ประเด็นร้อนของพรีเมียร์ลีก อังกฤษ สัปดาห์ที่ผ่านมาคงหนีไม่พ้นเรื่องของการปลดผู้จัดการทีมออกจากตำแหน่ง ที่ถือว่าบ้าคลั่งสุด ๆ เพียงแค่ฤดูกาลเดียวมีการปลดโค้ชไปแล้วถึง 12 ราย ถือว่าเป็นสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งพรีเมียร์ลีกมา
แบรนดอน ร็อดเจอร์ส จาก “สุนัขจิ้งจอก” เลสเตอร์ ซิตี้ และแกรห์ม พอตเตอร์ จาก “สิงห์บลูส์” เชลซี คือสองกุนซือล่าสุดที่ต้องกระเด็นตกเก้าอี้ ในช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาล
การไล่กุนซือออกจากตำแหน่งถือเป็นเรื่องปกติของวงการฟุตบอล เมื่อทำผลงานไม่ได้ตามเป้าพวกเขาก็ต้องยอมรับกับการตัดสินใจของสโมสร ตกงานแบบไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้
เลสเตอร์ ซิตี้ แต่งตั้งให้ อดัม แซดเลอร์ โค้ชทีมชุดใหญ่ และไมค์ สโตเวลล์ โค้ชผู้รักษาประตูทำหน้าที่คุมทีมขัดตาทัพ
ส่วน เชลซี ก็ดันเอา บรูโน่ ซัลตอร์ อดีตแบ็คขวาของไบรท์ตันที่เป็นหนึ่งในทีมงานของ แกรห์ม พอตเตอร์ นั่งเก้าอี้รักษาการณ์ เขาไม่เคยเลือก 11 ผู้เล่นตัวจริงมาก่อน นี่คืองานแรกของเขาที่ต้องเป็นหัวเรือเลยก็ว่าได้ และทำได้ไม่เลวเปิดบ้านเสมอ ลิเวอร์พูล 0-0
ในอดีตถือว่ามีผู้จัดการทีมหลายคนที่เข้ามาคุมทีมแบบขัดตาทัพ แต่ทำไปทำมาดันผลงานดี ได้อยู่ต่อ บางรายถึงขั้นพาทีมคว้าแชมป์ชนิดที่ไม่มีใครคาดคิด
วันนี้ UfaArena จะพาทุกท่านย้อนอดีตกลับไปดูเหล่ากุนซือรักษาการณ์ของ “สิงห์บลูส์” เชลซี ที่เข้ามาเปลี่ยนวิกฤติให้สู่ความสำเร็จ ยังจำพวกเขาเหล่านี้ได้หรือไม่?
๐ กุส ฮิดดิ้งค์ (16 กุมพาพันธ์ 2009 และ 19 ธันวาคม 2015)
สุดยอดกุนซือชาวดัตช์ที่มีประสบการณ์อย่างโชกโชนทั้งในระดับทีมชาติและสโมสร พาเนเธอร์แลนด์ บ้านเกิดของเขาจบอันดับ 4 ในฟุตบอลโลก 1998 ที่ประเทศฝรั่งเศส หลังจากนั้นข้ามฟากไปคุมทีมชาติเกาหลีใต้ ก็สร้างประวัติศาสตร์กลายเป็นทีมจากเอเชียทีมแรกที่คว้าอันดับ 4 ในฟุตบอลปี 2002 ที่เป็นเจ้าภาพร่วมกับญี่ปุ่น
เขากลายตัวเลือกยอดนิยมของ “สิงห์บลูส์” เชลซี เคยถูกเรียกเข้ามาคุมทีมในตำแหน่งกุนซือชั่วคราวถึง 2 ครั้ง หนแรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ปี 2009 เข้ามารับไม้ต่อจาก หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่ ในตอนนั้นเขายังมีสัญญาคุมทีมชาติรัสเซียอยู่ แต่ถูก “เสี่ยหมี” โรมัน อบราโมวิช ร้องขอให้เข้ามาก็วิกฤติทีม
ฮิดดิ้งค์ สามารถพาเชลซีจบอันดับ 3 ของตารางด้วยการมี 83 คะแนน ห่างจากทีมแชมป์อย่าง “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แค่ 7 แต้มเท่านั้น พร้อมด้วยสถิติ 22 เกมพาทีมเก็บชัยได้ถึง 16 นัด เสมอ 5 และแพ้แค่ 1 เกมเท่านั้น แถมยังมีแชมป์เอฟเอ คัพ ติดมือมาด้วย
แฟน ๆ ใน “เดอะ บริจด์” ร้องตะโกนบอก “เสี่ยหมี” ว่าให้จ้างกุนซือรายนี้คุมทีมแบบถาวร หรือแม้แต่นักเตะซีเนียร์ในทีมอย่าง จอห์น เทอร์รี่, มิเชล บัลลัค และปีเตอร์ เช็ก
อย่างไรก็ตามแม้ผลงานจะยอดเยี่ยมสุด ๆ แต่เขาตัดสินใจไม่รับงานคุม เชลซี แบบถาวร เพราะมีความตั้งใจที่แน่วแน่ในการกลับไปคุมทีมชาติรัสเซีย เหล่านักเตะเชลซีได้ร่วมกันสลักชื่อบนนาฬิกา พร้อมเสื้อที่มีลายเซ็นมอบให้กับเขาเป็นของที่ระลึก
หลังจากนั้นวันที่ 19 ธันวาคม 2015 กุส ฮิ้งดิงค์ ได้กลับมาคุม เชลซี อีกครั้งในบทบาทเดิมคือกุนซือชั่วคราว หนนี้มารับงานต่อจาก “เดอะ สเปเชี่ยล วัน” โชเซ่ มูรินโญ่ ที่ออกสตาร์ทได้อย่างย่ำแย่สุด ๆ 16 เกม ชนะได้แค่ 4 เสมอ 3 และแพ้ไปถึง 9 นัด หล่นไปอยู่อันดับ 16 ของตารางในเวลานั้น
ในช่วงแรกของการคุมทีมผลงานถือว่าโอเคเลย ไม่แพ้ใครในลีก 15 เกมติด แต่เก็บชัยได้น้อยหนักไปทางเสมอ สุดท้ายเขาเข็นทีมไม่ขึ้นจริง ๆ จบที่อันดับ 10 ของตาราง เท่ากับว่าผลงานของ ฮิดดิ้งค์ ในการมาคุมเชลซีหนที่ 2 ในลีกแพ้ไปแค่ 3 เกมเท่านั้น แต่เสมอถึง 11 นัด จาก 22 เกม สุดท้ายก็อำลาทีมไปเมื่อสัญญาสิ้นสุดลง
๐ โรแบร์โต้ ดิ มัตติโอ (4 มีนาคม 2012)
อดีตมิดฟิลด์ของเชลซีที่เข้ามาทำงานกับทีมปีแรกในฐานะผู้ช่วยของกุนซือหนุ่มอย่าง อังเดร วิลาส-โบอาส ที่ตอนนั้นกำลังสดจี๋ไปรษณีย์จ๋าย้ายมาจากเอฟซี ปอร์โต้ หวังจะเป็น โชเซ่ มูรินโญ่ คนต่อไป อย่างไรก็ตามผลงานของเทรนเนอร์ชาวโปรตุกีสไม่ได้เป็นอย่างที่หวัง คุมทีมไป 40 เกม ชนะได้ 19 เสมอ 11 แพ้ 10 ทำให้เขาถูกปลดออกจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2012
ทำให้มือขวาอย่าง โรแบร์โต้ ดิ มัตติโอ ถูกดันขึ้นมาคุมทีมขัดตาทัพ และดันทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมเพียงแค่ระยะเวลา 3 เดือน เขาสามารถพาทีมเชลซีผงาดคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้เป็นสมัยแรกด้วยการดวลจุดโทษเอาชนะ “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิค ครองแชมป์ยุโรปตามที่ “เสี่ยหมี” ต้องการ หลังเข้ามาเทคโอเวอร์ทีมเมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว ส่วนในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ จบอันดับ 6 ของตาราง
กุนซือดัง ๆ อย่าง โชเซ่ มูรินโญ่, หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่, กุส ฮิงดิ้งค์ และคาร์โล อันเชล็อตติ ยังทำไม่ได้ เรียกได้ว่าเป็นการคว้าแชมป์ที่แทบจะไม่มีใครคาดคิด แถมยังพาทีมคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ อังกฤษ ด้วยการเอาชนะ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ได้อีกด้วย เข้ามาเพียงแค่ 3 เดือนพาทีมคว้าดับเบิ้ลแชมป์บอลถ้วยได้ทันที
ทำให้กุนซือชาวอิตาเลี่ยนได้รับสัญญาคุมทีมถาวร 2 ปี พร้อมด้วยความคาดหวังที่สูงขึ้น เนื่องจากช่วงเวลา 3 เดือนที่ผ่านดูจะมีอนาคตสุด ๆ เริ่มฤดูกาลใหม่ได้อย่างยอดเยี่ยมชนะ 7 จาก 8 เกมในพรีเมียร์ลีก แต่หลังจากนั้นผลงานก็ดิ่งลงเหวไปแบบดื้อ ๆ เขาถูกปลดเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2012 หลังพ่ายให้ “ม้าลาย” ยูเวนตุส แบบราบคาบ 3-0 ตกรอบแบ่งกลุ่มยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
ชีวิตในการเป็นกุนซือของเขาดั่งเทพนิยาย 3 เดือนคุมทีมได้ดับเบิ้ลแชมป์บอลถ้วยในฐานะของกุนซือขัดตาทัพ แต่พอได้รับสัญญายาวก็อยู่กับทีมได้เพียงแค่ 3 เดือนเหมือนกัน เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลา 3 เดือนที่ก้าวขึ้นไปสู่จุดสูงสุด และดิ่งลงมาในระยะเวลาเดียวกัน
๐ ราฟาเอล เบนิเตซ (21 พฤศจิกายน 2012)
หลังจากที่ โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ ถูกปลดออกจากตำแหน่ง เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์มากมายจากบุคคลในวงการฟุตบอลที่มองว่า “เสี่ยหมี” โรมัน อบราโมวิช นั้นใจร้ายเกินไป ให้เวลาทำงานเต็ม ๆ แค่ 3 เดือนก็ไล่ออกแล้ว
“มันแสดงให้คุณเห็นแล้วว่าผู้จัดการทีมในพรีเมียร์ลีกนั่นมีความล่อแหลมต่อการตกงานมากแค่ไหน แน่นอนว่าคุณไม่สามารถทำอะไรได้ เป็นเรื่องที่ช็อกมาก ๆ สำหรับแฟน ๆ และผมคิดว่ามันไม่ยุติธรรมเท่าไหร่ กับช่วงเวลาที่เขาได้รับ” อลัน พาร์ดิว ที่ในตอนนั้นคุมนิวคาสเซิ่ล กล่าว
ในช่วงค่ำคืนเดียวกันหลังถูกปลด 21 พฤศจิกายน 2012 เชลซี ประกาศแต่งตั้ง “เอล บอส” ราฟาเอล เบนิเตซ กุนซือชาวสเปนเข้ามาคุมทีมแบบขัดตาทัพด้วยสัญญาจนจบฤดูกาล คนที่แฟนเชลซีเรียกเขาว่า “ไอ้บ๋อยอ้วน” โดยมี เบาเดอไวน์ เซนเด้น รับบทเป็นมือขวาสามัคคี
ตัวเขาเองไม่เป็นที่ชื่นชอบของแฟน เชลซี อยู่แล้ว เพราะในอดีตเคยคุม “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ทำแสบเอาชนะเชลซีด้วยประตูผีหรือ “Ghost Goal” ของหลุยส์ การ์เซีย ที่ทุกวันนี้ยังเถียงกันไม่เลิกว่าบอลมันข้ามเส้นไปแล้วหรือยัง?
ประตูดังกล่าวทำให้ “หงส์แดง” ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ ไปสร้าง “ปาฏิหาริย์อิสตันบูล” เอาชนะ “ปีศาจแดงดำ” เอซี มิลาน ประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ตั้งแต่ฤดูกาลแรกที่เข้ามาทำงานในอังกฤษ
แถมในสมัยที่เขาคุมลิเวอร์พูลก็เคยให้สัมภาษณ์ในเชิงที่ว่าไม่มีทางรับงานคุมทีมเชลซีอย่างแน่นอน
“เชลซีเป็นสโมสรใหญ่และอุดมไปด้วยผู้เล่นชั้นยอด ผู้จัดการทีมทุกคนอยากจะทำงานกับสโมสรแห่งนี้ แต่ผมจะไม่รับงานนั้นด้วยความเคารพต่อลิเวอร์พูล ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม สำหรับผมในอังกฤษมีแค่ ลิเวอร์พูล สโมสรเดียวเท่านั้น” ราฟา กล่าว เมื่อปี 2007
แต่สุดท้าย เชลซี ก็คือทีมแรกที่เขาเลือกย้ายกลับมาทำงานในอังกฤษ เรียกได้ว่ากลืนน้ำลายตัวเองไปแบบเต็ม ๆ แฟนบอลของ “สิงห์บลูส์” ก็จำฝังใจไล่โห่กดดันเขาทุกเกม แม้ว่าจะเป็นโค้ชของทีมตัวเองก็ตาม จนทำให้ เบนิเตซ เริ่มทนไม่ไหวออกมาตอบโต้บ้าง
“มีแฟนบอลกลุ่มหนึ่งพวกเขาไม่ได้ช่วยซัพพอร์ตทีมเลย ไม่มีการร้องเพลงเชียร์ พวกเขาเสียเวลาไปกับการเตรียมป้ายต่าง ๆ (ป้ายข้อความขับไล่) มันเป็นบางคนผิดพลาด”
พวกเขาเรียกผมว่า ผู้จัดการทีมชั่วคราว เมื่อสัญญาหมดลง ผมจะออกจากทีมแน่ ไม่จำเป็นต้องมาเสียเวลากับผม ควรใช้เวลาสนับสนุนทีม นั่นคือสิ่งที่พวกเขาต้องทำ”
หลังจากให้สัมภาษณ์เดือด แน่นอนว่าเขาก็โดนโจมตีอยู่เหมือนเดิม แต่ผลงานของทีมกลับดีขึ้น เชลซี ภายใต้การคุมทีมของ ราฟาเอล เบนิเตซ เก็บชัยชนะได้ 28 เกม เสมอ 10 และแพ้ 10 จากการลงเล่น 48 นัดในทุกรายการ
โดยพาทีมจบอันดับ 3 ของศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ และผงาดคว้าแชมป์ยูโรป้า ลีก สุดท้ายก็แยกย้ายจากกันไปเมื่อสัญญาหมดลง ไปคุม นาโปลี และเรอัล มาดริด กลับมาอังกฤษอีกครั้งในปี 2016 คุม นิวคาสเซิ่ล ไปเยือน “เดอะ บริดจ์” แฟน “สิงห์บลูส์” ก็ไม่ต้อนรับเหมือนเดิม
นี่คือ 3 สุดยอดกุนซือขัดตาทัพของ “สิงห์บลูส์” เชลซี ทุกคนเข้ามาในช่วงเวลาที่ทีมยากลำบากต่างก็มีแชมป์ติดมือ
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสุดท้าย เชลซีจะตัดสินใจตั้งกุนซือแบบถาวรในช่วงปลายซีซั่น หรือจะใช้บริการบรูโน่ ซัลตอร์ ต่อ แต่ก็มีข่าวล่ามาแรงว่า แฟรงค์ แลมพาร์ด จะกลับมาคุมทีมอีกครั้งด้วยสัญญาระยะสั้นจนจบฤดูกาลนี้