อลัน เชียเรอร์ อาจเคยคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกกับ แบล็คเบิร์น ในปี 1995 รวมถึงเป็นดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของลีกสูงสุดแดนผู้ดียุคใหม่ที่ 260 ประตู และเคยซัดมากกว่า 30 ลูกถึง 3 ฤดูกาลติดต่อกัน แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่เคยคว้ารางวัลรองเท้าทองคำได้เลย
กลับกัน กองหน้าที่มีความสูงแค่ 170 เซนติเมตร, ไม่ดีพอจะเป็นแบ็คขวาให้ทีมนอกลีก และโดน เซาแธมป์ตัน ปล่อยตัวไปตั้งแต่อายุ 18 อย่าง เควิน ฟิลลิปส์ กลับกลายเป็น นักเตะชาวอังกฤษคนเดียวที่เคยคว้าดาวซัลโวระดับทวีปมาครอง
ในปี 1999 ถึง 2000 เป็นช่วงที่ ฟิลลิปส์ โชว์ฟอร์มการเล่นได้กระฉูดแตกที่สุดในอาชีพค้าแข้ง หลังซัดไป 30 ประตู จาก 36 นัดในลีก ช่วยให้ซันเดอร์แลนด์คว้าอันดับ 7 ในพรีเมียร์ลีกได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ เขาถูก ร็อดนี่ย์ มาร์ช ทำนายว่าจะฟอร์มฝืดไม่ต่างจากหลายปีที่ผ่านมา
ว่าแต่เขาทำเรื่องสุดเหลือเชื่อแบบนั้นได้อย่างไร ลองหาคำตอบผ่านบทความชิ้นนี้
จากแข้งนอกลีกสู่หอกแมวดำ
ก่อนหน้าที่ เควิน ฟิลลิปส์ จะสร้างปรากฏการณ์สุดเหลือเชื่อ ย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีก่อนนั้น เขาลงเล่นในตำแหน่งแบ็คขวาให้กับทีมนอกลีกอย่าง บัลด็อก ทาวน์
“ผมไม่ได้เล่นเท่าไหร่ในตำแหน่งแบ็คขวาในเกมนอกลีก แต่จากนั้น เราก็มีปัญหากับตำแหน่งกองหน้าตัวเป้าในเกมหนึ่ง และผมก็ยกมือขึ้น พูดว่าผมขอเล่นเองเพราะนั่นเป็นสิ่งที่ผมอยากทำ” ฟิลลิป์ส์ กล่าวกับ เบอร์มิ่งแฮม เมล ในปี 2008
“ผมเล่นเกมแรก ยิงไป 2 ประตู และก็ไม่เคยย้อนกลับไปจุดเดิมอีกเลย มันโชคดีที่โอกาสมาพร้อมกับอาการบาดเจ็บ เราต้องการใครสักคน ผมเลยอาสาเล่นแทน”
กองหน้าร่างเล็ก รอจนถึงปี 1994 กว่าจะได้เล่นฟุตบอลอาชีพเป็นครั้งแรก หลังเซ็นสัญญากับ วัตฟอร์ด ด้วยค่าตัว 10,000 ปอนด์ เขายิงไป 9 ประตูในดิวิชั่นหนึ่ง ก่อนที่อาการบาดเจ็บตรงข้อเท้าจะรบกวนเขาเกือบ 2 ฤดูกาล แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้ ซันเดอร์แลนด์ ทีมที่เพิ่งตกชั้นจากพรีเมียร์ลีก สนใจและคว้าตัวมาร่วมทีมด้วยค่าตัว 325,000 ปอนด์
เขาสร้างชื่อเสียงในฐานะกองหน้าตัวจบสกอร์อย่างรวดเร็วกับทีม ‘แมวดำ’ และประสานงานร่วมกับ ไนออล ควินน์ หอกร่างโย่งได้อย่างลงตัว โดยที่แข้งชาวไอริช จะใช้รูปร่างสูงใหญ่เล่นงานแนวรับ ขณะที่ ฟิลลิปส์ จะอยู่ใกล้ๆ อเพื่อหาโอกาสทำประตู
ช็อกวงการลูกหนังอังกฤษ
ช่วงเวลาที่เขาขึ้นมาเล่นในลีกสูงสุดของประเทศอังกฤษเป็นครั้งแรกในปี 1999 เชียเรอร์ ได้สถาปนาตัวเองเป็นกองหน้าเบอร์ต้นๆของ พรีเมียร์ลีก ไปแล้วเรียบร้อย หลังกดไป 30 เม็ด 3 ฤดูกาลติด และย้ายไปเล่นกับ นิวคาสเซิล ด้วยค่าตัวที่เป็นสถิติ 15 ล้านปอนด์ ทว่าในระดับทวีป ฮ็อตช็อต ก็ยังไม่เคยได้เชยชมรองเท้าทองคำเลยซักครั้งเดียว
คู่หู เควิน ฟิลลิปส์-ไนออล ควินน์ ทำผลงานได้ดีในพรีเมียร์ลีก แม้พวกเขาจะพ่าย เชลซี แบบย่อยยับ 4-0 ในนัดเปิดสนาม แต่ในเกมต่อมา หอกเลือดผู้ดีก็ซัดประตูแรกในลีกได้สำเร็จในนัดที่พบกับ วัตฟอร์ด อดีตต้นสังกัดของเขา จากนั้นก็ยิงประตูเรื่อยๆมาจำนวน 8 ลูก จาก 8 เกมแรก
นับตั้งแต่นัดที่ชนะ นิวคาสเซิล อริร่วมเมืองได้ ซันเดอร์แลนด์ ก็ทำสถิติไม่แพ้ใครนาน 10 นัด ขณะที่ฟอร์มการยิงประตูของ หอก ‘แมวดำ’ ก็ยอดเยี่ยมขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนัดที่ทำแฮตทริกได้ในเกมเอาชนะดาร์บี้ 5-0 หรือ นัดที่กลับมาล้างแค้น ‘สิงห์บลูส์’ ในบ้าน ด้วยสกอร์ 4-1 ซึ่งลูกที่วอลเลย์ระยะ 30 หลา ผ่านตัว เอ็ด เดอ ฮุย ถือเป็นประตูที่สวยงามที่สุดของ ฟิลลิปส์ ในฤดูกาลนั้นเลย
เควิน ฟิลลิปส์ ยิงประตูที่ 30 ในนัดรองสุดท้ายของฤดูกาลที่พบกับ เวสต์แฮม และด้วยฟอร์มอันยอดเยี่ยมไร้ที่ติ ทำให้เขาได้ติดทีมชาติอังกฤษไปลุยศึก ยูโร ปี 2000 แต่น่าเศร้าที่เขาไม่ได้ลงเล่นในทัวร์นาเมนต์นั้นเลยแม้แต่นาทีเดียว
ค่าสัมประสิทธิ์เป็นเหตุ
แต่ถึงอย่างนั้น ประตูทั้งหมดที่ยิงให้ซันเดอร์แลนด์คว้าอันดับ 7 ในลีก ทำให้ เควิน ฟิลลิปส์ คว้าดาวซัลโวประจำทวียุโรปมาครอง แม้จริงๆแล้ว เขาจะไม่ใช่คนที่ยิงประตูได้มากที่สุดของทวีปในปีนั้นก็ตาม
ภายใต้ระบบคำนวณคะแนนแบบใหม่ 30 ประตูของ ดาวเตะชาวอังกฤษ ทำให้เขามีคะแนนทั้งหมด 60 แต้ม ซึ่งประตูที่ยิงได้ใน พรีเมียร์ลีก จะนับเป็นลูกละ 2 คะแนน ขณะที่ใน ไพรมีร่า ลีก้า ของโปรตุเกส นับเพียงลูกละ 1.5 แต้มเท่านั้น ทำให้ มาริโอ้ จาร์เดล ที่ซัดให้ ปอร์โต้ 38 ประตูในปีเดียวกัน ได้คะแนนไปทั้งหมด 57 แต้ม รั้งอันดับ 3 ตามหลัง รุด ฟาน นิสเตลรอยด์ ที่รัวตาข่ายให้ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่นด์ แม้ยิงเพียง 29 ประตูเท่านั้น
ในยุคก่อนหน้าที่เริ่มมีการมอบรางวัลนี้เป็นครั้งแรกในปี 1968 ไม้ได้มีคำนวนแบบนั้น และใช้เพียงเงื่อนไขเดียวก็คือจะมอบรางวัลให้กับคนที่ยิงประตูในลีกได้สูงที่สุดในลีกยุโรป ซึ่งดาวดังจากลีกชั้นนำบางคนก็คว้ารางวัลมาครองได้อย่างเหมาะสม ทั้ง ยูเซบิโอ้, แกร์ด มุลเลอร์, ฮูโก้ ซานเชซ หรือ เอียน รัช
แต่หากลองย้อนไปดูผู้ชนะรางวัลนี้ตั้งแต่ปี 1968 ถึง 1991 จะพบว่ามีแข้งมากกว่า 80 เปอร์เซนต์ ที่มาจาก ลีกเล็กๆ ที่มาตรฐานไม่เท่าลีกดังๆ แต่ดันยิงประตูได้เยอะกว่าใครในปีนั้นๆ
ไม่ว่าจะเป็นดาวยิงจาก ลีกไซปรัส, โรมาเนีย, จอร์เจีย, อาร์เมเนีย, เวลส์ หรือแม้กระทั่ง บัลแกเรีย ต่างเคยได้สัมผัสรางวัลนี้มาแล้ว และกลายเป็นเหตุผลที่ทำให้รางวัลนี้ดูด้อยค่าลงไปพอสมควร
นั่นทำให้รางวัลไม่มีการมอบให้ผู้ที่ยิงประตูสุดสูงของยุโรปในช่วงปี 1992-1996 ก่อนที่ รางวัลรองเท้าทองคำ ถูกส่งต่อให้ ยูโรเปี้ยน สปอร์ต มีเดีย (ESM) เป็นผู้ดูแลและมอบรางวัล พร้อมกับมีการออกกฎค่าสัมประสิทธิ์ จาก ยูฟ่า นับตั้งแต่ฤดูกาล 1996-97 เป็นต้นมา ซึ่งกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ ฟิลลิปส์ คว้ารางวัลนี้ในอีก 3 ปีต่อมา
แข้งผู้ดีไม่มีวาสนา
น่าสนใจจริงๆ หากระบบนี้ถูกนำมาใช้ตั้งแต่ปี 1991 จะมีนักเตะชาวอังกฤษมากถึง 3 คนที่คว้ารางวัลรองเท้าทองคำไปครอง ทั้ง เอียน ไรท์ ที่ยิงให้ คริสตัล พาเลซ และ อาร์เซน่อล 29 ลูกในฤดูกาล 1991-92, แอนดี้ โคล ที่ยิงไป 34 ลูกให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ฤดูกาล 1993-94 และ อลัน เชียเรอร์ ที่คว้ารางวัลนี้ในปี 1995 ได้แน่นอน หลังซัดไป 34 ตุง ให้ ‘กุหลาบไฟ’ คว้าแชมป์ลีกไปครอง
ส่วนในปีที่ เควิน ฟิลลิปส์ คว้าทั้งดาวซัลโวในลีกและระดับทวีป อดีตแข้งทีมชาติอังกฤษ เจ้าของฉายา ‘ฮ็อตช็อท’ ประสบปัญหาตลอดในช่วงครึ่งฤดูกาลแรก ทั้ง ถูกไล่ออกตั้งแต่นัดเปิดสนาม ตามมาด้วยการมีปากเสียงกับ รุด กุลลิต กุนซือ นิวคาสเซิล จนถูกดองในม้านั่งสำรอง จนกระทั่งการมาของ เซอร์ บ็อบบี้ ร็อบสัน ในถิ่น เซนต์ เจมส์ ปาร์ค ช่วยให้ เชียเรอร์ เค้นฟอร์มเก่งกลับมา และยิงไป 23 ประตูในลีก แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะตาม หอก ‘แมวดำ’ อยู่ดี
ขณะที่ดาวยิงเบอร์ต้นของทวีปในตอนนั้น ก็เทียบจำนวนประตูกับ ฟิลลิปส์ ไม่ได้เลย ทั้ง อังเดร เชฟเชนโก้ ที่ยิงให้ เอซี มิลาน 24 ประตู หรือ กาเบรียล บาติสตูต้า ที่ซัดไปแค่ 22 ประตู กับปีสุดท้ายในฟิออเรนติน่า รวมถึง โรนัลโด้ จาก อินเตอร์ มิลาน เจ้าของรางวัลนี้ในปี 1997 ก็พลาดลงสนามทั้งปี หลังมีอาการบาดเจ็บหนักที่หัวเข่า
จากนั้นอีกหลายปีต่อมา ก็ไม่มีแข้งชาวอังกฤษ คนไหนทำได้ใกล้เคียงกับรางวัลทองเท้าทองคำอีกเลย จนกระทั่ง กองหน้าตัวความหวังของ สเปอร์ส อย่าง แฮร์รี่ เคน ที่กลายเป็นแข้งชาวผู้ดีที่ยิงได้ 30 ประตูในลีกคนแรก ต่อจาก ฟิลลิปส์ ในฤดูกาล 2017-18 แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ใช่ที่สุด เมื่อพ่ายให้กับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ แข้งตัวเก่งจากลิเวอร์พูลที่ยิงในลีกไป 32 ลูกด้วยกัน
ส่วน ฟิลลิปส์ หลังจากฤดูกาล 1999-2000 จบลง ลีลาการทำประตูที่โดดเด่นก็ตกลงไปดื้อๆ และกลายเป็นแข้งจอมพเนจรแบบเต็มตัว ด้วยการย้ายไปเล่นกับ 7 สโมสร ในช่วง 10 ปีต่อมา และแม้จะโด่งดังกับ ซันเดอร์แลนด์ แบบสุดๆ แต่ผลงานส่วนใหญ่ในอาชีพค้าแข้งที่เหลือก็ไม่มีอะไรให้จดจำเท่าไหร่
อย่างไรก็ดี เขาก็ยังเป็นคนเดียวในอังกฤษ ที่คว้ารางวัลอันทรงเกียรตินี้มาครอง และอาจจะเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกหลายปีก็เป็นได้