ฟรานเชสโก้ อแชร์บี้ : แข้งใจแกร่งผู้เอาชนะมะเร็งร้ายถึง 2 หน

ฟรานเชสโก้ อแชร์บี้ : แข้งใจแกร่งผู้เอาชนะมะเร็งร้ายถึง 2 หน

กลายเป็นเรื่องช็อกพอสมควรในช่วงที่ผ่านมากับ กรณีของ เซบาสเตียน อัลแลร์ กองหน้าป้ายแดงของ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ หลังตรวจพบเนื้องอกที่อัณฑะ จนต้องเดินทางออกจากแคมป์ฝึกซ้อมแยยกะทันหัน

โดย กองหน้าวัย 28 ปี จะเข้ารับการตรวจอย่างละเอียดจากผู้เชี่ยวชาญอีกครั้งในอีกไม่กี่วันข้างหน้า โดยที่สโมสรขอความเป็นส่วนตัวจากสื่ออย่าได้ถามอะไรเกี่ยวกับประเด็นนี้ และนี่ถือเป็นบททดสอบที่อาจเป็นครั้งสำคัญที่สุดของหอก ‘เสือเหลือง’ ก็ว่าได้

อย่างไรก็ตาม อัลแลร์ ก็ไม่ใช่นักเตะรายแรกที่ต้องพบเรื่องสุ่มเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งในช่วงค้าแข้ง และก็มีหลายคนที่เอาชนะโรคร้ายจนกลับมาค้าแข้งได้อีกครั้ง และหนึ่งก็มี ฟรานเชสโก้ อแชร์บี้ กองหลังมากประสบการณ์ของ ลาซิโอ อยู่ในนั้นด้วย ซึ่งเคยเจอเรื่องที่ อัลแลร์ กำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้มาแล้ว

ด้วยเหตุนี้ UFA ARENA จะพาไปพบกับเส้นทางชีวิตของปราการหลังชาวอิตาเลี่ยนในช่วงที่ตรวจพบว่าเป็นมะเร็งอัณฑะ ก่อนสามารถเอาชนะโรคร้ายนี้ได้ถึง 2 ครั้ง

 

พเนจรตั้งแต่เริ่มค้าแข้ง

Francesco Acerbi, intervista al difensore della Lazio | L'Ultimo Uomo

ชีวิตค้าแข้งของ อแชร์บี้ ถือว่ามีเรื่องราวที่น่าสนใจเต็มไปหมด ทั้งการเริ่มต้นเล่นฟุตบอลอาชีพที่ค่อนข้างช้ากว่าคนอื่น ใน วิซโซโล่ เปรดาบิสซี่ เมืองเล็กๆที่ตั้งอยู่ห่างจาก มิลาน ราวๆ 12 ไมล์ กับวัย 22 ปี รวมถึงต้องวนเวียนเล่นกับสโมสรในลีกระดับล่าง ไม่ว่าจะเป็นทีมท้องถิ่นอย่าง ปาเวีย, เรนาเต้ และ สเปเซีย

แต่ในที่สุด กองหลังชาวอิตาเลี่ยน ก็ได้โอกาสเล่นกับสโมสรที่ใหญ่ขึ้นมาอีกขั้น เมื่อ เรจจิน่า สโมสรจาก เซเรียบี คว้าตัวเขาไปร่วมทีมในปี 2010 แบบเป็นเจ้าของร่วมกับ ปาเวีย

แข้งวัย 22 ปี ณ เวลานั้น กลายเป็นหัวใจสำคัญของ ‘กลี อมารันโต้’ ในฤดูกาล 2010-11 และเกือบเลื่อนชั้นไปเล่นในเซเรียอาแล้ว แต่พ่ายให้กับ โนวาร่า ในศึกเพลย์ออฟรอบตัดเชือกเสียก่อน โดยในช่วงตลาดหน้าหนาว เรจจิน่า ก็ซื้อขาดครองครองสิทธิ์ในตัวเขาแต่เพียงผู้เดียว

ทว่าหลังจากนั้นอีก 2 ปีต่อมา ชีวิตของแนวรับชาวอิตาเลี่ยน ก็วนเวียนย้ายไปมาอยู่เรื่อย โดยหลังจาก เรจจิน่า คว้าตัวมาครอง เจนัว ก็เข้ามาซื้อสิทธิ์เจ้าของนักเตะร่วม และขายให้กับ คิเอโว่ เวโรน่า โดยได้ประเดิมในเซเรียอาฤดูกาลแรกถึง 17 นัด จากนั้นในปี 2012 เอซี มิลาน ก็คว้าตัวเข้าไปร่วมทีม และเป็นครั้งแรกที่เขา ได้เล่นให้กับทีมใหญ่จริงๆจังๆ

“ที่มิลาน ผมรู้สึกสุดยอดเลย มีอิสระที่สร้างเรื่องอะไรก็ได้ และสามารถหาดื่มแอลกอฮอล์ไปทั่ว” แข้งวัย 34 ปี ย้อนความกับ Corriere della Sera สื่อบ้านเกิดในปี 2019

อย่างไรก็ตาม เขาเริ่มมีปัญหาการดื่มในช่วงนั้น เนื่องจากการเสียชีวิตของผู้เป็นพ่อ และได้เล่นเพียง 6 นัดเท่านั้นกับ ‘รอสโซเนรี่’ ก่อนขายกลับไปให้ เจนัว ในราคา 4 ล้านยูโร จากนั้นก็ถูกส่งให้ทีมเก่าอย่าง คิเอโว่ ยืมไปใช้งานในช่วงเวลาที่เหลือของ ฤดูกาล 2012-13

 

จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ

Francesco Acerbi: I'm reborn after chemotherapy for cancer - Eurosport

และแล้วจุดเปลี่ยนในชีวิตของ อแชร์บี้ ก็มาถึง เมื่อ ซาสซูโอโล่ ทีมน้องใหม่ เซเรียอา ในซัมเมอร์ปี 2013 ตกลงซื้อสิทธิ์เป็นเจ้าของเขาครึ่งหนึ่งจาก เจนัว ในราคา 1.8 ล้านยูโร และก่อนที่จะได้ลงเล่นนัดแรกกับต้นสังกัดใหม่ ระหว่างตรวจร่างกายกับสโมสรช่วงพรีซีซั่น แพทย์ก็ตรวจพบก้อนเนื้อในลูกอัณฑะ ซึ่งเป็นสัญญาณว่าเขามีเนื้องอกที่อาจก่อให้เกิดมะเร็งได้

แพทย์ดำเนินการอย่างรวดเร็วในเรื่องนี้ และเขาได้รับการผ่าตัดในมิลานเพื่อเอาเนื้องอกออก ซึ่งประสบความสำเร็จด้วยดี และได้ลงเล่นไป 13 นัดในเซเรียอาฤดูกาล 2013-14 

อย่างไรก็ตาม เซนเตอร์แบ็คชาวอิตาเลี่ยน ไม่ผ่านการตรวจโด๊ปในเดือนธันวาคมปี 2013 ซึ่งเจ้าตัวก็ปฏิเสธว่าไม่เคยใช้ยาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพใดๆ และบอกว่าอาจเป็นผลมาจากการใช้ยาหลังการผ่าตัด

การตรวจครั้งนั้นพบว่า แข้งเลี่ยน มีผลทดสอบของ human chorionic gonadotropin (HCG) ในระดับสูง ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่นักกีฬาที่ถูกนำมาใช้แบบผิดกฎเพื่อเพิ่มฮอร์โมนเพศชาย ก่อนถูกสหพันธ์ฟุตบอลอิตาลี แบนห้ามลงเล่น แต่องค์กรลูกหนังแดนมักกะโรนีกลับไม่ได้พิจารณาเลยว่า HCG เกิดขึ้นมาจากเนื้องอก

หลังจากต้องพบเจอเรื่องเหล่านั้น ชีวิตของนักเตะจาก วิซโซโล่ เปรดาบิสซี่ ก็เจออุปสรรคครั้งใหญ่อีก ในช่วงตรวจสุขภาพเพิ่มเติมเมื่อปลายปี 2013 มีการตรวจพบว่าเนื้องอกกลับมาอีกครั้ง และตัวเขาเองก็ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งอัณฑะ ซึ่งสำหรับหลายๆคน นี่ถือเป็นจุดจบกลายๆในอาชีพค้าแข้งได้เลย

อีก 6 เดือนต่อจากนี้ กลายเป็นส่วนสำคัญกับเรื่องราวของ อแชร์บี้ เมื่อเขาเข้ารับการเคมีบำบัดเพื่อให้หายจากโรคมะเร็ง และในช่วงเวลานั้น เขาก็ทำให้ตัวเองมั่นใจว่าจะพลาดการฝีกซ้อมให้น้อยที่สุดเท่าที่ทำได้ โดยเคยให้สัมภาษณ์กับ Corriere della Sera ว่า “ถ้าคุณไม่ใช้ชีวิตแบบนักกีฬาในระดับนั้น คุณจะต้องรับผลจากกระทำนั้น”

 

ผู้โค่นมะเร็งร้าย

Italy Defender Francesco Acerbi Went Above And Beyond To Spend Time With Children At Hospital - SPORTbible

 มะเร็งส่งผลกระทบอย่างมากต่อทุกคนทั้งทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งหลายคนคงลำบากดิ้นรนกับสภาวะที่รุนแรงเช่นนี้ แต่สำหรับ อดีตกองหลัง เจนัว กลับตั้งใจแน่วแน่ที่จะค้าแข้งอาชีพต่อไปและการที่มีแรงจูงใจในการฝึกฝนก็น่าประทับใจเพียงพอแล้ว แต่เขาแสดงให้เห็นถึงวุฒิภาวะทางจิตใจเพื่อเรียนรู้ถึงความผิดพลาดในอดีตและใช้มันเพื่อกำหนดอนาคตของเขา

วันที่ 15 มีนาคมปี 2014 อแชร์บี้ ได้ประกาศอย่างเป็นทางการผ่านเฟซบุ๊คของเขาว่าพร้อมจะกลับมาลงสนามแล้ว หลังต่อสู่กับโรคร้ายจนเอาชนะมันได้สำเร็จ

ย้อนกลับไปในช่วงระหว่างรักษาตัว แข้งชาวอิตาเลี่ยน เผยถึงความลำบากที่เขาต้องเผชิญ ทั้งในตอนเช้าของบางวันที่ตื่นขึ้นมาพบว่าผมบางส่วนของเขาหลุดร่วงจากศรีษะ หรือการต้องทานยานับพันในช่วงเวลาดังกล่าว

หลังอยู่ในโรงพยาบาล 2 เดือน เส้นทางการฟื้นตัวของแข้งเลี่ยนก็ดำเนินไปด้วยดี แม้พลาดช่วงที่เหลือในฤดูกาล 2013-14 แต่เขาก็ทุ่มเทอย่างหนักในช่วงซัมเมอร์ต่อมา เพื่อทำให้มั่นใจว่า ซาสซูโอโล่ จะให้โอกาสเขาอีกครั้ง และเขาก็ซ้อมหนักยิ่งกว่าที่เคยเพื่อทำให้สำหรับฤดูกาล 2014-15 ที่กำลังจะเปิดฉากในไม่ช้า

ช่วงเริ่มต้นฤดูกาล ซาสซูโอโล่ ค่อยๆให้โอกาสเขาลงเล่น แม้พลาดเกมต้นแรกๆไปบ้าง แต่ก็ได้โอกาสลงเล่นในเกมใหญ่ๆทั้งเกมที่พบกับ ยูเวนตุส หรือ ลาซิโอ จนกระทั่งวันที่ 25 ตุลาคม เขาก็ได้กลับมาสู่วงการฟุตบอลแบบที่ตั้งตารอคอยเสียที

ซาสซูโอโล่ เดินทางไปเยือน ปาร์ม่า ในเกม เอมิเลี่ยน ดาร์บี้ ซึ่งทั้ง 2 ทีมถูกยกให้เป็นตัวเต็งตกชั้นในซีซั่นนั้น ทำให้แต้มในเกมนี้มีค่าอย่างมาก ซึ่ง เซร์จิโอ้ ฟล็อคคารี่ ยิงให้ทีมเยือนนำไปก่อนในนาทีที่ 20 ก่อนที่ 3 นาทีต่อมา อแชร์บี้ ก็ยิงให้ทีมนำห่างเป็น 2-0 

สุดท้ายเกมจบลงด้วยชัยชนะของ ซาสซูโอโล่ 3-1 แต่ประตูของอดีตแข้ง เรจจิน่า ยังคงติดตรึงในหัวใจของทุกคนในวันนั้น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนๆร่วมทีมที่เข้าไปสวมกอดหลังทำประตู หรือมีแฟนบอล, สต๊าฟ หรือผู้เล่นหลั่งน้ำตาในสนาม และนี่ถือเป็นการยืนยันว่าเขาเอาชนะมะเร็งร้ายได้เรียบร้อยแล้ว

 

มาอีกครั้งก็พร้อมสู้

CM.it: Milan, Juventus and Inter on alert as Lazio set €5m asking price for centre-back

4 ฤดูกาลต่อมา อแชร์บี้ ลงเล่นให้ ซาสซูโอโล่ มากถึง 144 นัด ก่อนที่ในซัมเมอร์ปี 2018 เขาจะย้ายไปเล่นกับ ลาซิโอ้ โดยเข้าไปแทนที่ สเตฟาน เดอ ไฟรจ์ ที่ย้ายไป อินเตอร์ มิลาน

ปีแรกของเขาในกรุงโรมถือว่ายอดเยี่ยมอย่างมาก สามารถเติมเต็มช่องว่างที่ เดอ ไฟรจ์ ทิ้งไว้ได้อย่างหมดจด จนไม่มีแฟน ‘อินทรีฟ้าขาว’ คนไหนกังวลใจอีกต่อไป ทั้งการคว้าอันดับ 8 ในลีก หรือการคว้าแชมป์โคปปา อิตาเลีย ในปี 2019 และยังเป็นตัวหลักในสโมสรจนถึงปัจจุบัน

ด้วยฟอร์มการเล่นของเขา ทำให้ โรแบร์โต้ มันชินี่ นายใหญ่ทีมชาติอิตาลี เรียกเขาติดธงเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี หลังได้ประเดิมทัพ ‘อัซซูรี่’ หนแรกในยุคที่ อันโตนิโอ คอนเต้ คุมทีม ซึ่งเป็นตอนที่เขาหายขาดจากมะเร็งร้ายด้วย อีกทั้งเขายังอยู่ในทีมชาติชุดแชมป์ยูโร 2020 อีกด้วย

มะเร็งถือเป็นโรคร้ายที่ทำให้หลายคนหวาดกลัว แต่สำหรับ แข้งวัย 34 ปี มองว่าสิ่งนี้ทำให้เขาหลุดพ้นจากโรคพิษสุราเรื้อรังหลังจมอยู่ในความเศร้าจากการจากไปของผู้เป็นพ่อสมัยเล่นกับ เอซี มิลาน และต่อให้โรคร้ายกลับมา เขาก็ไม่กลัว และพร้อมจะสู้เพื่อก้าวข้ามมันอีกครั้ง

“หลังจากที่พ่อเสีย ผมก็ดึงลงทันทีเลย ผมอยู่ที่ มิลาน ไม่มีอะไรกระตุ้นผม ผมไม่รู้วิธีการเล่นอีกต่อไป” เขากล่าวกับ La Repubblica สื่อแดนมักกะโรนี ในปี 2019

“ผมเริ่มดื่ม ผมดื่มทุกอย่าง แต่มะเร็งได้ช่วยชีวิตผมไว้ ผมมีบางอย่างที่ต้องต่อสู้อีกครั้ง มีขีดจำกัดที่ต้องเอาชนะให้ได้”

“ผมเลิกกลัวไปตั้งแต่ 6 ปีก่อนแล้วล่ะ (ปี 2014) ผมเอาแต่บอกตัวเองว่า จะทำอย่างไร ถ้าสิ่งนั้นกลับมาอีก? ผมจะเผชิญหน้ากับมันอีกครั้ง ผมตอบ ผมเห็นสิ่งต่างๆชัดเจนตรงหน้า และผมรู้ว่าจากวันหนึ่งไปสู่อีกวัน ทุกสิ่งอย่างสามารถเปลี่ยนได้” 

“ผมยังบอกด้วยซ้ำว่าโรคนี้ทำให้ผมดีขึ้น มันขจัดความสำนึกผิดและความเสียใจออกไป ผมหยุดที่เอาแต่ฝันอย่างเดียว ผมชอบที่จะตั้งเป้าหมายและทำให้สำเร็จในตอนนี้ ผมต้องการเล่นให้กับทีมชาติและผมก็ไปถึงที่นั่นแล้ว”

เรื่องราวของ อแชร์บี้ เต็มไปด้วยความลำบากมากมาย แต่นี่ก็เป็นข้อพิสูจน์ที่ปฏิเสธไม่ได้ถึงความงดงามของความมุ่งมั่นในตัวมนุษย์บนโลกใบนี้ 

เขาไม่ควรถูกมองว่าเป็นแบบอย่างเท่านั้น แต่ควรถูกมองเป็นดั่งแรงบันดาลใจด้วย สำหรับทุกคนที่กำลังดิ้นรนหรือได้รับผลกระทบจากความน่าสะพรึงกลัวของโรคมะเร็ง กับเส้นทางอาชีพของกองหลังทีมชาติอิตาลีที่แสดงให้เห็นถึงสัญญาณแห่งความหวังเสมอ แม้อยู่ในยามมืดมิดก็ตาม

 

บทความที่เกี่ยวข้อง

ต่อให้จบไม่สวย : เลวานดอฟสกี้คิดอะไรถึงลาเสือใต้ซบบาร์ซ่า
ต่อให้จบไม่สวย : เลวานดอฟสกี้คิดอะไรถึงลาเสือใต้ซบบาร์ซ่า