ก่อนหน้าที่ พรีเมียร์ลีก จะพักเบรกไปในช่วงเดือนมีนาคม อนาคตของ จอร์จินโญ่ กับ เชลซี ยังดูสดใสรุ่งโรจน์อยู่เลย แต่ทว่าในตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เรื่องนี้ถูกตั้งคำถาม เมื่อ เมาริซิโอ ซาร์รี่ ได้ลาสิงห์บลูเพื่อย้ายไปรับงานกับ ยูเวนตุส เมื่อซัมเมอร์ก่อน ทำให้มีหลายคนคาดว่า จอร์จินโญ่ จะย้ายตามนายเก่าไปอีก เหมือนที่เขาเคยทำตอนลา นาโปลี มาค้าแข้งใน สแตมฟอร์ด บริดจ์ ในปี 2018
ฤดูกาลแรกของกองกลางชาวอิตาเลี่ยนในเชลซี เขาไม่สามารถเอาชนะใจแฟนบอลสิงห์บลูได้มากเท่าไหร่ ต่างจากที่เคยทำได้ในทีมอัซซูร่า ซึ่งเขาเป็นหนึ่งในกองกลาง 3 คนของซาร์รี่ และทำให้หน้าที่คนเปลี่ยนถ่ายเกมรุกหรือรับ จน เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ถูกขยับไปเล่นเป็นกองกลางที่เล่นเกมบุกมากขึ้น
ในยุคซาร์รี่ จอร์จินโญ่ ลงเล่นทั้งหมด 54 จากทั้งหมด 63 เกมที่เชลซีลงเล่นในทุกรายการ และออกสตาร์ทเป็นตัวจริงถึง 50 นัด ซึ่งพลาดเกมพรีเมียร์ลีกเพียงแค่นัดเดียวเท่านั้น และได้พักส่วนใหญ่ในเกมยูโรป้าลีก รอบแบ่งกลุ่ม และลีกคัพในรอบแรกๆ
การที่ ซาร์รี่ มอบความเชื่อใจให้กับ จอร์จินโญ่ มากๆ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้แฟนเชลซีต่อต้านเขา และแม้จะทำผลงานได้ไม่ดี หรืออยู่ในช่วงที่ต้องการตัวเลือกที่สดใหม่กว่านี้ เขาก็ถูกเปลี่ยนตัว หรือ ดร็อปเป็นตัวสำรองน้อยครั้งมากๆ
อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างก็ค่อยๆอยู่ในทิศทางบวกมากขึ้น นับตั้งแต่ แฟรงค์ แลมพาร์ด ก้าวเข้ามาเป็นกุนซือของสโมสรในฤดูกาล 2019-20
แข้งคนสำคัญของแลมพ์
แม้ว่าจะถูกตั้งคำถรามเรื่องอนาคตในซัมเมอร์ปีก่อน แต่ แลมพาร์ด ก็ออกมาชี้แจงว่า จอร์จินโญ่ มีความสำคัญมากแค่ไหนในแผนทำทีมของเขา และชี้ให้เห็นว่าเขาสร้างอิมแพ็คได้ตั้งแต่วันแรกในช่วงทัวร์พรีซีซั่น
“ผมคิดว่า จอร์จินโญ่ นั่นสุดยอดมากในคืนก่อน” แลมพาร์ด กล่าวในเดือนสิงหาคม หลังดวลจุดโทษพ่าย ลิเวอร์พูล ในศึก ยูฟ่า ซุปเปอร์ คัพ
“เขาพูดคุยกับผู้คนรอบๆตลอดเวลาและพูดคุยกับแผงกองหลังเพื่อรวมพวกเขาเป็นหนึ่งและเล่นได้อย่างมีคุณภาพ”
“ผู้เล่นคือคนที่ขับเคลื่อนในเรื่องนั้นเมื่อพวกเขาอยู่ในสนาม เขาเป็นผู้เล่นที่ยอดเยี่ยม ผมเห็นเรื่องนั่นตั้งแต่วันแรกในการซ้อมที่ ดับลิน เรื่องทัศนคติ เขาเป็นคนขับเคลื่อนกลุ่ม และเขามีคุณภาพระดับสูง ผมโชคดีกับการมีกองกลางอย่างในตอนนี้้”
“มันทำให้เรามีปัญหาในแง่ของการแข่งขันระหว่าง ก็องเต้, จอร์จินโญ่, โควาซิช, บาร์คลี่ย์, เม้าท์ รูเบน (ลอฟตัน-ชีค) ที่กำลังกลับมาและคนอื่นๆ แต่จอร์จินโญ่ แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาเป็นผู้เล่นที่มีคุณภาพสูงสำหรับผมเรียบร้อย เขาควรถูกมองว่าเป็น จอร์จินโญ่ ของเชลซี”
กุนซือหนุ่มชาวอังกฤษ แสดงความเชื่อใจกับ กองกลางชาวอิตาเลี่ยน มากขึ้นกว่าเดิมด้วยการมอบตำแหน่งรองกัปตันทีม ต่อจาก เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า พร้อมกับให้เขาเล่นเป็นกองกลางที่ยืนตำแหน่งลึกสุดต่อไป ไม่ว่าจะใช้แผงกลาง 2 หรือ 3 คนก็ตาม
ในช่วง 42 เกมแรกของฤดูกาลนี้ในทุกรายการก่อนโดนโควิด-19 เล่นงาน กุนซือสิงห์บลู ทดลองใช้ระบบการเล่นทั้งหมด 5 รูปแบบ แต่แผนที่โปรดปรานที่สุดคือ 4-3-3 ที่ใช้มากถึง 17 ครั้ง
สำหรับตำแหน่งทั่วไปใน แชมเปี้ยนส์ลีก หรือ พรีเมียร์ลีก แลมพ์ จะใช้ จอร์จินโญ่ ในแบบที่ ซาร์รี่ ใช้ ซึ่งอยู่หน้าเซนเตอร์แบ็ค 2 คน โดยทางด้านขวาจะมีกองกลาง (ก็องเต้) อยู่ไม่ไกล เกือบจะอยู่ตรงกลาง และทั้งกองกลางฝั่งซ้าย (เม้าท์ ลงบ่อยสุด) จะถูกโยกไปเล่นบริเวณริมเส้น
ถึงแม้ เชลซี จะปรับแผนเป็น 4-2-3-1 หรือแผนอื่นๆทีใช้กองกลาง 2 คน ที่บางคนอาจมองว่า ก็องเต้ ดูเหมาะสมกว่า แต่กลับกลายเป็น จอร์จินโญ่ และ โควาซิช ที่ลงเล่นในแดนกลางร่วมกันบ่อยกว่า ส่วนแผน 4-3-3 จอร์จินโญ่ จะลงไปต่ำกว่าใครเพื่อให้ โควาซิช ใช้ความสามารถในการลากเลื้อยพาบอลขึ้นไปแดนหน้า
การที่ ก็องเต้ มีอาการบาดเจ็บรบกวนในฤดูกาลนี้ ทำให้บางครั้ง แลมพาร์ด ต้องใช้ตัวเลือกในแดนกลางที่มีไม่มากลงสนาม แต่แข้งชาวเฟรนช์แมนที่หายกลับมาแล้ว ก็พลาดโอกาสลงเล่นเป็นตัวจริงอยู่หลายเกม ส่งผลให้ข่าวไม่แน่นอนเกี่ยวกับอนาคตของเขาในทีม
จากนั้น ฟุตบอล ก็ถึงช่วงหยุดชะงักลง
ช่วงหลังล็อคดาวน์
ในระหว่างที่ พรีเมียร์ลีก พักการแข่งขันเนื่องจากการแพร่ระบาดของ โควิค-19 จู่ๆ จอร์จินโญ่ ก็ตกเป็นข่าวเตรียมย้ายออกจากทีมเป็นครั้งที่ 2 เมื่อมีกระแสว่าเขาจะกลับไปร่วมงานกับ ซาร์รี่ อีกหนในตูริน
รายงานจากสื่อต่างๆเผยว่า ยูเวนตส เปิดเจรจากับ เชลซี เพื่อทำการสลับตัว จอร์จินโญ่ และ มิราเล็ม ปานิช แต่ดีลนี้ก็ไม่มีอะไรคืบหน้า ก่อนที่ กองกลางชาวบอสเนีย จะย้ายไปเล่น บาร์เซโลน่า สลับกับ อาร์ตูร์ เมโล ที่ย้ายไป เบี่ยงโคเนรี่ แทน เพราะฉะนั่น อนาคตของ จอร์จินโญ่ กับ เชลซี ยังมีอยู่
จากนั้น พรีเมียร์ลีกคัมแบ็คในเดือนมิถุนายน แข้งแดนมักกะโรนี พลาดลงเล่นในเกมแรกพบกับ แอสตัน วิลล่า เนื่องจากติดโทษแบนจากเก็บใบเหลืองครบ 10 นัด ซึ่งการหายไปของเขา ทำให้ แลมพาร์ด ต้องเปลี่ยนแผนการเล่นพอสมควร และจับ ก็องเต้ ไปเล่นเป็นกองกลางตัวโฮลครั้งแรก ก่อนจะเอาชนะไปได้ 2-1
แม้แฟนๆจะคาดหวังว่า อดีตแข้งนาโปลี จะกลับมาในเกมต่อไปที่เปิดรังพบกับ แมนเชสสเตอร์ ซิตี้ แต่เขาก็เป็นแค่ตัวสำรองที่ไม่ได้ใช้งาน และไม่ลงสนามอีกเลยใน 5 เกมต่อมา
ใน 5 เกมแรกนับตั้งแต่บอลอังกฤษกลับมาแข่งขันกันต่อได้ จอร์จินโญ่ ถูกจับเป็นตัวสำรองทั้ง 5 นัด ขณะที่ ก็องเต้ ก็กลับไปเล่นในตำแหน่งแจ้งเกิดของตัวเองที่เน้นการเล่นรับเป็นหลักต่อไป ผลที่ได้คือ เชลซี ชนะ 4 จาก 5 นัด และเก็บคลีนชีทได้ถึง 2 นัด
เกมแรกช่วงรีสตาร์ท
จากการรายงานของ โกล สื่อฟุตบอลออนไลน์ ได้เผยว่า แข้งวัย 29 ปี ไม่ความสุขนักกับสถานการณ์ที่เขากำลังเผชิญอยู่ในเชลซีตอนนี้ และเกมที่พบกับ วัตฟอร์ด และ คริสตัล พาเลซ เขาก็ไม่ได้มีส่วนร่วมอะไรเลย
ช่วง 10 นาทีสุดท้ายเกมดวลแตน ก็องเต้ มีอาการบาดเจ็บบริเวณแฮมสตริง เพราะฉะนั้น นี่คงถึงเวลาที่ จอร์จินโญ่ จะได้ลงสนามแน่นอน แต่ด้วยสกอร์ที่นำห่าง 2-0 บวกกับทีมคู่แข่งไม่ได้สร้างอันตรายมากนัก ทำให้ แลมพาร์ด เลือกส่ง บิลลี่ กิลมัวร์ ดาวรุ่งประจำทีมลงสนามแทน
อย่างไรก็ตาม หลังเกมนั่น กุนซือสิงห์บลู ยืนยันจากปากของตัวเองว่า จอร์จินโญ่ ยังอยู่ในแผนทำทีมของเขา และย้ำเรื่องนี้อีกครั้ง ก่อนเกมพบ พาเลซ ในวันอังคารที่ผ่านมา
“ใช่ เขาเป็นมืออาชีพมากๆ เขาต้องการลงเล่นเหมือนที่ทุกคนต้องการ หนึ่งในส่วนที่ยากที่สุดของงานคือ การบอกผู้เล่นว่าคนไหนไม่ได้เล่น คนไหนได้ลง และคนไหนไม่มีชื่อ โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาทำได้ไม่ดีตอนซ้อม และ จอร์จินโญ่ ก็ทำได้ดีในตอนซ้อมเสมอ” แลมพ์ กล่าวหลังถูกถามเรื่องนี้
“แต่เขาก็รับมือมันอย่างมืออาชีพ และนั่นคือสิ่งที่ผมคาดหวัง มันสำคัญสำหรับผู้เล่นในฤดูกาลที่ยาวนาน กับการแข่งขันที่เรามีในทีม ซึ่งพวกเขาอยู่ตรงนั่นเพื่อช่วยเหลือผู้เล่นเมื่อไม่ได้ลงเล่น และเขาก็เคยทำแบบนั้น”
แต่ถึงแม้ว่าจะมีการบอกใบ้ว่า จอร์จินโญ่ อาจกลับมาเป็นตัวจริงอีกครั้งกับเกมชน พาเลซ แลมพาร์ด กลับเลือกใช้งาน กิลมัวร์ อีกครั้ง ทำให้นี่ยิ่งสร้างความไม่แน่นอนเกี่ยวกับอนาคตของแข้งชาวอิตาเลี่ยนในอังกฤษมากขึ้นกว่าเดิม
และทางด้าน แกรี่ เนวิลล์ ตำนานแบ็คขวาแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เชื่อว่า จอร์จินโญ่ จะถูกเชลซีเขี่ยพ้นทีมในฤดูกาลหน้าแน่นอน
แม้ จอร์จินโญ่ จะไม่ได้เป็นตัวจริงในเกมล่าสุด และลงเล่นแค่ช่วง 10 นาทีสุดท้ายเท่านั้น แต่การลงนัดแรกหลังล็อคดาวน์ น่าจะช่วยให้ สถานการณ์ดีขึ้นมาเล็กน้อย และบางทีอาจเป็นการเตือน แลมพาร์ด ว่าเขาควรจัดการเรื่งนี้อย่างไร
จอร์จินโญ่ หรือ ก็องเต้ ?
ต่อให้ผ่านพ้นฤดูกาลนี้ไป แลมพาร์ด ก็ยังต้องปวดหัวกับตัวเลือกในแดนกลาง หลังจากที่สโมสรเสริมทัพในเกมรุกด้วยการคว้า ติโม แวร์เนอร์ และ ฮาคิม ซีเยค ซึ่ง 2 แข้งป้ายแดงมีผลต่อคนที่อยู่ด้านหลงพวกเขาเช่นกัน
ถ้า แลมพ์ มีทีมที่สามารถเลือกใช้งานได้เต็มที่ คาดว่า เขาน่าจะใช้ระบบ 4-2-3-1 โดยให้ ซีเยค, แวร์เนอร์ และ คริสเตียน พูลิซิช เป็น 3 ตัวรุกหลักในแดนหน้า และถ้าหากทีมได้ ไค ฮาเวิร์ตช์ มาร่วมทีมอย่างที่ลือกันจริงๆ ตำแหน่งกองกลางจะเหลือว่างเพียง 2 ที่เพื่อให้ จอร์จินโญ่, ก็องเต้, เม้าท์, ลอฟตัส-ชีค, กิลมัวร์,โควาซิช และ บาร์คลี่ย์ แย่งชิงเท่านั้น
1 ใน 2 ตำแหน่งนั่นต้องเป็นนักเตะที่เน้นการเล่นเกมรับ ซึ่งมีอยู่ 2 คนในตอนนี้ก็คือ จอร์จินโญ่ และ ก็องเต้ ทว่าหลังจากที่เห็นฟอร์มการเล่นกับตำแหน่งนี้ของทั้งคู่ในช่วงที่ผ่านมาแล้ว ใครทำได้ดีกว่ากันล่ะ?
สถิติที่ Squawka บันทึกไว้ มีผลลัพธ์ที่ออกมาน่าตกใจไม่น้อย เมื่อในด้านการเล่นรับโดยรวม จอร์จินโญ่ ทำได้ดีกว่า แม้จะตัดเลือกจากการเล่นเป็นกองกลางตัวรับของทั้งคู่เท่านั้น
โดยแข้งอิตาเลี่ยน เก็บบอลมาครองได้ 9.86 ครั้งต่อ 90 นาทีในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ มากกว่า ก็องเต้ 1.62 ครั้ง ขณะที่การเข้าปะทะ และแย่งบอลก็ทำได้มากกว่าด้วย (จอร์จินโญ่ 2.67, 2.53 ก็องเต้ 2.43, 1.88)
ในด้านการผ่านบอล จอร์จินโญ่ ทำได้ดีกว่าชัดเจนที่จ่ายบอลสำเร็จไป 73.92 ครั้งต่อเกม ขณะที่ก็องเต้ ทำได้แค่ 64.16 ครั้งต่อ 90 นาที แต่แข้งชาวฝรั่งเศส ก็สามารถสร้างโอกาสมากกว่า จอร์จินโญ่ ใน 90 นาทีที่ 1.44 ครั้ง ต่อ 0.98 ครั้ง
อย่างไรก็ตาม ปัญหาใหญ่หลักๆของ จอร์จินโญ่ คือ เขาเหมาะกับระบบการเล่นเดียวเท่านั้น การเคลื่อนที่ในสนามของเขาในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้มักจะวนเวียนอยู่ที่เดิม น้อยครั้งมากที่เข้าไปในพื้นที่สุดท้าย ขณะที่บทบาทของเขาเน้นไปที่การจ่ายบอลมากกว่าเล่นเกมรับ นี่แสดงให้เห็นว่าแข้งชาวอิตาเลี่ยนไม่สามารถเล่นได้อย่างมีประสิทธิภาพทั่วสนาม ยามที่เชลซีต้องการจริงๆ
เมื่อเทียบกับการเคลื่อนที่ของ ก็องเต้ เขาคลอบคลุมพื้นที่เป็นวงกว้างในสนามมากกว่า แม้จะเล่นเป็นตัวรุกส่วนใหญ่ในฤดูกาลนี้ แข้งเลือกน้ำหอมก็เป็นตัวเลือกที่ยึดหยุ่นกว่า จอร์จินโญ่ อีกทั้งยังตัดฟาวล์คู่แข่งได้มากกว่า จอร์จินโญ่
และถึงแม้จะฟาวล์ไปถึง 45 ครั้ง ในฤดูกาลนี้ แต่ก็ได้ใบเหลืองเพียงแค่ 4 ใบ ผิดกับ จอร์จินโญ่ ที่ได้ใบเหลือง 10 ใบ ทั้งที่ฟาวล์แค่ 25 ครั้งเท่านั้น
ณ จุดนี้ บ่งบอกว่า ความแข็งแกร่งในการเล่นเกมรับของ ก็องเต้ ดูเหนือกว่า จอร์จินโญ่ ที่กองกลางชาวฝรั่งเศสสามารถหยุดคู่แข่งในยามจำเป็นได้ แม้บางจุด อดีตแข้งนาโปลีจะทำได้ดีกว่าก็ตาม
แต่ไม่ว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป แลมพาร์ด คงมีเรื่องให้ครุ่นคิดมากมายเกี่ยวกับตัวเลือกในแดนกลางทั้งในปัจจุบัน และอนาคตอันใกล้นี้อย่างแน่นอน