จานลูก้า สกามัคก้า กลายเป็นสมาชิกใหม่รายล่าสุดของ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด เป็นที่เรียบร้อย หลังปาดหน้า ปารีส แซงต์ แชร์กแมง มาได้สำเร็จ
ฟอร์มของหอกวัย 23 ปี ถือว่าน่าประทับใจอย่างมากในฤดูกาลที่ผ่านมา กับจำนวน 16 ประตูที่ทำได้กับ ซาสซูโอโล่ ในเซเรียอา พร้อมเป็นแข้งชาวอิตาเลี่ยนที่ยิงได้มากที่สุดเป็นอันดับ 2 ในลีกซีซั่นก่อนด้วย เป็นรองแค่ ชิโร อิมโมบิเล่ เท่านั้น (27 ประตู)
แน่นอนว่า สกามัคก้า ไม่ใช่กองหน้าจากอิตาลี รายแรกที่ย้ายมาค้าแข้งในพรีเมียร์ลีก แต่ก็เชื่อว่าแฟน ‘ขุนค้อน’ คงหวังว่า ศูนย์หน้าคนใหม่จะประสบความสำเร็จกับชีวิตใหม่ในแดนผู้ดี เหมือนกับกองหน้ารุ่นพี่ที่เคยทำได้ แม้เป็นส่วนน้อยก็ตาม
ด้วยเหตุนี้ UFA ARENA จึงขอพาไปพบกับ 10 ดาวยิงชาวอิตาเลี่ยนที่ดีที่สุดในยุคพรีเมียร์ลีก และเป็นคนที่ สกามัคก้า ควรเอาเยี่ยงอย่างเป็นที่สุด
กราเซียโน่ เปลเล่
แม้อยู่ในอังกฤษเพียง 2 ฤดูกาล แต่นั่นก็เป็น 2 ปีที่ยอดเยี่ยมสำหรับ กราเซียโน่ เปลเล่ ที่ทำประตูให้กับ เซาแธมป์ตัน เป็นกอบเป็บกำ รวมไปถึงประตูจักรยานอากาศสุดสวยในเกมพบ คิวพีอาร์ ด้วย ก่อนย้ายไป ซานตง ลู่เนิ่ง ในปี 2016
ด้วยผลงานซัด 30 ประตูจาก 81 นัดในทุกรายการกับ ‘นักบุญ’ ทำให้ในช่วงเวลาดังกล่าวทำให้ หอกวัย 37 ปี ติดทีมชาติอิตาลีในชุดลุยยูโร 2016 ที่อันโตนิโอ คอนเต้ กุมบังเหียนอยู่ แต่น่าเสียดายที่ไปจอดในรอบ 8 ทีมสุดท้าย หลังพ่ายจุดโทษต่อ เยอรมัน ซึ่งเขาก็หนึ่งในนักเตะเลี่ยนที่พลาดจุดโทษด้วย
มาริโอ บาโลเตลลี่
มาริโอ บาโลเตลลี่ คือชายที่เข้ามาสร้างสีสันให้ แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ มีความดุเดือดน่าสนใจมากยิ่งขึ้นในช่วงที่เขาค้าแข้งกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แม้มีวีรกรรมป่วนๆมากมาย เช่นจุดพลุในห้องน้ำบ้านตัวเอง แต่เขาคือคนที่แอสซิสต์ประตูให้ เซร์คิโอ อเกวโร่ ส่ง เรือใบสีฟ้า คว้าแชมป์ลีกในรอบ 44 ปี
อย่างไรก็ตาม แม้มีพรสวรรค์ไม่เป็นสองรองใคร การันตีได้จากรางวัลโกลเด้น บอล ปี 2010 ซูเปอร์มาริโอ ก็ขึ้นเรื่องความเกรียนเสมอ และทำให้เขาไปไม่สุดเท่าไหร่ในเส้นทางค้าแข้ง จนน่าผิดหวังไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนย้ายมาเล่นในอังกฤษ เป็นหนที่ 2 กับ ลิเวอร์พูลที่ยิง 4 ประตูจาก 28 นัด ฟอร์มห่างไกลจากสมัยเล่นให้ ซิตี้ ลิบลับ
อัตติลิโอ ลอมบาร์โด้
แม้มีฉายาน่ารักๆอย่าง ‘ป็อปอาย’ แต่ อัตติลิโอ ลอมบาร์โด้ ก็มีดีกรีไม่ธรรมดา ทั้งสมัยที่เล่นให้กับ ซามพ์โดเรีย,ยูเวนตุส และ ลาซิโอ ซึ่งคว้าแชมป์เซเรียอาได้ทุกทีมอย่างละสมัย และช่วงหนึ่งเขาก็เคยย้ายมาโชว์ฝีเท้าในพรีเมียร์ลีกด้วยกับ คริสตัล พาเลซ
ปีกชาวอิตาเลี่ยน ได้รับการยกย่องชื่นชมจากแฟนบอล ‘ปราสาทเรือนแก้ว’ อย่างมาก ทันทีที่ย้ายมาในปี 1997 และทำผลงานได้น่าตื่นตาไม่น้อยยามลงสนาม เพียงแต่อาการบาดเจ็บทำให้เขาไม่ได้ลงสนามเต็มที่ แต่ก็รับบทบาทควบตำแหน่งผู้เล่น-กุนซือขัดตาทัพด้วยในช่วงครึ่งซีซั่นหลัง และถึงแม้ทีมตกชั้นไปดิวิชั่น 1 (แชมเปี้ยนส์ชิพในปัจจุบัน) ก็ยังเลือกเล่นใน เซลเฮิร์ท ปาร์ค ต่อไป
อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก พาเลซ ต้องการลดภาระค่าเหนื่อยทำให้ทีมขาย ลอมบาร์โด้ ให้กับ ลาซิโอ ในตลาดหน้าหนาวปี 1999 แต่ก็ยังถูกโหวตให้ติดทีมยอดเยี่ยมแห่งศตวรรษของสโมสรจากแฟนบอล แม้ลงเล่นเพียง 49 นัด ยิ่งตอกย้ำให้แฟนว่า สาวก ‘ดิ อีเกิ้ลส์’ ยังรักและเทิดทูนเขามากแค่ไหน
มัสซิโม่ มัคคาโรเน่
มัสซิโม่ มัคคาโรเน่ ถือเป็นอีกหนึ่งแข้งจอมพเนจรในวงการฟุตบอลอิตาลี แต่ก็เคยย้ายมาเล่นในอังกฤษนานถึง 5 ปีกับ มิดเดิ้ลสโบรห์ และแม้ฟอร์มการเล่นอาจไม่สม่ำเสมอเท่าไหร่ แต่การทำประตูของเขาในบางครั้งก็กลายเป็นประตูสำคัญในประวัติศาสตร์สโมสรเช่นกัน
หอกชาวอิตาเลี่ยน ยิงประตูช่วงนาทีสุดท้าย 2 เกมติดกันช่วยให้ทีมเอาชนะ บาเซิ่ล และ สเตอัว บูคาเรสต์ ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย และรอบตัดเชือก ตามลำดับ ณ ศึกยูฟ่า คัพ ปี 2006 รวมไปถึงมีส่วนช่วยให้ โบโร่ รอดตกชั้นในฤดูกาล 2005-06 ด้วย
เบนิโต้ คาร์โบเน่
เบนิโต้ คาร์โบเน่ ก็ไม่ต่างจาก มัคคาโรเน่ ที่เป็นจอมพเนจรในแดนมักกะโรนี และเคยย้ายมาเล่นในอังกฤษเหมือนกัน เพียงแต่ว่าที่ดูดีกว่า คือการที่ คาร์โบเน่ กลายเป็นที่รักของแฟนบอลเสมอ ไม่ว่าจะย้ายไปเล่นกับ เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์, แอสตัน วิลล่า, แบรดฟอร์ด, ดาร์บี้ และ มิดเดิ้ลสโบรห์
ช่วงที่ อดีตแข้งวัย 50 ปี ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมที่สุดในแดนผู้ดี คงหนีไม่พ้นตอนเล่นกับทีม ‘นกเค้าแมว’ ที่กดไป 25 ประตูจาก 96 นัดในลีก ระหว่างปี 1996-1999 ก่อนย้ายไปเล่นกับ ‘สิงห์ผงาด’ พร้อมมีส่วนพาทีมทะลุถึงนัดชิงเอฟเอ คัพ ในปี 2000 ก่อนพ่ายให้ เชลซี ในท้ายที่สุด
สเตฟาโน่ เอรานิโน่, ฟรานเชสโก้ ไบอาโน่
ทั้ง สเตฟาโน่ เอร่านิโน่ และ ฟรานเชสโก้ ไบอาโน่ ถือเป็นแข้งชาวอิตาเลี่ยนในยุคแรกๆที่ย้ายมาเล่นในพรีเมียร์ลีก โดยทั้งคู่ย้ายมาเล่นให้ ดาร์บี้ เคาน์ตี้ พร้อมกันในปี 1997 ซึ่งทั้งคู่มีดีกรีไม่ธรรมดาเช่นกัน ทั้ง เอรานิโน่ ที่เคยคว้าแชมป์สคูเด็ตโต้ กับ เอซี มิลาน และ ไบอาโน่ ที่เคยเป็นอดีตหอกคู่ขาของ กาเบรียล บาติสตูต้า ที่ฟิออเรนติน่า
แม้เล่นให้กับทีมเล็กอย่าง ‘แกะเขาเหล็ก’ แต่ฟอร์มส่วนตัวของพวกเขาทั้งสองก็โดดเด่นพอสมควรเลย ซึ่งช่วงที่พวกเขาค้าแข้งใน ดาร์บี้ ทีมไม่เคยต้องดิ้นรนหนีตกชั้นเลย แต่เมื่อ ไบอาโน่ และ เอรานิโน่ ลาสโมสรไปตามลำดับ พวกเขาก็หล่นไปเริ่มใหม่ในดิวิชั่น 1 เมื่อปี 2000
ฟาบริซิโอ ราวาเนลลี่
ยังคงเป็นปริศนาที่คาใจแฟนบอลยุค 90 ไม่น้อยว่าทำไมทีมน้องใหม่ในพรีเมียร์ลีกอย่าง มิดเดิ้ลสโบรห์ ถึงคว้าตัวกองหน้าดีกรีแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก อย่าง ฟาบริซิโอ ราวาเนลลี่ ได้ในปี 1996 แต่ฟอร์มการเล่นยังยอดเยี่ยมเกินกว่าที่หลายคนคาดคิด และเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับ สกามัคก้า เลย
จำนวน 31 ประตูในทุกรายการ คือผลงานของ‘ไอ้หงอก’ กับปีแรกในทีม ‘สิงห์แดง’ รวมไปถึงพาทีมเข้าชิงบอลถ้วยในประเทศถึง 2 รายการ แต่น่าเสียดายที่ประตูเหล่านั้นไม่เพียงพอช่วยให้ ‘โบโร่’ รอดตกชั้นจากพรีเมียร์ลีกได้ ก่อนย้ายไปเล่นกับ มาร์กเซย ในปี 1997
จานลูก้า วิอัลลี่
ครั้งหนึ่ง จานลูก้า วิอัลลี่ เคยเป็นนักเตะที่มีค่าตัวแพงที่สุดในโลกกับ ยูเวนตุสในปี 1992 (12.5 ล้านยูโร) และมาใช้ชีวิตช่วงบั้นปลายอาชีพกับ เชลซี ก่อนแขวนสตั๊ดในปี 1999
อย่างไรก็ตาม อดีตแข้งวัย 58 ปี ก็ไม่ได้ย้ายมาอังกฤษเพื่อปิดฉากอาชีพแบบธรรมดา เพราะช่วง 3 ปีใน สแตมฟอร์ด บริดจ์ เขาซัดไปถึง 40 ประตู จาก 88 นัดในทุกรายการ (3 แฮตทริก)
มากไปกว่านั้น วิอัลลี่ ยังเหมือน ลอมบาร์โด้ ที่ควบตำแหน่งผู้เล่น-กุนซือ ในทีม ‘สิงห์บลูส์’ ด้วย และประสบความสำเร็จกับการคว้าแชมป์เมเจอร์ 6 รายการ รวมทั้งสมัยที่เป็นนักเตะและกุนซือ
เปาโล ดิ คานิโอ
ความไม่คงเส้นคงวา, ความติสท์แตก, อารมณ์ร้อน และดูคลั่งไคล้ในฟาสซิสต์เกินไปหน่อย แต่ เปาโล ดิ คานิโอ ก็ยังเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่มีพรสวรรค์มากที่สุดเท่าที่พรีเมียร์ลีกเคยมี ซึ่งน่าคิดไม่น้อยว่าเขาคงเฉิดฉาย และ ประสบความสำเร็จมากกว่านี้ หากย้ายไปเล่นกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
อย่างไรก็ตาม การเล่นให้กับ เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์, เวสต์แฮม และ ชาร์ลตัน แอธเลติก ก็ไม่ได้บดบังหรือลดทอนความยอดเยี่ยมของ แข้งชาวอิตาเลี่ยนสุดติสต์ แต่อย่างใด อีกทั้งยังกลับมาอังกฤษอีกครั้งในฐานะผู้จัดการทีมกับ ซันเดอร์แลนด์ แม้ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ไม่มีใครลืมลีลาการดีใจราวกับได้แชมป์บอลโลก หลังพา ‘แมวดำ’ เอาชนะ ซันเดอร์แลนด์ อริร่วมเมืองได้ 3-0 ในปี 2013
จานฟรังโก้ โซล่า
ก่อนที่ เชลซี จะกลายเป็นสโมสรระดับต้นๆในพรีเมียร์ลีก พวกเขาเป็นทีมระดับกลางๆที่ทำเต็มที่แค่ลุ้นโควต้าไปฟุตบอลยุโรป แต่ในยุคปลาย 90 พวกเขาถือเป็นเจ้าพ่อบอลถ้วยเลย และสตาร์ที่โดดเด่นที่สุดในทีมก็หนีไม่พ้น จานฟรังโก้ โซล่า แน่นอน
ด้วยลีลาการเล่นที่สวยงาม, ความพริ้วไหว พร้อมเทคนิคที่เหนือชั้นที่สามารถสร้างความปวดหัวให้แนวรับคู่แข่ง ทำให้ เพลย์เมกเกอร์ชาวอิตาเลี่ยน แสดงให้เห็นว่าผู้เล่นร่างเล็กก็สามารถเล่นในลีกที่เน้นการปะทะอย่างพรีเมียร์ลีกได้เช่นกัน
โซล่า คว้าแชมป์กับ เชลซี 6 รายการ ประกอบไปด้วย เอฟเอ คัพ 2 สมัย, ลีก คัพ, แชร์ริตี้ ชิลด์, ยูฟ่า วินเนอร์ส คัพ และ ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ ก่อนลาทีมไปในปี 2003 ซบ กายารี่ และแขวนสตั๊ดใน 2 ปีต่อมา
นับตั้งแต่นั้นมาในพรีเมียร์ลีกก็ไม่เคยมีแข้งชาวอิตาเลี่ยนคนไหนที่ทำผลงานได้โดดเด่นยอดเยี่ยมเทียบกับ โซล่า เลยจนถึงปัจจุบัน และต้องมารอดูกันว่า สกามัคก้า จะทำได้ใกล้เคียงกับที่ โซล่า ทำไว้มากน้อยแค่ไหน