เชื่อว่าแฟนบอลอังกฤษหลายๆคนต้องหน้านิ่วคิ้วขมวดไม่น้อย ยามได้เห็น ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงให้ทีมชาติในยูโร 2020 พร้อมลีลาการเล่นที่ขัดลูกหูลูกตาพอสมควร
ทีมชาติอังกฤษชุดปัจจุบัน เต็มไปด้วยตัวรุกฝีเท้าเด็ดมากมาย ทั้ง แจ็ค กรีลิช, เจดอน ซานโช่, มาร์คัส แรชฟอร์ด, เมสัน เม้าท์ หรือ ฟิล โฟเด้น แต่ สเตอร์ลิ่ง กลับมีชื่อเป็น 1 ใน 11 คนแรกเสมอ จนถูกเหน็บแนมว่าเป็นลูกบุญธรรมของ แกเร็ธ เซาธ์เกต ผู้เป็นกุนซือหรือเปล่า
แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็โชว์ให้เห็นเช่นกันว่าทำไม เซาธ์เกต ถึงไว้ใจให้เขาเป็นตัวจริง กับผลงานในปัจจุบันที่ยิงไปแล้ว 3 ประตูจาก 4 นัด รั้งตำแหน่งดาวซัลโวของทีมในทัวร์นาเม้นต์ โดยล่าสุดเพิ่งโชว์ฟอร์มเด่นช่วยให้ สิงโตคำราม เอาชนะ เยอรมัน 2-0 ผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ
แต่ทำไมกัน สเตอร์ลิ่ง ถึงได้รับโอกาสก่อนตัวรุกคนอื่นๆ ทั้งๆที่ฟอร์มการเล่นในระดับสโมสรออกจากด้อยกว่าเพื่อนร่วมทีมพอตัวในฤดูกาลที่ผ่านมา…
ควาทรงจำที่ไม่ดีในทีมชาติ
สเตอร์ลิ่ง ต้องเผชิญกับปีที่ยากลำบากกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในฤดูกาลที่ผ่านมา จำนวน 14 ประตู กับ 12 แอสซิสต์ จาก 49 นัดในทุกรายการถือว่าไม่เลวก็จริง แต่บ่อยครั้งที่ฟอร์มการเล่นของเขาไม่คงเส้นคงวาจนถูกดร็อปเป็นตัวสำรองอย่างช่วยไม่ได้
ทว่าฟอร์มการเล่นในระดับสโมสรก็ถือว่าทำได้ดี หากนำมาเทียบกับผลงานของ สเตอร์ลิ่ง ในทีมชาติอังกฤษ นับตั้งแต่ติดธงครั้งแรกในปี 2012
อีกทั้ง แฟนบอลแดนผู้ดีไม่น้อยก็มีความทรงจำเกี่ยวกับ สเตอร์ลิ่ง ที่ไม่ค่อยจะดีนัก โดยเฉพาะฟุตบอลโลกปี 2018 ที่รัสเซียเป็นเจ้าภาพ ซึ่งน่าจะเป็นช่วงที่เขาโดนวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดแล้วในอาชีพ
ก่อนลุยเวิล์ดคัพฉบับหมีขาวราว 1 เดือน สเตอร์ลิ่ง ก็ต้องรับมือกับดราม่าเรื่องสักรูปปืน M16 ไว้ที่เท้าขวา และเมื่อถึงทัวร์นาเม้นต์ เขาก็พลาดโอกาสทำประตูมากมายก่อนที่ ‘สิงโตคำราม’ เดินทางมาถึงรอบตัดเชือก รวมไปถึงถูกวิจารณ์ในแง่ลบมากมายจากการยิงให้ทีมชาติไม่ได้เป็นเวลา 26 เกมติดต่อกัน
ยังไม่นับลีลาการลากเลื้อยที่ชวนขัดใจ จนแฟนบอลแต่ละคนอดไม่ได้ที่จะสบถคำที่ฟังดูไม่ระรื่นหูออกมาผ่านหน้าจอโทรทัศน์ ยามเห็น สเตอร์ลิ่ง อวดฝีเท้าในสนามอีกด้วย
ยิ่งเล่นยิ่งมั่นใจ
อย่างไรก็ตาม ฟอร์มสากเข้าสิงของ แข้งวัย 26 ปี ได้เลือนหายไปจากเขานานแล้ว นับตั้งแต่ที่เขาปลดล็อกตัวเองได้ในเกมยูฟ่า เนชั่นส์ลีก ปี 2018 ที่กดไป 2 ลูกให้ทีมเอาชนะ สเปน 3-2 ซึ่งเป็นประตูแรกของเขาในรอบ 3 ปีกว่าในทีมชาติด้วย
อีกทั้งความเชื่อมั่นที่ แกเร็ธ เซาธ์เกต มีต่อ สเตอร์ลิ่ง ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะลดน้อยถอยลงไป ก่อนที่เจ้าตัวตอบแทนความไว้ใจนั้นด้วยการกดไป 3 ประตูจาก 4 นัดในยูโร 2020
ซึ่งหากย้อนดู สถิติการทำประตูของ ดาวเตะ เรือใบสีฟ้า ในอังกฤษ ถือว่าก้าวกระโดดจนน่าตกใจ เพราะนับตั้งแต่ฟุตบอลโลก 2018 เป็นต้นมา เขายิงให้ทีมชาติแล้ว 15 นัด จาก 21 นัดหลังสุด
มันแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาที่ไม่ธรรมดาสำหรับคนที่เคยยิงได้เพียง 2 ลูกใน 44 นัดก่อนหน้านั้นและมันอธิบายว่าทำไมตอนนี้เขาเล่นด้วยความมั่นใจอย่างมากในเสื้อทีมชาติอังกฤษ
ความมั่นใจนั้นสามารถเห็นได้ตั้งแต่ต้นเกมที่ดวลกับ เยอรมัน ขณะที่เพื่อนร่วมทีมอังกฤษส่วนใหญ่ของเขาเริ่มประหม่า จนถูกคู่แข่งครองเกมได้เหนือกว่าในช่วง 10 นาทีแรก
แต่ สเตอร์ลิ่ง กลับไม่เป็นเช่นนั้น และเป็นคนแรกที่สร้างโอกาสให้ทีมด้วยการลากเลื้อยจากฝั่งซ้าย ก่อนลากตัดเข้าในปั่นโค้งๆ ด้วยขวาจากระยะ 25 หลา จน มานูเอล นอยเออร์ ต้องออกแรงเซฟ และค่อยๆทำให้ อังกฤษ กลับมาครองเกมได้มากขึ้น
คนที่เซาธ์เกตเชื่อมั่น
สเตอร์ลิ่ง อาจไม่ใช่ผู้นำโดยธรรมชาติอย่างที่เราเคยเห็นกันทั่วไป แต่การยินดีรับภาระในยามจำเป็น ก็เพียงหนึ่งในหลายๆ เหตุผลว่าทำไมเขาถึงมีความสำคัญต่อเซาธ์เกตและทีมชาติอังกฤษชุดนี้
นอกเหนือจากรั้งตำแหน่งดาวซัลโวของทีมแล้ว เขายังเป็นนักเตะอังกฤษที่มีโอกาสทำประตูมากที่สุด (7 ครั้ง), เลี้ยงบอลสำเร็จมากที่สุด (6 ครั้ง) หรือ สัมผัสบอลในกรอบเขตโทษคู่แข่งมากที่สุด (16 ครั้ง) ในศึกยูโร 2020
แน่นอนว่ามีช่วงเวลาที่น่าผิดหวังเช่นกัน สำหรับ ปีกจอมเลื้อยที่มักตัดสินใจในจังหวะสุดท้ายไม่ดีในหลายครั้ง ตั้งแต่เกมรอบแบ่งกลุ่มที่พบกับ โครเอเชีย, สกอตแลนด์ เช็ก หรือกับ เยอรมัน ในรอบน็อคเอ้าท์
แต่ด้วยการเล่นของ สเตอร์ลิ่ง ในหลายครั้ง ทำให้เขามีส่วนร่วมกับจังหวะสำคัญในการทำประตูของทีมหลายคน ตั้งแต่เกมแรกในทัวร์นาเม้นต์ และชัดเจนสุดๆในเกมอัด ‘อินทรีเหล็ก’ รอบ 16 ทีมสุดท้าย กับประตูแรกที่เขาเป็นคนเริ่มต้นและจบมันด้วยตัวเอง ด้วยการชาร์จลูกเปิดของ ลุค ชอว์ ในระยะเผาขน
เชื่อว่าเรื่องราวอาจแตกต่างไปจากนี้ หาก โธมัส มุลเลอร์ สามารถใช้จังหวะที่ สเตอร์ลิ่ง ผิดพลาดทำประตูตีเสมอได้ ก่อนที่ แฮร์รี่ เคน จะฝังลูกที่ 2 ในนาทีที่ 86 ของเกมวันนั้น
นอกจากนี่เป็นครั้งแรกที่ อังกฤษ เอาชนะ เยอรมันได้ในเกมทัวร์นาเม้นต์ที่ สนามเวมบลี่ย์ นับตั้งแต่ปี 1966 ชัยชนะดังกล่าวยังทำให้พวกเขาอยู่ในเส้นทางลุ้นแชมป์ยูโร 2020 ซึ่งดูสดใสไม่น้อย หลังทีมเต็งอย่าง ฝรั่งเศส และ โปรตุเกส แชมป์เก่าตกรอบไป
และบางที สเตอร์ลิ่ง อาจเป็นความหวังที่ดีที่สุดของ เซาธ์เกต และอังกฤษ กับภารกิจคว้าแชมป์ยุโรปเพื่อพาฟุตบอลกลับไปสู้บ้านเกิดอีกครั้งก็เป็นได้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง ไหนใครวิจารณ์ผม? สเตอร์ลิ่งขึ้นเต็งหนึ่งซิวเเข้งยอดเยี่ยมยูโร
ยูโร 2020 : ไหนใครวิจารณ์ผม? สเตอร์ลิ่งขึ้นเต็งหนึ่งซิวเเข้งยอดเยี่ยมยูโร