การเปลี่ยนแปลงของฟุตบอลสมัยใหม่ที่ต้องการให้นักเตะทุกตำแหน่งวิ่งไล่เพรสซิ่ง และใช้ร่างกายมากขึ้น ทำให้บรรดานักเตะพรสวรรค์มีที่ยืนน้อยลง โดยเฉพาะกับจอมทัพหมายเลข 10 สุดคลาสสิค อย่าง ซีเนดีน ซีดาน , ริคาร์โด้ กาก้า , ฟรานเชสโก้ ต็อตติ และอีกหลายราย ที่เลือนหายไปตามการเปลี่ยนแปลงของโลกฟุตบอล
วันนี้ UFA ARENA จะพาไปดูว่ายอดแข้งเบอร์ 10 รายใดบ้างที่โดนยุคสมัยของฟุตบอลสมัยใหม่กลืนกินไปบ้าง กับ 6 จอมทัพที่หายไปกับฟุตบอลสมัยใหม่
เพลย์เมคเกอร์เจ้าของฉายาพ่อมดน้อย สร้างชื่อมาจากการเล่นให้กับ เชลซี ด้วยความยอดเยี่ยมในการสร้างสรรค์เกมทำให้เจ้าตัวมีความโดดเด่นลงสนามไปทั้งหมด 64 เกมยิง 19 ประตู 29 แอสซิสต์รวมทุกรายการในตำแหน่งหมายเลข 10 แต่เมื่อ โชเซ่ มูรินโญ่ กลับมาที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ เป็นหนที่สองในปี 2013 เจ้าตัวถูกลดบทบาทลงจนสุดท้ายก็โดนปล่อยไปให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
โดยในเวลานั้นนายใหญ่ชาวโปรตุเกสเลือก ออสการ์ ที่สามารถไปกับบอล และดวลกับกองหลังตัวต่อตัวได้มากกว่า ในขณะที่ตัว มาต้า แม้จะไปกับบอลได้ดี แต่ในเรื่องของร่างกายไม่สามารถลุยชนกับแนวรับได้ ส่วนการมาอยู่กับปีศาจแดงแม้เจ้าตัวจะทำผลงานได้ดี แต่ก็โดนจับไปเล่นตัวริมเส้นมากกว่า ไม่ได้เล่นในตำแหน่งจอมทัพหมายเลข 10
อย่างไรก็ตามในเคสของ มาต้า ก็จัดว่าไม่ได้ล้มเหลวสำหรับจอมทัพหมายเลข 10 ที่ต้องปรับตัวให้เข้ากับฟุตบอลสมัยใหม่
ดาวเตะชาวอาร์เมเนีย แจ้งเกิดในตำแหน่งจอมทัพหมายเลข 10 หลังย้ายมาอยู่กับ ดอร์ทมุนด์ โดยเป็นนักเตะที่มีความโดดเด่นในการจ่ายบอลจังหวะสำคัญ และเป็นแกนหลักในเกมรุกของทัพเสือเหลือง โดยแค่ซีซั่นแรกก็ทำไปถึง 13 ประตู 10 แอสซิสต์จากการลงสนาม 46 นัดรวมทุกรายการ เป็นผลงานที่โดดเด่นสุดๆในตำแหน่งจอมทัพ แต่ในซีซั่นถัดมาเจ้าตัวโดนถ่างออกไปเล่นริมเส้น ทำให้สถิติลดฮวบอย่างชัดเจน ยิงได้ 5 ประตู 7 แอสซิสต์ จาก 42 นัดรวมทุกรายการ
ยังดีที่ปีถัดมา มคิตาร์ยาน ดูเหมือนจะปรับตัวได้กับการเล่นริมเส้น ทำให้ผลงานกลับมาดูดีเหมือนปีแรกที่เจ้าตัวมาถึง หลังจากนั้นก็โดน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ดึงไปสู่ทีม แต่ด้วยสไตล์บอลที่รวดเร็ว ทำให้ผลงานในตำแหน่งตัวริมเส้นไม่ได้ดีเหมือนตอนค้าแข้งที่เยอรมัน ซึ่งเป็นสิ่งที่บ่งบอกชัดเจนว่า การจับแข้งรายนี้ไปยืนริมเส้น แม้ว่าจะไม่ได้ย่ำแย่ถึงขั้นล้มเหลว แต่ก็จัดว่าเป็นการใช้ศักยภาพจอมทัพได้แบบเสียของ
จอมทัพหมายเลข 10 จาก โคลอมเบีย ที่แจ้งเกิดจากศึกฟุตบอลโลก 2014 จากนักเตะโนเนม จนถูกยอดทีมอย่าง เรอัล มาดริด มาดึงตัวไปทันทีหลังจบทัวร์นาเม้นท์ โดยในซีซั่นแรกเจ้าตัวลงสนามไป 29 นัดยิง 13 ประตู 13 แอสซิสต์ในลาลีก้า เป็นผลงานที่น่าประทับใจ แต่หลังจากนั้นรูปแบบการเล่นของราชันชุดขาวก็ไม่ได้เน้นกองกลางตัวรุกอีกแล้ว ประกอบกับสตาร์ที่แน่นทีมไปหมด
ในเมื่อรูปแบบการเล่นที่เปลี่ยนไป การที่จะถูกโยกไปเล่นปีก ก็ไม่ใช่สไตล์ของเจ้าตัวที่ไม่ได้มีความเร็วหรือความคล่องตัวเท่ากับตัวเลือกอื่นๆภายในทีมที่มีทั้ง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ หรือ คาริม เบนเซม่า ที่มีความคล่องตัวมากกว่า จนกระทั่งในปี 2017 ก็โดนปล่อยไปให้กับ บาเยิร์น มิวนิค ยืมตัว โดยมี คาร์โล อันเชล็อตติ เจ้านายคู่บุญคุมทีมอยู่
ซึ่งเมื่อได้กลับมา ราชันชุดขาวอีกครั้ง ฮาเมส ก็กลับสู่สถานะตัวสำรองเหมือนเดิมจนปัจจุบัน ก็ย้ายไปอยู่กับ เอฟเวอร์ตัน เพื่อร่วมงานกับ คาร์โล อันเชล็อตติ อีกคำรบ ปัจจุบันดาวเตะโคลอมเบียเล่นให้กับ โอลิมเปียกอส ในกรีซ โดยทั้งชื่อเสียงและผลงานก็จางหายไปไม่เคยเหมือนกับวันที่เขาแจ้งเกิดอีกเลย
ยอดแข้งพรสวรรค์ที่ถูกจดจำในฐานะนักเตะที่ทำประตูชัยส่ง ทีมชาติเยอรมัน คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 2014 มาครองได้ นอกจากนี้ยังเป็นหนึ่งในขุนพลชุดคว้าแชมป์บุนเดสลีก้าปี 2011/12 ร่วมกับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ด้วย โดยที่ เกิทเซ่ ถูกจับเล่นในตำแหน่งกองกลางตัวรุกหมายเลข 10 มาโดยตลอดทั้งกับสโมสร และทีมชาติ ในช่วงปี 2010-2013 กับเสือเหลืองเจ้าตัวกดไป 22 ประตู 25 แอสซิสต์จากการลงสนาม 78 นัดในบุนเดสลีก้า
แต่หลังจากนั้นก็ย้ายไปอยู่กับ บาเยิร์น มิวนิค ในฐานะตัวอะไหล่ของ โธมัส มุลเลอร์ ที่ยืนในตำแหน่งหน้าต่ำอยู่ก่อนแล้ว ด้วยความที่การเบียดตำแหน่งกับตัวเก๋าประจำทีมเป็นเรื่องยาก ทำให้บ่อยครั้ง เกิทเซ่ ถูกจับไปยืนริมเส้นแทน และด้วยร่างกายที่ไม่ได้แข็งแกร่งอยู่เป็นทุนเดิมแล้ว การไปเล่นตำแหน่งปีกที่ต้องใช้ร่างกายหนักไม่ว่าจะปะทะหรือความอึด ก็ทำให้เจ้าตัวเจออาการบาดเจ็บเล่นงาน จนสุดท้าย ตัวคุมเกมสุดคลาสสิค จะเหลือไว้แต่ฟอร์มที่น่าจดจำในอดีต และไม่เคยกลับไปจุดเดิมได้อีกเลย แม้จะได้กลับไปยืนตำแหน่งหมายเลข 10 กับ เสือเหลืองก็ตาม
อีกหนึ่งเพลย์เมคเกอร์ที่มีฉายาว่า พ่อมดน้อย ของแฟนบอล ลิเวอร์พูล ที่สมัยค้าแข้งอยู่กับหงส์แดงเจ้าตัวถือเป็นกองกลางตัวรุกหมายเลข 10 ที่ยอดเยี่ยมแบบที่หาใครเปรียบไม่ได้ เรียกว่าจนถึงปัจจุบัน หงส์แดงก็ยังไม่สามารถหาจอมทัพสร้างสรรค์เกมแบบ คูตินโญ่ได้เลย เจ้าตัวมีจุดเด่นในเรื่องการสร้างสรรค์เกมตามสไตล์แข้งบราซิเลี่ยน แถมยังมีอาวุธเป็นการยิงไกลที่หวังพึ่งได้เสมอ
แต่หลังจากที่เลือกย้ายไปอยู่กับ บาร์เซโลน่า ที่ไม่ได้เน้นตำแหน่งกองกลางตัวรุก หรือถ้าจะเลือกใช้จริงๆก็มี ลิโอเนล เมสซี่ ยืนขวางอยู่แล้ว ทำให้ดาวเตะแซมบ้าโดนจับไปยืนริมเส้นแทน จริงอยู่ที่ คูตี้ มีความคล่องตัวที่สูง แต่การใช้วิสัยทัศน์ของเขาให้เต็มประสิทธิภาพคือพื้นที่ตรงกลางมากกว่า ซึ่งมันก็แสดงออกมาให้เห็นในรูปแบบของผลงานที่ปีแรกกับ บาร์ซ่าทำได้แค่ 9 ประตู 7 แอสซิสต์จากการลงสนาม 22 นัดรวมทุกรายการ
ด้วยผลงานดังกล่าวทำให้เจ้าตัวเริ่มโดน ต่างดาวลืมเลือน นอกจากนี้ยังมีอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่เรื่อยๆด้วยแล้ว การแข่งขันที่สูงในถิ่น คัมป์นูไม่เคยรอใคร สุดท้ายก็โดนปล่อยยืมไปให้กับ บาเยิร์น มิวนิค และ แอสตัน วิลล่า แต่ก็ไม่เคยได้กลับมายืนกองกลางตัวรุกหมายเลข 10 ตามถนัด สุดท้ายก็กลายสภาพเป็นนักเตะดาษๆไปในที่สุด
ราชาแอสซิสต์ ที่ได้ชื่อว่าผ่านบอลได้ดีที่สุดแห่งยุคสมัยนึง โอซิล ไม่ได้เป็นนักเตะที่มีทักษะแพรวพราว หวือหวา ไม่ได้เป็นพวกกระชากลากเลื้อย แต่เป็นพวกกองกลางตัวรุกหมายเลข 10 สุดคลาสสิคแบบขนานแท้ ด้วยการจ่ายบอลที่เฉียบคมทั้งระยะใกล้ หรือไกล วิสัยทัศน์ยอดเยี่ยมที่ราวกับรู้ว่าเพื่อนร่วมทีมอยู่จุดไหน จะวิ่งไปทางไหน และทางเลือกไหนที่ดีที่สุด
แต่เมื่อยุคสมัยของฟุตบอลเปลี่ยนไป สตาร์ชาวเยอรมัน กลายเป็นเป้าวิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นพวกจอมขี้เกียจ ไม่ยอมวิ่งช่วยเพื่อนร่วมทีมไล่บอล กลายเป็นแพะรับบาปในการตกรอบของ ทีมชาติเยอรมัน จากเวทีฟุตบอลโลก 2018 ส่วนกับสโมสรก็อำลาทีมไปแบบไม่สมศักดิ์ศรี จนสุดท้ายก็เพิ่งประกาศแขวนสตั๊ดไป หลงเหลือไว้แต่ชื่อของ ราชาแห่งการแอสซิสต์