เบนจามิน เจมส์ เดวิส เพิ่งได้รับโอกาสลงสนามเป็นตัวจริงให้กับทีมชาติไทย อย่างเป็นทางการ ในศึกชิงแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี 2020 ในแมตช์ที่เสมอกับ อิรัก 1–1 พร้อมสร้างประวัติศาสตร์พาทีมทะลุเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย ในรายการดังกล่าวได้สำเร็จ
นอกจากนั้นสถิติของ เบนจามิน เดวิส ในการลงเล่นเกมแรกให้กับทัพ “ช้างศึก” ยังถือว่าน่าสนใจไม่น้อย โดยผลงานของนักเตะดาวรุ่ง ฟูแล่ม นัดที่พบกับ อิรัก เจ้าตัวลงสนามไปทั้งหมด 56 นาที, ยิงตรงกรอบ 1 ครั้ง จากโอกาสจบสกอร์ 3 หน, ผ่านบอลสำเร็จถึง 17 ครั้ง, ความแม่นยำในการจ่ายบอล 77%, สร้างสรรค์โอกาสให้เพื่อนร่วมทีมลุ้นประตู 2 ครั้ง และ เรียกฟาวล์ให้ทีมไปถึง 7 ครั้ง ทำให้เขากลายเป็นที่กล่าวถึงและกลายเป็นขวัญใจคนใหม่ของแฟนบอลช้างศึกทันที
แน่นอนว่าดาวรุ่งอนาคตไกลจากจากทีม “เจ้าสัว” ถือเป็นนักเตะที่น่าจับตามองมากที่สุดคนหนึ่งของวงการฟุตบอลไทย ในเวลานี้ นอกเหนือจากนั้นต้องบอกเลยว่าเรื่องราวของเจ้าหนูวัย 19 ปี ยังเต็มไปด้วยเรื่องราวน่าติดตามทั้งเหตุการณ์ที่น่าจดจำ และยังมีช่วงเวลาที่เกือบจะทำชีวิตการค้าแข้งของเขาพังทลายมาแล้ว
แข้ง 3 สัญชาติ
เบนจามิน เจมส์ เดวิส คือหนุ่มน้อยที่เกิดในจังหวัดภูเก็ต มีแม่เป็นชาวไทย ชื่อ โสภี เดวิส และพ่อเป็นชาวเวลส์ เชื้อสายอังกฤษ ก่อนที่ในวัย 5 ขวบ เบนจามิน ได้ย้ายไปเติมโต และเริ่มหัดเล่นฟุตบอลที่ประเทศสิงคโปร์ ก่อนที่เขาจะได้รับสัญชาติสิงคโปร์ เมื่อปี 2009 ซึ่งนั่นทำให้ดาวรุ่งอนาคตไกลสัญชาติ ไทย, สิงคโปร์ และ บริติช รายนี้สามารถเลือกเล่นในระดับชาติได้ถึง 4 ทีม ทั้ง ไทย, สิงคโปร์, อังกฤษ และ เวลส์
เข้าโรงเรียนฝึกฟุตบอลเยาวชน JSSL Singapore เส้นทางสู่ ฟูแล่ม
ช่วงเวลาเดียวกับที่ เดวิส ได้รับสัญชาติสิงคโปร์ เจ้าตัวได้เริ่มต้นล่าฝันการเป็นนักบอลอาชีพด้วยการเข้าไปอยู่กับโรงเรียนสอนฟุตบอล JSSL Singapore ซึ่งพ่อของเขาเป็นเจ้าของอยู่ โดยโรงเรียนดังกล่าวเป็นพันธมิตรลูกหนังกับสโมสรระดับแถวหน้าของประเทศอย่าง แทมปิเนส โรเวอร์ส รวมไปถึง ฟูแล่ม ทีมดังจากเกาะอังกฤษ ขณะเดียวกัน เบนจามิน เดวิส ยังได้ถูกเลือกให้เข้าไปอยู่ในศูนย์ฝึกกีฬาเพื่อความเป็นเลิศของสมาคมฟุตบอลสิงคโปร์ อีกด้วย กระทั่งปี 2017 เจ้าตัวได้รับมอบทุนการศึกษาจากทีม “เจ้าสัว” ให้ย้ายไปฝึกฟุตบอลร่วมกับสโมสรเป็นเวลา 2 ปี หลังจากที่ยอดทีมแห่งกรุงลอนดอน ประทับใจฝีเท้าของเด็กหนุ่มวัย 16 ปี ในเวลานั้นเข้าอย่างจัง
โชว์ฟอร์มเก่งกับทีมเยาชน “เจ้าสัว” ก่อนได้รับสัญญาอาชีพ
นับตั้งแต่ที่ เบนจามิน เดวิส ย้ายไปอยู่กับ ฟูแล่ม กราฟชีวิตของเขาพุ่งพรวดสุดๆ หลังเจ้าตัวได้รับโอกาสงเล่นในทีมชุด U18 ของสโมสร และทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม โดยในซีซั่นแรก เบนจามิน ลงเล่นไปถึง 10 นัด ในทีมชุด U18 ของ ฟูแล่ม และสามารถทำประตูจากลูกโหม่งได้ในเกมที่พบกับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด พร้อมกับมีสถิติความแม่นยำในการจ่ายบอลสูงถึง 90% ก่อนที่ในปี 2018 เดวิส ได้รับสัญญาค้าแข้งอาชีพกับทีมดังเมืองผู้ดีอย่างเป็นทางการ และถูกขยับขึ้นไปเล่นกับทีมชุด U23 ในศึก ลีกสำรองของ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ
เล่นทีมชาติสิงคโปร์ U16 U18 และติดชุดใหญ่ ศึก เอเชี่ยน คัพ รอบคัดเลือก
ในขณะที่ เบนจามิน เดวิส ได้รับสัญชาติสิงคโปร์ เขาเคยลงสนามให้กับขุนพล “เมอร์ไลออนส์” ชุด U16 ในศึกฟุตบอลชิงแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 16 ปี 2015 รอบคัดเลือก มาแล้ว ซึ่งในเกมนัดแรกเจ้าตัวได้เผชิญหน้ากับทีมบ้านเกิดอย่างทีมชาติไทย ด้วย หลังจากนั้น เดวิส ยังเคยลงเล่นให้กับทีมชาติสิงคโปร์ ชุด U18 ในศึกชิงแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี 2018 รอบคัดเลือก ก่อนที่เจ้าตัวจะสร้างเซอร์ไพรส์ถูกเรียกติดทีมชาติสิงคโปร์ ชุดใหญ่ ในเกม เอเอฟซี เอเชียน คัพ 2019 รอบคัดเลือก ที่พบกับ ไต้หวัน ทว่าท้ายที่สุดเจ้าตัวก็ไม่ได้รับโอกาสส่งลงสนามให้กับทีม และนั่นถือเป็นการเปิดโอกาสให้ดาวรุ่งจาก ฟูแล่ม รายนี้ ยังสามารถเลือกเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ของชาติอื่นได้ด้วย
ยอมหนีทหารเพื่อล่าฝันการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ
ขณะที่ช่วงเวลาชีวิตการค้าแข้งของ เบนจามิน เดวิส กำลังไปได้ดีสุดๆ ทว่าในปี 2018 เจ้าตัวดันต้องมาพบกับอุปสรรคสำคัญ หลังทางการของสิงคโปร์ ไม่ยอมอนุมัติสัญญาดังกล่าวที่เจ้าตัวทำไว้กับ ฟูแล่ม เนื่องจาก เบนจามิน ซึ่ง ณ เวลานั้นมีอายุครบ 18 ปี ยังไม่ได้ผ่านเข้ารับราชการทหารเป็นเวลา 2 ปี ตามกฎหมายของประเทศ ถึงแม้เขาได้ยื่นเรื่องขอผ่อนผันไปแล้ว ทว่าทางการสิงคโปร์ ก็ได้ตอบปฏิเสธกลับมา อย่างไรก็ตาม เดวิส ยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าล่าฝันการเป็นนักฟุตบอลอาชีพบนเกาะอังกฤษ ต่อไป กระทั่งในปี 2019 เบนจามิน เจมส์ เดวิส ถูกกระทรวงกลาโหมสิงคโปร์ ประกาศให้เป็น “บุคคลหนีทหาร” หลังไม่ยอมไปรายงานตัวตามเวลาที่กำหนดไว้ นั่นทำให้แข้งดาวรุ่งรายนี้อาจถูกตัดสินจำคุกถึง 3 ปี หลังจากนั้นไม่นานเจ้าตัวได้โพสรูปของตัวเองลงบนอินสตาแกรม พร้อมข้อความว่า “Footballer for Fulham fc” โดยมีรูปธงชาติไทย และอังกฤษ ติดอยู่ด้วย ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวได้สร้างความไม่พอใจให้กับแฟนบอลสิงคโปร์ อย่างมาก
ประเดิมชุดใหญ่ ฟูแล่ม เจอทีมจาก พรีเมียร์ลีก เกม ลีก คัพ
ถือเป็นอีกหนึ่งในวันประวัติศาสตร์ของ เบนจามิน เดวิส หลังแข้งดาวรุ่งวัย 19 ปี ได้รับโอกาสส่งลงสนามเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ของ ฟูแล่ม อย่างเป็นทางการ ในเกม คาราบาว ลีก คัพ รอบสอง เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม ปี 2019 นัดที่ต้นสังกัดของเขาเปิดบ้านแพ้ให้กับทีมดังในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ อย่าง เซาแธมป์ตัน 0 – 1 โดย เดวิส ถูกส่งลงมาเป็นตัวสำรองแทนที่ของ ลูกา เดลาทอร์เร ในนาทีที่ 90 ของเกม อย่างไรก็ตามถึงแม้จะเป็นการลงสนามที่ใช้เวลาไม่นานนัก ทว่ามันส่งผลให้ชื่อของเขากลายเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น โดยเฉพาะกับบรรดาแฟนบอลไทย ที่เริ่มให้ความสนใจ และต้องการให้เขาตัดสินใจเลือกย้ายมาเล่นกับทัพ “ช้างศึก”
สร้างเซอร์ไพรส์ มีชื่อติดทีมชาติไทย ครั้งแรก ชุดลุยศึก ซีเกมส์
และแล้วก็มาถึงวันที่แฟนบอลไทย ได้รู้จักกับ เบนจามิน เจมส์ เดวิส อย่างเป็นทางการมากขึ้น ภายหลังจากที่ดาวรุ่งของ ฟูแล่ม มีชื่อติดอยู่เป็นแคนดิเดต 1 ใน 28 ขุนพลทัพ “ช้างศึก” ชุดลุยศึก ซีเกมส์ 2019 ที่ประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว และเจ้าตัวได้เดินทางมาร่วมเก็บตัวกับทีมก่อนที่ทัวร์นาเมนต์ดังกล่าวจะเริ่มขึ้น พร้อมกับมีโอกาสได้ลงซ้อมร่วมกับทีมชาติไทย ชุดใหญ่ ด้วย อย่างไรก็ตามท้ายที่สุดแล้วเป็นเรื่องน่าเสียดายพอสมควรที่ เบนจามิน เดวิส ไม่ได้ถูก อากิระ นิชิโนะ เฮดโค้ชชาวญี่ปุ่น เลือกติดเป็น 1 ใน 20 นักเตะทีมชาติไทย ลงเล่นศึก ซีเกมส์ 2019 ที่ผ่านมาในท้ายที่สุด
ติดทีมชุดชิงแชมป์เอเชีย U23 และลงเล่นกับทีมชาติไทย อย่างเป็นทางการ
ในที่สุดโอกาสของ เบนจามิน เจมส์ เดวิส กับการรับใช้ทีมชาติไทย ก็มาถึง หลังเจ้าตัวถูก อากิระ นิชิโนะ เทรนเนอร์ทัพ “ช้างศึก” ตัดสินใจเลือกติดเป็น 1 ใน 23 ขุนพลชุดลุยศึกชิงแชมป์เอเชีย รุ่นอายุ ไม่เกิน 23 ปี 2020 ซึ่งประเทศไทย เป็นเจ้าภาพ และเป็นทัวร์นาเมนต์ที่จะคัดเลือกหา 3 ทีม จากทวีปเอเชีย สำหรับการคว้าตั๋วไปลงเตะในศึก โอลิมปิก เกมส์ 2020 ที่กรุงโตเกียว ด้วย อย่างไรก็ตามกว่าที่โอกาสในการลงสนามให้ทีมชาติไทย ของ เดวิส จะมาถึง เจ้าตัวต้องรอกระทั่งในเกมรอบแบ่งกลุ่มนัดสุดท้ายที่พบกับ อิรัก ซึ่งเขาได้ถูกเลือกให้ออกสตาร์ทเป็น 11 ตัวจริงในตำแหน่งกองหน้า โดยผลงานของนักเตะดาวรุ่งของ ฟูแล่ม ในเกมนี้ ลงสนามไปทั้งหมด 56 นาที, ยิงตรงกรอบ 1 ครั้ง จากโอกาสจบสกอร์ 3 หน, ผ่านบอลสำเร็จถึง 17 ครั้ง, ความแม่นยำในการจ่ายบอล 77%, สร้างสรรค์โอกาสให้เพื่อนลุ้นประตู 2 ครั้ง และ เรียกฟาวล์ให้ทีมไปถึง 7 ครั้ง