ยูโรป้า ลีก อาจไม่ใช่ถ้วยที่ทีมใหญ่ๆ ในพรีเมียร์ลีก หมายตาเป็นอันดับแรก ทว่าหากย้อนกลับไปในปี 2010 ฟูแล่ม กลับไม่ได้มองแบบนั้น
รอย ฮอดจ์สัน เข้ามาแทนที่ ลอว์รี่ ซานเชซ และกลายเป็นผู้จัดการทีมของ ‘เจ้าสัว’ ในเดือนธันวาคมปี 2007 และแน่นอนว่าเข้าชิงถ้วยยุโรป เป็นสิ่งสุดท้ายที่อยู่ในหัวของเขา
ทีมจากลอนดอน ณ ตอนนั้น อยู่ในโซนตกชั้นของลีกสูงสุดแดนผู้ดี มีแต้มห่างจากโซนปลอดภัย 2 คะแนน อีกทั้งยังชนะได้เพียง 2 นัดเท่านั้นในลีก
เสียงวิจารณ์ตามมาไม่น้อย หลังการแต่งตั้ง ปู่รอย เข้ามารับตำแหน่งนี้ เพราะแม้เขามีประสบการณ์มากมายก็จริงในฟุตบอลยุโรป แต่เขาก็ไม่เคยทำงานในอังกฤษอีกเลย นับตั้งแต่โดน แบล็คเบิร์น ปลด ในปี 1998
แม้ไม่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงทันทีใน คราเวน คอตเทจ แต่ ฮอดจ์สัน ก็ค่อยๆ อุดรอยรั่วของเรือที่กำลังจมให้กลับมาลอยน้ำอีกครั้ง และการันตีรอดตกชั้นในนัดสุดท้ายของฤดูกาล 2007-08
จากนั้นในซัมเมอร์ปี 2008 เขาทำการเสริมทัพนักใหม่อย่าง มาร์ค ชวาร์เซอร์, โซลตัน เกร่า, บ็อบบี้ ซาโมร่า และ เบรเด้ ฮันเกลันด์ โดยที่แฟนๆหรือแม้กระทั่งเขาไม่คาดคิดว่าแข้งเหล่านี้จะสร้างผลกระทบต่อทีมได้มากมายในเวลาต่อมา…
การผจญภัยบอลยุโรป
หลังรอดตกชั้นได้ในฤดูกาล 2007-08 ฟูแล่ม ก็พัฒนาฟอร์มการเล่นของทีมในฤดูกาลต่อมา และทำให้พวกเขาคว้าอันดับ 7 ซึ่งเป็นอันดับสูงสุดที่ทีมทำได้ในพรีเมียร์ลีก เสียประตูเพียง 34 ลูก จาก 39 นัดในทุกรายการ พร้อมคว้าตั๋วไปเล่น ยูโรป้าลีก รอบเพลย์ออฟ ในฤดูกาล 2009-10
รอบเพลย์ออฟ ‘เจ้าสัว’ เจอกับ เอฟเค เวตร้า จาก ลิธัวเนีย ซึ่งเอาชนะไปได้ด้วยสกอร์รวม 6-0 ก่อนเข้าไปเล่นในรอบแบ่งกลุ่มได้สำเร็จ หลังเอาชนะ อัมคาร์ เพิร์ม จากรัสเซีย ในเกมต่อมา
แฟนบอลบางคนอาจคิดว่ามาไกลถึงรอบแบ่งกลุ่มก็ยอดเยี่ยมแล้ว หลังทำได้แค่เสมอกับ ซีเอสเคเอ โซเฟีย ในนัดเปิดสนาม ทว่าต่อมา ทีมของปู่รอย ก็คว้าชัยอีก 3 นัด เสมออีก 1 จาก 5 นัดสุดท้าย ผ่านเข้าไปเล่นรอบน็อคเอาท์ทันที
ชัคตาร์ โดเนสต์ก แชมป์เก่ายืนขวางทาง ‘เจ้าสัว’ อยู่ในรอบ 32 ทีมสุดท้าย และในตอนนั้น ยอดทีมจากยูเครน แข็งแกร่งใช้เล่น เนื่องจากมีทั้ง แฟร์นานดินโญ่, หลุยส์ อาเดรียโน่, ดักลาส คอสต้า และ วิลเลี่ยน อยู่
แต่ในเกมแรก ทีมของ ปู่รอย ก็สามารถตบแชมป์เก่าไปก่อนในคราเวน คอตเทจ ด้วยสกอร์ 2-1 จากประตูของ เกร่า และ ซาโมร่า อีกทั้งต้องขอบคุณการเล่นเกมรับอันแข็งแกร่งของ ฮันเกลันด์ ด้วยที่ทำให้ทีมเสียแค่ประตูเดียว
ต่อมาเกมเลกสองใน ยูเครน ก็ยันเสมอได้สำเร็จ และผ่านเข้ารอบต่อไปด้วยสกอร์รวม 3-2 อย่างไรก็ตาม งานหนักกว่ารอพวกเขาอยู่ เมื่อจับฉลากเจอกับ ยูเวนตุส ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ไม่แปลกที่หลายคนจะมองว่าการผจญภัยในฟุตบอลยุโรปของพวกเขาคงจบลงเพียงเท่านี้
การคัมแบ็คครั้งประวัติศาสตร์
Never forget Clint Dempsey’s goal against Juventus. pic.twitter.com/vkGGE8HPCX
— USMNT Only (@usmntonly) January 11, 2019
‘ม้าลาย’ ที่เหนือกว่าชัดเจนทั้งชื่อเสียงและคุณภาพผู้เล่น เอาชนะไปได้ด้วยสกอร์ท่วมท้น 3-1 กับเกมแรกที่ อิตาลี อีกทั้งการโดน ดาวิด เทรเซเกต์ ยิงประตู หลังเล่นเกมเลกสอง ที่คราเวน คอตเทจ ตั้งแต่ 2 นาทีแรก ก็แทบหมดโอกาสเข้ารอบต่อไปทันที
แต่แทนที่จะยอมแพ้ ฟูแล่ม กลับเลือกใส่เต็มที่แบบไม่มีอะไรต้องเสีย และได้ประตูตีเสมอในเกมนั้นอย่างรวดเร็ว จาก ซาโมร่า ที่เบียดเอาชนะ ฟาบิโอ คันนาวาโร่ กลางอากาศก่อนพักอก และวอลเลย์ซัดผ่าน อันโตนิโอ ชิเมนติ เข้าไป
อีกทั้งการที่ คันนาวาโร่ ถูกไล่ออกในนาทีที่ 27 ทำให้ความหวังในการเข้ารอบของ ‘เจ้าสัว’ ค่อยๆ กลับมาอีกครั้ง
ทีมจากอังกฤษ เดินหน้ากดดันผู้มาเยือนจาก อิตาลี ท่ามกลางเสียงปลุกเร้าที่ดังก้องทั่ว คราเวน คอตเทจ และท้ายครึ่งแรก พวกเขาก็ได้จุดโทษ ก่อนที่ เกร่า จะอาสาซัดเข้าไปไม่เหลือ
เริ่มครึ่งหลังมาได้ไม่กี่นาที เจ้าถิ่นได้จุดโทษอีกครั้ง หลังดีเอโก้ ทำแฮนด์บอลในกรอบเขตโทษ ก่อนที่ กองกลางชาวฮังการี คนเดิม จะกดเพิ่มประตูที่ 2 ในเกม และช่วยให้ทีมกลับมาเสมอด้วยสกอร์รวม 4-4 อย่างเหลือเชื่อ
ณ ตอนนี้ เป้าหมายของพวกเขา เปลี่ยนแปลงไปแล้ว จากขอแค่เสมอเป็นการโค่น ‘เบี่ยงโคเนรี่’ ให้ได้ และจารึกการคัมแบ็คครั้งประวัติศาสตร์ในวงการลูกหนังให้แฟนบอลทั่วโลกได้ประจักษ์
8 นาทีก่อนต่อเวลาพิเศษ คลินท์ เดมพ์ซี่ย์ ที่ได้บอลหน้ากรอบ 18 หลา จัดการชิพบอลลอยโด่งย้อยเข้าสามเหลี่ยม แบบที่ ชิเมนติ หมดสิทธิ์ป้องกัน และกลายเป็นประตูชัยให้ ฟูแล่ม เอาชนะไปด้วยสกอร์รวม 5-4 ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายได้อย่างที่ไม่มีใครว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นมาก่อน
เส้นทางสู่ฮัมบูร์ก
โวล์ฟสบวร์ก คือคู่แข่งที่รอ ฟูแล่ม ในรอบต่อไป แต่ทีมของ ฮอดจ์สัน หลังผ่าน ยูเวนตุส มาได้ เต็มไปด้วยความมั่นใจสุด ๆ และไร้ความกลัวใด ๆ ซึ่งพวกเขาจัดการตบ ‘หมาป่าเมืองเบียร์’ ไปได้ 2-1 ในเกมแรก จากประตูของ ซาโมร่า และ ดาเมี่ยน ดัฟฟ์
เกมเลกสอง ในเยอรมัน ก็เป็น ‘เจ้าสัว’ ที่เบิกสกอร์ได้ตั้งแต่ 22 วินาทีแรกของเกม จากประตูของ ซาโมร่า ที่พลิกหลบแนวรับคู่แข่ง และซัดเข้าไปตุงตาข่าย ซึ่งประตูนั้นประตูเดียวก็เพียงพอให้ ฟูแล่ม ผ่านเข้ารอบต่อไปด้วยสกอร์รวม 3-1
เป็นอีกครั้งที่ ปู่รอยและลูกทีม ต้องพาทีมมาดวลกับ หนึ่งในตัวเต็งของรายการ ณ ฤดูกาลนั้น นั่นก็คือ ฮัมบูร์ก อีกตัวแทนจาก เยอรมัน ที่มีประสบการณ์ในบอลยุโรปเหนือกว่าพวกเขาหลายเท่าตัว และตั้งเป้าเข้าไปเล่นนัดชิงชนะเลิศ ที่ โฟล์คสพาร์ค สตาดิโอน รังเหย้าของพวกเขาที่ได้รับสิทธิ์เป็นสนามรอบชิงดำให้ได้
เกมเลกแรกในเยอรมัน จบลงด้วยผลเสมอแบบไร้สกอร์ แต่การไม่มีประตูทีมเยือน ทำให้ทีมของ ฮอดจ์สัน มีปัญหาทันที หลัง มลาเดน เปทริช กดฟรีคิกเข้าไปให้ทีม ‘สิงห์หนุ่ม’ ออกนำไปก่อนใน คราเวน คอตเทจ
แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ ทีมดังจากลอนดอน พลิกสถานการณ์จากผู้เป็นรองสู่ผู้ชนะในท้ายที่สุด เมื่อได้ประตูตีเสมอและขึ้นนำจาก ไซม่อน เดวี่ส์ และ เกร่า กองกลางตัวเก่ง
ฟูแล่ม ผ่านเข้าไปเล่นนัดชิงชนะเลิศได้สำเร็จ ความฝันกลายเป็นจริง พวกเขาจะกลับไปเล่นที่ ฮัมบูร์ก อีกครั้ง เพียงแต่ในครั้งนี้พวกเขาจะเล่นเพื่อคว้าแชมป์มาครองให้ได้
ฝันสลายในนัดชิง
หลังฝ่าอุปสรรคน้อยใหญ่มายาวนาน 18 เกม ทีมม้ามืดจากลอนดอนก็ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศในฟุตบอลยุโรปเป็นครั้งแรก และเตรียมตัวพบกับ แอตเลติโก้ มาดริด ทีมจากสเปน ที่มีดาวเด่นอย่าง เซร์คิโอ อเกวโร่ รวมไปถึง ดาบิด เด เคอา นายทวารดาวรุ่งในเวลานั้น
การเล่นที่มีระเบียบวินัย, ความเชื่อมั่น และ จิตวิญญานของนักสู้ ทำให้ ‘เจ้าสัว’ มาไกลเกินฝันในนัดชิงชนะเลิศ และพวกเขาก็แสดงสิ่งนี้ให้แฟนบอลให้ได้เห็นอีกครั้ง
แม้ ดีเอโก้ ฟอร์ลัน เบิกสกอร์แรก ให้ ‘ตราหมี’ ขึ้นนำไปก่อน แต่ ฟูแล่ม ก็ต่อกรได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ ก่อนตีเสมอได้สำเร็จในครึ่งแรก เมื่อลูกเปิดของ เกร่า ถูกสกัดมาเข้าทางของ เดวี่ส์ ง้างเท้าวอลเลย์เข้าไปตุงตาข่าย
เกมดำเนินไปอย่างสนุกสูสีในครึ่งเวลาหลัง แต่ไม่มีประตูเกิดขึ้น จนเข้าสู่ช่วงต่อเวลาพิเศษ และช่วงท้ายนี้เอง ‘ตราหมี’ ก็มาได้ประตูชัยจาก ฟอร์ลัน ที่ไขว้บอลจากลูกเปิดของ อเกวโร่ ผ่านตัว ชวาร์เซอร์ เข้าไป
‘เจ้าสัว’ มักพลิกสถานการณ์กลับมาได้ตลอดทั้งฤดูกาลในบอลยุโรป และกลายเป็นเจ้าแห่งการคัมแบ็คเหนือใคร ณ เวลานั้น แต่ครั้งนี้มันเกินกว่าที่พวกเขาโต้ตอบได้เช่นเกมที่ผ่านๆ มา
ในขณะที่เสียงนกหวีดหมดเวลาดังขึ้น และผู้เล่นของ แอตฯ มาดริด กำลังเฉลิมฉลองความสำเร็จ อีกภาพหนึ่ง ผู้เล่นของ ฟูแล่ม ต่างใจสลายทรุดตัวลงพื้น และต้องพบบทสรุปสุดขมขื่นในยูโรป้าลีก กับนัดชิงชนะเลิศครั้งแรกของพวกเขา
อย่างไรก็ตามแม้ว่าพวกเขาอาจไม่ได้เชยชมความสำเร็จนี้ แต่ผู้เล่นเหล่านั้นก็ยังคงอยู่ในประวัติศาสตร์ของสโมสร ในฐานะผู้สร้างการผจญภัยที่แฟนๆ ฟูแล่ม รวมถึงแฟนบอลทั่วโลกจะไม่มีวันลืมจากความทรงจำแน่นอน