ปัญหาของท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ มีหลายจุดมากๆในฤดูกาลนี้ แต่แผลเหล่านั้นถูกเปิดออกให้ชัดเจนมากขึ้น หลังเกมที่พ่าย นิวคาสเซิ่ล แบบยับเยินด้วยสกอร์ 6-1 เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
หลังเกมดังกล่าาว คริสเตียน สเตลลินี่ ถูกปลดจากตำแหน่งแม้ทำหน้าที่รักษาการ และแต่งตั้งให้ ไรอัน เมสัน อดีตลูกหม้อของทีม รับช่วงต่อทำหน้าที่กุนซือขัดตาทัพ
นี่กลายเป็นช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดของ ‘ไก่เดือยทอง’ ในฤดูกาลนี้ก็ว่าได้ และความพ่ายแพ้ต่อ ‘สาลิกาดง’ อาจทำให้ความหวังในการจบท็อปโฟร์ดูเลื่อนลางลงไปทุกที และฤดูกาลสุดวิกฤตก็ยังดำเนินต่อไป
ด้วยเหตุนี้ UFA ARENA จะพาไปเจาะลึกถึงปัญหาของทีมดังจากลอนดอนเหนือ ที่มีให้เห็นทุกระดับ ทั้งในตัวผู้เล่น, สต๊าฟฟ์ หรือแม้กระทั่งบอร์ดบริหารผ่านบทความชิ้นนี้กัน
จุดต่ำสุดของซีซั่น
สเปอร์ส เสียไป 5 ประตูตั้งแต่ 21 นาทีแรก ซึ่งถือเป็นสถิติเสียประตูจำนวนนี้เร็วที่สุดในรายการนี้เป็นอันดับ 2 ต่อจาก วัตฟอร์ด ที่โดน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยิงไป 5 ลูกในเวลาเพียง 18 นาทีในปี 2019
คริสเตียน สเตลลินี่ อดีตกุนซือรักษาการของทีมจากลอนดอน ที่โดนปลดหลังจบเกมนี้ ออกมายอมรับว่าเขาวางแผนผิดพลาดกับการจับมายืนแบ็คโฟร์ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ทีมมีการเปลี่ยนแผน นับตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2022 และสร้างความสบสนให้กับผู้เล่นไม่น้อย ว่าควรยืนตรงไหน หรือต้องทำอะไร
เสียงวิจารณ์ต่างๆทั้งต่อผู้เล่น, สต๊าฟฟ์โค้ช หรือแม้กระทั่งบอร์ดบริหาร ถาโถมเข้ามาอย่างหนัก และนั่นก็เป็นเรื่องที่หลายคนเข้าใจได้
หากความพ่ายแพ้เกมนั้น ยังแย่ไม่พอ ก็ย้อนไปในเกมก่อนที่พ่ายให้กับ บอร์นมัธ คารัง 2-3 ซึ่งตอนนี้ทีมชนะเพียง 2 จาก 9 เกมหลังสุด ซึ่งช่วงที่ทีมถูกเขี่ยตกรอบบอลถ้วย 2 รายการ เช่นเดียวกับการหลุดท็อปโฟร์
ทุกอย่างถึงจุดต่ำสุดอย่างไม่ต้องสงสัยในเกมที่ เซนต์ เจมส์ ปาร์ค ท้ายที่สุดแล้ว ความพ่ายแพ้เป็นเพียงสิ่งเตือนใจครั้งล่าสุดถึงปัญหาที่แผ่ซ่านไปทั่วทุกระดับของสโมสร ซึ่งความโกลาหลที่เกิดขึ้นในเกมวันนั้น และอย่างน้อยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากสิ่งที่เกิดขึ้นนอกสนาม
ปัญหานอกสนาม
สเปอร์ส แยกทางกับ อันโตนิโอ คอนเต้ ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมีนาคมแล้ว เท่ากับว่าพวกเขาไร้กุนซือถาวรมานาน 1 เดือนแล้ว นอกจากนี้ พวกเขายังเสียบุคลากรในตำแหน่งผู้อำนวยการฟุตบอลเช่นกัน นั่นก็คือ ฟาบิโอ ปาราติชี่ ที่ลาออกไป เนื่องจากยื่นอุทธรณ์ไม่ผ่าน หลังโดนแบนจากวงการลูกหนัง 30 เดือน จากข้อหาจัดการด้านการเงินที่ผิดพลาดสมัยทำงานอยู่ใน ยูเวนตุส
สถานการณ์กลายเป็นสิ่งที่ทำให้ทีมไขว้เขว ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับการตัดสินใจของประธานอย่าง แดเนียล เลวี่ แต่การตัดสินที่ผิดพลาดมากที่สุด คือการแต่งตั้งให้มือขวาของ คอนเต้ ทำหน้าที่รักษาจนจบฤดูกาลนี้
น่าแปลกใจไหมที่ผู้ช่วยที่ร่วมงานกับ คอนเต้ มาอย่างยาวนาน แถมประสบความสำเร็จร่วมกัน ไม่น้อย กลับล้มเหลวในการเปลี่ยนทิศทางของทีม? วิธีการของเขาเป็นแบบของ คอนเต้ แต่การที่เขากำลังดิ้นรนกับผลงานในทีม เมื่อบวกกับสโมสรขาดมิติหรือตัวเลือกผู้เล่น ยิ่งทำให้เขาอยู่ผิดที่ผิดเวลาชัดเจน
สิ่งนั้นชัดเจนมาหลายสัปดาห์แล้ว แต่มันชัดเจนกว่าที่เคยที่ใน เซนต์ เจมส์ พาร์ค สเตลลินี่ กล่าวว่าการย้ายไปเล่นแบ็คโฟร์มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปลี่ยนพลังงานในทีม แต่การเปลี่ยนแท็คติกที่ยิ่งใหญ่จะมีประโยชน์อะไร หากคุณไม่มีบุคลากรที่จะดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ?
นักเตะก็แย่ไม่แพ้กัน
เปโดร ปอร์โร่ และ อิวาน เปริซิช มีศักยภาพในแนวรุกจากตำแหน่งวิงแบ็ค แต่พวกเขาไม่ใช่ฟูลแบ็คเลย และ นิวคาสเซิ่ล ใช้ประโยชน์จากความอ่อนแอในแนวรับของพวกเขาอย่างเต็มที่ เข้าทำทางฝั่งริมเส้นผ่านทาง โชเอลินตัน และ เจค็อบ เมอร์ฟี่ย์
มีปัญหาที่คล้ายกันสำหรับสเปอร์ส จากเซ็นเตอร์คู่ คริสเตียน โรเมโร่ และเอริค ดายเออร์ คุ้นเคยกับการเป็นส่วนหนึ่งของแนวรับ 3 คน แต่ดูไม่เข้ากันเท่าไหร่ในการเล่นคู่กัน ทำให้ อเล็กซานเดอร์ อิซัค เล่นง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ และนิวคาสเซิ่ล ก็ได้ประโยชน์จากตรงนั้นเช่นกัน
หาก สเปอร์ส มีปัญหาในการป้องกันตั้งแต่ใช้แนวรับ 5 คนแล้ว พวกเขาจะมีความหวังอะไรหากต้องเปลี่ยนไปเล่นเป็น 4 คน มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นทุกครั้ง ความมั่นใจที่เปราะบางอยู่แล้วของพวกเขา ยิ่งทำให้พังทลายลงอย่างสิ้นเชิง
แน่นอนว่า สเตลลินี่ ต้องเผชิญกับปัญหาอาการบาดเจ็บในทีมด้วย แต่น่าเสียดายที่ ปาเป้ ซาร์ กองกลางดาวรุ่งที่ออกสตาร์ทในลีกแค่ 2 เกม ดันมาเจอกับฝันร้าย เมื่อต้องถูกโยกไปเล่นเป็นกองหลัง และโดนเปลี่ยนออกหลังจากผ่านไปเพียง 23 นาที การเปลี่ยนตัวนั้นเป็นการยอมรับความผิดพลาด แม้ว่าจะสายเกินไปก็ตาม
ดาวินซอน ซานเชซ เป็นตัวสำรองที่เข้ามาแทนที่ ซาร์ แต่เกมก่อนหน้านั้นที่พบกับ บอร์นมัธ เมื่อสัปดาห์ก่อน ถือว่าหายนะสุดๆ เมื่อกองหลังชาวโคลอมเบีย กลายเป็นตัวสำรองที่ถูกเปลี่ยนตัวในเกมนั้น หลังลงเล่นราวๆ 23 นาที
คอนเต้อาจพูดถูก
วิกฤตในช่วงที่ผ่านมาของ ‘ไก่เดือยทอง’ ทำให้คำพูดของ คอนเต้ ดูมีน้ำหนักมากขึ้น หลังจัดหนักใส่นักเตะของตัวเอง ก่อนแยกทางกับทีม โดยกล่าวว่า “ผมเห็นผู้เล่นที่เห็นแก่ตัว ผู้เล่นที่ไม่ต้องการช่วยเหลือซึ่งกันและกันและ พวกเขาไม่ได้เล่นด้วยหัวใจ”
“พวกเขาคุ้นเคยกับที่นี่ พวกเขาไม่ต้องการเล่นภายใต้ความกดดัน มันยากที่จะโต้เถียงกับเขาในตอนนั้น และมันยิ่งกว่านั้นในตอนนี้ เรื่องราวของท็อตแนมคือสิ่งนี้” กุนซือชาวอิตาเลี่ยน กล่าวเสริม ในเกมที่เสมอ เซาแธมป์ตัน 3-3 ก่อนแยกทาง
การขาดความสามัคคีนั้นมีให้เห็นที่ เซนต์ เจมส์ ปาร์ค แม้แต่การโต้เถียงของผู้เล่นระหว่างพวกเขาเองก็ยังดูครึ่งๆ กลางๆ เมื่อเสียประตูในช่วงแรก
ปัญหาเกี่ยวกับสภาพจิตใจนั้นหยั่งรากลึก แต่การดิ้นรนในสนามของ ท็อตแน่ม ก็วกกลับมาที่เรื่องการเสริมทัพเช่นกัน นักเตะที่เข้ามาในฤดูกาลนี้มีใครที่ช่วยพัฒนาทีมได้อย่างแท้จริง? จำนวนผู้ที่นำเข้ามาในช่วงซื้อขายก่อนหน้านี้ มีกี่คนประสบความสำเร็จ?
การล้มเหลวมีมากกว่าความสำเร็จ และนั่นเป็นเพียงอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดความรู้สึกกังวลแก่เหล่า ยิด อาร์มี่ ว่าทีมรักของพวกเขาควรเดินต่อไปในทิศทางไหนหลังจากนี้
ปัญหาที่ต้องแก้ยันซีซั่นหน้า
สำหรับ เลวี่ ขั้นตอนต่อไปที่ชัดเจนคือการเร่งกระบวนการแต่งตั้งผู้จัดการถาวร แต่ก็ตำหนิเหล่าแคนดิเดทที่เลือกถอนตัวจากงานนี้ไม่ได้เช่นกัน เมื่อได้เห็นวิกฤตที่เกิดขึ้นในทีมตอนนี้ และนอกจากนี้ มันสายเกินไปที่จะกอบกู้การจบท็อปโฟร์ในฤดูกาลปัจจุบัน
การต่อสู้ของพวกเขาในช่วงเวลาที่เหลือ น่าจะเป็นการรักษาอันดับเพื่อลุยใน ยูโรป้าลีก ซีซั่นหน้าแทน แต่อาจกลายเป็นงานยากขึ้น เมื่อต้องเปิดบ้านพบกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หวังจบท็อปโฟร์ในวันพฤหัสบดีและจากนั้นก็ออกไปเยือน แอนฟิลด์ เพื่อพบกับ ลิเวอร์พูล ที่หวังไปเล่นยุโรปเช่นกัน ในเกมถัดไป
นอกเหนือจากนั้นยังมีเรื่องน่าปวดหัวอีกมากมายที่จะตามมา สำหรับเงินทั้งหมดที่ใช้ไป ทีมต้องการการยกเครื่อง และนั่นคือก่อนที่คุณจะคิดด้วยซ้ำว่าฤดูกาลหน้า ‘ไก่เดือยทอง’ อาจไม่มี แฮร์รี่ เคน คอยล่าตาข่ายให้อีกต่อไป
แฟนๆหวังว่าทีมรักจะกำลังวางแผนสำหรับเหตุการณ์นั้น แต่มันไม่ง่ายเลยที่จะทำเช่นนั้น หากไม่มี ผู้อำนวยการ หรือผู้จัดการทีม และมันก็ไม่ง่ายเช่นกันสำหรับผู้เล่นว่าจะกลับมาทำผลงานดีขึ้นทันที หลังจากเผชิญกับสิ่งที่เกิดขึ้นใน เซนต์ เจมส์ ปาร์ค