นับเป็นผลงานอันยอดเยี่ยมของกุนซือหนุ่มไฟแรงอย่าง อังเดร เชฟเชนโก้ กับการพาทีมชาติยูเครน ผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้าย ศึกฟุตบอลยูโร 2020 ซึ่งนี่ถือเป็นครั้งแรกสำหรับอดีตตำนานดาวยิง เอซี มิลาน กับการพาทีมลงเล่นรายการระดับเมเจอร์ นับตั้งแต่รับตำแหน่งคุมทีมเมื่อปี 2016 และเป็นผลงานที่ดีที่สุดของ ยูเครน หลังพวกเขาเคยทะลุถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย ฟุตบอลโลก เมื่อปี 2006
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเวลานี้ เฮดโค้ชวัย 44 ปี กลายเป็นวีรบุรุษลูกหนังของชาวยูเครน ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะนับตั้งแต่ยังคงเป็นนักฟุตบอลอาชีพ อดีตแข้งซุปเปอร์สตาร์ เชลซี และ เอซี มิลาน ได้ฝากความสำเร็จอันน่าจดจำไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก กับ “รอสโซเนรี”, พาทีมชาติยูเครน ทะลุรอบ 8 ทีมสุดท้าย ศึกฟุตบอลโลก 2006 รวมถึงการผงาดคว้ารางวัลบัลลงดอร์ เมื่อปี 2004
โดยวันนี้ UFAARENA จะขอพาไปย้อนทบทวนความสำเร็จที่ผ่านมาของอดีตดาวยิงระดับตำนานอย่าง อังเดร เชฟเชนโก้ เพื่อดูว่าทำไมเขาถึงถูกยกย่องให้เป็นวีรบุรุษวงการลูกหนังของ ยูเครน ในตอนนี้
คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก กับ เอซี มิลาน
ย้อนกลับไปช่วงต้นยุค 2000 หัวหอกดาวรุ่งชาวยูเครน ณ เวลานั้น โชว์ฟอร์มยอดเยี่ยมกับทีมในลีกบ้านเกิด ดินาโม เคียฟ โดยเฉพาะซีซั่น 1998/1999 ที่เจ้าตัวซัด 18 ประตู พาสโมสรคว้าแชมป์ลีก นั่นถือเป็นใบเบิกทางให้เขาได้ย้ายมาอยู่ยักษ์ใหญ่ศึก กัลโช่ เซเรีย อา อย่าง เอซี มิลาน ช่วงหน้าร้อนปี 1999 ด้วยค่าตัว 23.9 ล้านยูโร
หลังจากนั้น อังเดร เชฟเชนโก้ ใช้เวลาไม่นานสำหรับการเอาชนะใจแฟนบอล “ปีศาจแดงดำ” และก้าวขึ้นมาเป็นหัวหอกคนสำคัญในถิ่น ซาน ซิโร่ ทว่าความสำเร็จที่ทำให้เขาถูกยกเป็นอีกสุดยอดนักเตะที่ดีที่สุดตลอดกาลของสโมสร คือการพาทีมคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาล 2002/2003
โดยในศึกฟุตบอลสโมสรยุโรป ซีซั่นดังกล่าว เชว่า พลาดลงสนามตลอด 3 เกมแรก ของรอบแบ่งกลุ่ม เนื่องจากมีอาการบาดเจ็บ อย่างไรก็ตามหลังกลับมาลงสนามอีกครั้ง อดีตหัวหอกทีมชาติยูเครน คือกำลังสำคัญพา เอซี มิลาน ทะลุเข้าถึงเกมนัดชิงชนะเลิศซึ่งพบคู่ปรับร่วมชาติอย่าง ยูเวนตุส ที่สนาม โอลด์ แทรฟฟอร์ด
แม้ตลอดเวลาปกติร่วมถึงช่วงต่อเวลาพิเศษ 120 นาที เชฟเชนโก้ ไม่สามารถยิงประตูให้กับ “รอสโซเนรี” ได้สำเร็จ ทว่าช่วงดวลจุดโทษตัดสินแชมป์ เขาคือคนรับหน้าที่สังหารลูกปิดท้ายให้กับทีม และพา มิลาน เอาชนะ ยูเวนตุส ด้วยการยิงจุดโทษ 3-2 คว้าถ้วย “บิ๊กเอียร์” สมัยที่ 6 ของสโมสร
แข้ง ยูเครน คนแรกคว้ารางวัลบัลลงดอร์
ภายหลังจบซีซั่น 2002/2003 ซึ่งอดีตดาวรุ่ง ดินาโม เคียฟ พายอดทีมแห่งเมืองมิลาน คว้าแชมป์ยุโรป สมัยที่ 6 ของสโมสร ฤดูกาลต่อมาเขายังคงทำผลงานร้อนแรงต่อเนื่อง พร้อมถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในผู้เล่นตำแหน่งศูนย์หน้าที่ดีที่สุดของโลก ณ เวลานั้น
จากความสำเร็จซีซั่น 2002/2003 รวมถึงผลงานอันร้อนแรงช่วงออกสตาร์ทฤดูกาล 2003/2004 เชฟเชนโก้ ก้าวขึ้นมาถึงจุดสูงสุดของเส้นทางอาชีพการค้าแข้ง หลังเขาถูกเลือกให้รับรางวัลบัลลงดอร์ เมื่อปี 2004 ด้วยคะแนนโหวต 175 คะแนน เบียดเอาชนะคู่แข่งอันดับ 2 อย่าง เดโก้ อดีตกองกลางระดับตำนาน บาร์เซโลน่า และทีมชาติโปรตุเกส ที่ได้รับคะแนนโหวต 139 คะแนน ตามมาด้วยอันดับ 3 โรนัลดินโญ่ อีกหนึ่งผู้เล่นจาก “อาซูลกรานา” เช่นกัน
โดย เชฟเชนโก้ ถือเป็นนักเตะคนแรกของยูเครน ที่ผงาดคว้ารางวัลบัลลงดอร์ นับตั้ง ยูเครน ประกาศเอกราชจาก สหภาพโซเวียต เมื่อปี 1991 และยังคงเป็นคนเดียวจนถึงปัจจุบัน
พา ยูเครน เข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายฟุตบอลโลก 2006
นับตั้งแต่แยกตัวออกจาก สหภาพโซเวียต เมื่อปี 1990 และได้รับการรับรองเข้าเป็นหนึ่งในสมาชิกของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) ในปี 1992 กว่าที่ ยูเครน จะสามารถผ่านเข้าไปเล่นศึกฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ได้สำเร็จ แฟนบอลต้องรอคอยนานกว่า 16 ปี กระทั่ง โอเล็ก บล็อกกิ้น กุนซือของทีมเวลานั้น พาขุนพล “ฟ้า-เหลือง” ผ่านรอบคัดเลือกลงเตะฟุตบอลโลก 2006 ซึ่ง เยอรมนี เป็นเจ้าภาพ และนับเป็นการลงเล่นทัวร์นาเมนต์ระดับเมเจอร์ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของพวกเขาเองด้วย
ศึกฟุตบอลโลก ครั้งดังกล่าว ยูเครน ลงเตะรอบแรกด้วยการอยู่กลุ่ม เอส ร่วมกับ สเปน, ตูนิเซีย และ ซาอุดิอาระเบีย โดยมี อังเดร เชฟเชนโก้ เป็นแกนหลักและความหวังสูงสุดของทีม แม้ผลงานนัดประเดิมสนามไม่เป็นไปตามที่หลายคนคาดหวัง ด้วยการแพ้ขุนพล “กระทิงดุ” ไปแบบขาดลอย 4-0 ทว่าเกมนัดที่สอง ยูเครน สามารถพลิกสถานการณ์มาเอาชนะ ซาอุดิอาระเบีย 4-0 โดยมีชื่อของอดีตกองหน้าเจ้าของรางวัลบัลลงดอร์ยิงหนึ่งประตูให้กับทีม นอกจากนั้นเจ้าตัวยังเป็นฮีโร่ซัดจุดโทษประตูชัยพาทีมเอาชนะ ตูนิเซีย 1-0 ในแมตช์สุดท้ายรอบแบ่งกลุ่ม พร้อมคว้าตั๋วเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย ได้สำเร็จ
รอบน็อคเอาท์ ลูกทีม บล็อกกิ้น โคจรมาพบกับ สวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งเกมตลอด 90 นาที รวมถึงต่อเวลาพิเศษ 120 นาที ทั้งสองฝ่ายเสมอกัน 0-0 ต้องยิงจุดโทษเพื่อหาผู้ชนะ ซึ่ง เชฟเชนโก้ กัปตัน ยูเครน รับหน้าที่สังหารคนแรกให้กับทีม ทว่าเจ้าตัวดันซัดไปติดเซฟ ปาสคาล ซูเบอร์บือเลอร์ อย่างไรก็ตามท้ายที่สุด ยูเครน ยังเอาตัวรอดด้วยการชนะดวลจุดโทษ 3-0 ก่อนที่รอบต่อมา 8 ทีมสุดท้าย พวกเขาเจอศึกหนักพบ อิตาลี โดยตลอดทั้งเกม เชว่า โดนบรรดานักเตะ อิตาลี ซึ่งรู้พิษสงของเขาเป็นอย่างดีตามประกบจนไม่สามารถเล่นในฟอร์มที่ดีได้ ซึ่งนั่นทำให้ทีมของเราแพ้ “อัสซูรี” ไปแบบขาดลอย 3-0 แต่ถึงกระนั่นการผ่านเข้ามาถึงรอบก่อนรองชนะเลิศ ฟุตบอลโลก 2006 ถือเป็นผลงานยอดเยี่ยมและน่าประทับใจสำหรับ ยูเครน และ เชฟเชนโก้ ไม่น้อยเลยทีเดียว
เจ้าของตำแหน่งดาวยิงสูงสุดตลอดกาล ยูเครน
แข้งเจ้าของฉายา “จรวดสังหาร” ลงเล่นให้กับทีมชาติยูเคน นัดแรกอย่างเป็นทางการ ในเกม ยูโร 1996 รอบคัดเลือก ที่พบกับ โครเอเชีย เมื่อเดือนมีนาคม ปี 1995 ส่วนประตูแรกนามทีมชาติเกิดขึ้นแมตช์อุ่นเครื่องพบกับ ตรุกี ช่วงเดือนพฤษภาคม ปี 1996
หลังจากนั้นตลอดระยะเวลากว่า 17 ปี เชฟเชนโก้ ลงสนามรับใช้ทีมชาติยูเครน ต่อเนื่อง ผ่านการลงเล่นทัวร์นาเมนต์ระดับเมเจอร์ 2 ครั้ง คือในฟุตบอลโลก 2006 ที่เข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศ รวมถึงศึกฟุตบอลยูโร 2012 ซึ่งพวกเขาเองเป็นเจ้าภาพร่วมกับ โปแลนด์
โดยสถิติของ เชฟเชนโก้ กับ ยูเครน ลงสนามให้กับทีมทั้งหมด 111 นัด มากสุดเป็นอันดับ 2 เป็นรองแค่เพียง อนาโตลี ติโมชุค ซึ่งลงเล่น 144 เกม ส่วนประตูที่ทำได้กับทีม “ฟ้า-เหลือง” อดีตดาวกองหน้าเบอร์ 7 ซัดไปทั้ง 48 ลูก ซึ่งนั่นส่งผลให้เขายังครองตำแหน่งดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของทีมชาติยูเครน จนถึงปัจจุบัน โดยมี อันเดรย์ ยาร์โมเลนโก ขยับเข้าใกล้เรื่อยๆ ด้วยจำนวน 42 ประตู
คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของ ยูเครน มากสุด 6 สมัย
นอกจาก เชฟเชโก้ จะครองตำแหน่งดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของทีมชาติยูเครน แล้ว ด้วยความยอดเยี่ยมบทเส้นทางอาชีพการค้าแข้งซึ่งยาวนานกว่า 19 ปี ทั้งกับทีมชาติและสามสโมสรอย่าง ดินาโม เคียฟ, เอซี มิลาน และ เชลซี ทำให้เขากลายเป็นนักที่คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของ ยูเครน มากสุดตลอดกาลอีกด้วย
โดยตลอดช่วงเวลาการเล่นฟุตบอลของอดีตสุดยอดดาวแห่งศึก กัลโช่ เซเรีย อา เจ้าตัวผงาดคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของ ยูเครน ถึง 6 สมัย คือในปี 1997, 1999, 2000, 2001, 2004 และ 2005 มากสุดในประวัติศาสตร์ และยังไม่ใครมาทำลายสถิติดังกล่าวได้จนถึงปัจจุบัน
สำหรับสถิติของ เชฟเชโก้ ตลอดอาชีพการค้าแข้ง เจ้าตัวลงสนามทั้งหมด 815 นัด รวมทั้งกับทีมชาติและสโมสร ยิงไป 391 ประตู นอกจากนั้นเขาถูกเลือกให้ติดเป็น 1 ใน 100 ผู้เล่นที่ดีที่สุดตลอดกาลในช่วงศตวรรษที่ 20 จากการจัดอันของเว็บไซต์ฟุตบอลชื่อดังอย่าง World Soccer อีกด้วย
กุุนซือผู้พา ยูเครน เข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย ยูโร 2020
ภายหลังตัดสินใจประกาศยุติเส้นทางอาชีพการค้าแข้ง หลังจบศึกฟุตบอลยูโร 2012 อังเดร เชฟเชนโก้ ห่างหายไปจากวงการลูกหนังนานกว่า 4 ปี ก่อนที่เขาจะกลับมารับตำแหน่งผู้ช่วยของ มิไคโล โฟเมนโก เมื่อปี 2016 หลังจากนั้นไม่นานอดีตดาวยิงตัวเก่ง เอซี มิลาน ถูกแต่งตั้งขึ้นมาคุมทีมแบบเต็มตัวในปีเดียวกัน พร้อมเซ็นสัญญากับสมาคมฟุตบอลยูเครน ยาว 4 ปี
นับตั้งแต่เข้ามารับงานเมื่อ 5 ปีที่แล้ว เชว่า พาทีมลงสนามไปแล้วทั้งหมด 51 นัด ชนะ 25 เกม เสมอ 13 เกม แพ้ 13 เกม ผลงานยอดเยี่ยมก่อนหน้านี้ คือการพา ยูเครน ผ่านรอบคัดเลือกเข้ามาเล่นในศึกฟุตบอลยูโร 2020 ได้สำเร็จ
ส่วนผลงานในศึกฟุตบอล รอบสุดท้าย รอบแรกทีมของ เชฟเชนโก้ อยู่กลุ่ม ซี ร่วมกับ เนเธอร์แลนด์, ออสเตรีย และ มาซิโดเนียเหนือ ซึ่งผลงานตลอด 3 เกมที่ผ่านมา พวกเขาชนะ 1 เกม แพ้ 2 เกม แต่ยังดีพอสำหรับการผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้าย ในฐานะอันดับ 3 ที่ดีที่สุด 1 ใน 4 ทีม และต้องพบกับ สวีเดน
โดยเกมรอบน็อคเอ้าท์กับ “ไวกิ้ง” ลูกทีม เชฟเชนโก้ ทำผลงานสุดยอดด้วยการออกจากนำ สวีเดน ไปก่อนแบบเหนือความคาดหมาย ก่อนที่เกม 90 นาที จะจบลงด้วยผลเสมอ 1-1 อย่างไรก็ตามนาทีที่ 120+1 แฟนบอล ยูเครน รวมถึงกุนซือของพวกเขาเองได้เฮแบบสุดเสียง หลัง อาร์เต็ม โดฟบิค ทำประตูชัย 2-1 พาทีมทะลุเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศไปพบกับ อังกฤษ
แม้ที่ผ่านมาผลงานของ เชฟเชนโก้ อาจโดนวิพากษ์วิจารณ์จากแฟนบอลร่วมถึงสื่อมวลชนอยู่บ่อยครั้ง ทว่าในศึกฟุตบอลยูโร 2020 เขาเองได้พิสูจน์ฝีมือการคุมทีมให้หลายคนได้เห็นแล้ว หลังจากนี้คงต้องมาลุ้นกันว่าอดีตตำนานดาวยิง “ฟ้า-เหลือ” จะพาทีมของเขาไปได้ไกลแค่ไหน
ข่าวที่เกี่ยวข้องกับ เชฟเชนโก้
ไม่ขอหยุดแค่ตำนานแข้ง : เชฟเชนโก้ กับเส้นทางสู่ยอดกุนซือรายต่อไป?