหรับเก็บใบเหลือง 6 ใบในเกม ขณะที่เชลซีถูกปรับ 375,000 ปอนด์ จากความผิดลักษณะเดียวกัน 4 ครั้ง ก่อนหน้านี้ นับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปี 2016
เดมเบเล่ ที่ควรถูกไล่ออกจากการใช้มือจิ้มตาของ คอสต้า ก็ถูกลงโทษด้วยโทษแบนห้ามลงเล่นเป็นเวลา 6 เกม ด้วยข้อหาใช้ความรุนแรงในการแข่งขัน
“มันเป็นเกมที่สะเทือนอารมณ์มาก และคุณตอบสนองต่อสิ่งต่างๆให้ได้” กองกลางชาวเบลเยี่ยม กล่าวในอีก 3 สัปดาห์ต่อมา
“ตอนนี้ผมต้องเรียนรู้จากสิ่งนี้ ความตั้งใจของผมคือไม่ได้จำทำอะไรไม่ดีกับเขา นิสัยของผมไม่ได้เจ้าอารมณ์แบบนั้น ผมผิดหวังกับการแบน 6 เกม แต่ผมก็รู้ว่าพวกเขาต้องการยืนยันสิ่งที่ถูกต้อง ผมจะก้าวต่อไป หวังว่าเราจะรักษาความหลงใหลนี้ได้ และทำมันให้ดีขึ้น เราสามารถภาคภูมิใจในตัวเองและนำสิ่งดีๆ เพื่อก้าวสู่ฤดูกาลหน้าต่อไป”
สำหรับทีมของ โปเช็ตติโน่ ซึ่งต่อสู้มาตลอดทั้งฤดูกาลเพื่อคว้าแชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกในรอบกว่า 50 ปี ก็หมดอาลัยตายอยาก ด้วยการแพ้เกมลีก 2 นัดดท้ายกับ เซาแธมป์ตัน และ นิวคาสเซิล จนจบฤดูกาลด้วยอันดับ 3 หลังถูก อาร์เซน่อล อริร่วมกรุงลอนดอน แซงหน้าในช่วงเวลานั้น
เชลซี ปะทะ สเปอร์ส ในเดือนพฤษภาคมปี 2016 ถือป็นอีกหนึ่งในเกมฟุตบอลที่น่าเกลียดที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก ซึ่งการแข่งขันที่น่าจดจำได้เกือบทุกอย่าง เพียงแต่ไม่ใช่ในแง่ของฟุตบอลอย่างแท้จริง แต่ก็ไม่คิดว่าจะมีโอกาสถูกลืมไปจากความทรงจำของแฟนบอลในเร็วๆนี้เช่นกัน