จากทีมที่มีลุ้นแชมป์ 4 รายการเมื่อฤดูกาลก่อน มาในซีซั่นปัจจุบันลิเวอร์พูลกลายเป็นทีมที่ค่อนข้างมีปัญหาในเรื่องของฟอร์มการเล่น ผลงานโดยรวม และเรื่องราวนอกสนามที่กำลังเป็นปัญหา ดูเหมือนทุกอย่างในฤดูกาลนี้ไม่เป็นใจให้พวกเขาเลยสักนิด วันนี้ UFAARENA จะพาไปดูว่ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นกับหงส์แดงทีมนี้กันบ้าง
เริ่มต้นไม่สวยพาเป๋
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเริ่มต้นซีซั่นเป็นเรื่องสำคัญของหลายๆทีม จริงอยู่ที่หลายทีมเริ่มต้นได้ไม่สวยแต่กลับมาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม แต่มันก็มีไม่เยอะขนาดนั้น แต่หงส์แดงที่มีการเปลี่ยนแปลงไม่น้อยกับฤดูกาลใหม่พวกเขาที่มีทั้งตัวหลักอย่าง ซาดิโอ มาเน่ หรือจะเป็นตัวสำรองอย่าง ดิว็อก โอริกี้ และ ทาคุมิ มินามิโนะ ที่ย้ายออกไปส่วนนักเตะที่ได้มาทดแทนก็เป็นดาวรุ่งอย่าง ฟาบิโอ คาวัลโญ่ และ ดาร์วิน นูนเญซ ทำให้ตัวเลือกของทีมน้อยลงไปจนไม่มีเผื่อไว้ให้นักเตะคนไหนบาดเจ็บ
เมื่อฤดูกาลเริ่มต้นขึ้นพวกเขาก็ต้องเจอกับปัญหาเดิมๆอย่างอาการบาดเจ็บที่เล่นงาน ดิโอโก้ โจต้า , อเล็กซ์ ออกเลด แชมเบอร์เลน , คัลวิน แรมซี่ย์ และ หลุยซ์ ดิอาส ส่วนแข้งใหม่อย่าง นูนเญซที่แม้จะเริ่มต้นได้ดีแต่เริ่มต้นลีกไปได้แค่ 2 นัดก็มาโดนใบแดงจนโดนแบนไปอีก 3 เกมหลังจากนั้นก็ต้องมาเริ่มปรับจูนใหม่อีก เมื่อพวกเขาออกสตาร์ทได้ไม่ดี การไล่ตามเลยเป็นเรื่องที่ยากลำบากจากความพร้อมของทีมในซีซั่นนี้
ซัมเมอร์ที่ผิดพลาด
ปัญหาหลักที่ทำให้ฟอร์มของลิเวอร์พูลมีปัญหามาโดยตลอดนั่นคือนักเตะบาดเจ็บที่พวกเขาเจอทุกซีซั่น แต่ในซัมเมอร์ 2022 แทนที่พวกเขาจะเสริมคุณภาพของม้านั่งสำรอง แต่กลับปล่อยทั้งตัวหลักและอะไหล่ออกไปอีกในขณะที่ขาเข้าก็ไม่ได้เข้ามาทดแทนในส่วนที่เสียไปรวมถึงในส่วนที่ควรเสริมอย่างกองกลางก็ไม่ได้ซื้อใครเข้ามาเลยสักคน อย่างที่รู้กันว่ากองกลางคนสุดท้ายที่หงส์แดงซื้อเข้ามาคือ ติอาโก้ เมื่อปี 2020
ในขณะที่กองกลางอย่าง อาร์ตูร์ เมโล ที่ยืมมาในช่วงท้ายตลาดก็ยังไม่ทันได้ลงเล่นกับทีมแบบเต็มเกมก็มาเจ็บยาวไปอีกจนตอนนี้ก็ยังไม่กลับมาลงสนาม นอกจากนี้ปกติแล้วยอดทีมจากเมอร์ซี่ไซต์จะเจอปัญหานักเตะบาดเจ็บก็ช่วงกลางหรือปลายซีซั่นแล้ว แต่ฤดูกาลนี้พวกเขาเจอตั้งแต่เริ่มและด้วยการเดินเกมเสริมทัพที่ผิดพลาดทำให้พวกเขาแทบจะไม่มีโอกาสได้แก้ตัว
สูญเสียจุดเด่น
ฟุตบอลของเจอร์เก้น คล็อปป์ ที่เน้นความฟิตของนักเตะที่ต้องวิ่งเพรซในทุกพื้นที่ของสนามในทุกๆวินาที แน่นอนว่าต้องพึ่งพากำลังกายมากกว่าปกติอยู่แล้ว แต่ในทีมชุดปัจจุบันมีค่าเฉลี่ยอายุที่ 27.2 เรียกว่ามากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของลีก แถมย้อนไปในเกมแรกของฤดูกาล 6 จาก 11 ตัวจริงของทีมเป็นนักเตะที่อายุเกิน 30 แล้วทั้งนั้น เราจะเห็นได้ว่าความดุดันในการเพรซหายไปในฤดูกาลนี้ พวกเขาช้าลง และความเฉียบขาดในจังหวะสุดท้ายทั้งเกมรุกเกมรับก็หายไปด้วย
ไม่ใช่แค่เรื่องอายุที่ทำให้ฟุตบอลเฮฟวี่เมทัลของทีมหายไป แต่ยังมีเรื่องของการปรับเปลี่ยนแท๊คติคด้วยกุนซือชาวเยอรมันมีการปรับมาใช้แผน 4-4-2 และ 4-2-3-1 จากเดิมที่เคยใช้ 4-3-3 เพื่อรองรับกองหน้าตัวเป้าขนานแท้อย่าง นูนเญซ ที่ย้ายเข้ามาใหม่ ทำให้ทีมที่เคยชินกับการใช้กองหน้าแบบ ฟอลส์ไนน์ ต้องมาปรับวิธีเล่นกันใหม่ ซึ่งในตอนที่หอกอุรกวัยโดนโทษแบน 3 นัดไปพวกเขาก็กลับมาใช้ 4-3-3 เหมือนเดิม ส่งผลไปถึงการพัฒนาของแท๊คติคที่ขาดช่วงไปด้วย
ปัจจัยสุดท้ายนั่นคือการผสมกันของเลือดใหม่และเลือดเก่าที่ยังไม่เข้ากัน ในขณะที่นักเตะเก๋าประสบการณ์เข้าสู่ช่วงโรยรากันเรียบร้อยแล้ว แต่บรรดานักเตะดาวรุ่ง หรือแข้งที่เพิ่งย้ายมาก็ยังไม่พร้อมในเรื่องของประสบการณ์ที่จะยืนปักหลักแทน ซึ่งฟุตบอลของคล็อปป์ ไม่ได้อาศัยแค่พลังกายของวัยหนุ่มเท่านั้น แต่ยังอาศัยเรื่องของความเข้าใจในทีมเช่นเดียวกัน
เรื่องนอกสนามกวนใจ
นอกจากเรื่องในสนามที่หงส์แดงต้องพยายามหาทางออกแล้ว นอกสนามก็มีเรื่องกวนใจไม่แพ้กันเริ่มตั้งแต่การอำลาตำแหน่งของ จิม ม็อกซอน แพทย์ประจำสโมสร ตามด้วยผู้อำนวยการกีฬาอย่าง จูเลียน วอร์ด ที่จะออกจากสโมสรหลังจบซีซั่น ซึ่งเป็นแค่จุดเริ่มเท่านั้นต่อมาในเดือนพฤศจิกายน กลุ่มทุน FSG ที่เป็นเจ้าของทีมมานานถึง 12 ปีก็ได้มีการประกาศขายทีมทำให้การดำเนินงานในส่วนต่างๆชะงักไปด้วย
แม้จะบอกว่าการดำเนินงานยังเป็นไปตามปกติ แต่ทั้งการซื้อขายนักเตะ การต่อสัญญานักเตะก็ล่าช้าไปด้วย ความไม่มั่นคงของทีมงานหลังบ้าน และโครงสร้างสโมสรทำให้ทางหงส์แดงมีเรื่องต้องกังวลใจจนส่งผลไปถึงฟอร์มในสนาม ซึ่งจนถึงตอนนี้ก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้เลยสักส่วน ทีมที่ประกาศขายก็ยังไม่มีวี่แววของเจ้าของใหม่ ทีมงานแพทย์ก็ยังไม่มีใครมาแทน ผู้ช่วยคล็อปป์อย่าง เป๊ป ลินเดอร์ส ก็มามีข่าวถูกทาบทามไปคุมทีมอีก เรียกว่าตอนนี้เรื่องกังวลใจยังคงตามหลอนพวกเขาต่อไปแบบไม่รู้จุดสิ้นสุด
เส้นทางต่อจากนี้
สำหรับลิเวอร์พูลต่อจากนี้ยังไม่มีแนวโน้มที่จะดีขึ้นในแง่ของฟอร์มการเล่น การเสริมทัพก็มี โคดี้ กัคโปเข้ามาสู่ทีม แต่ก็ต้องใช้เวลาในการปรับตัวสักพัก ความหวังเลยไปอยู่กับบรรดานักเตะที่บาดเจ็บ ซึ่งคาดว่าจะหายกลับมาในเดือนกุมภาพันธ์นี้ทั้ง ดิโอโก้ โจต้า , หลุยซ์ ดิอาส และ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค น่าจะทำให้อะไรๆดีขึ้นในกรณีที่ไม่มีใครบาดเจ็บเพิ่มไปอีก ส่วนความคาดหวังที่จะมีการเสริมนักเตะเพิ่มในตลาดหน้าหนาวก็เรียกว่าแทบจะไม่มีโอกาสแล้วเรียบร้อยจากคำยืนยันของ เจอร์เก้น คล็อปป์เอง
ส่วนในการลุ้นความสำเร็จในฤดูกาลนี้พวกเขายังอยู่ในเส้นทางของ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก , เอฟเอคัพ ในขณะที่พรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้เป้าหมายสูงสุดคงจะเป็นการไต่ไปให้ถึงท็อปโฟร์ ซึ่งปัจจุบันพวกเขามีแต้มห่างอยู่ถึง 10 แต้มด้วยกัน