จากที่ทำท่าเหมือนเป็นแค่ข่าวลือทั่วไปกลับกลายเป็นดีลยักษ์ที่อาจเกิดขึ้นช่วงเดือนสุดท้ายของตลาดนักเตะซัมเมอร์นี้ ระหว่างโรเมลู ลูกากู ดาวยิงของ อินเตอร์ มิลาน กับ เชลซี ต้นสังกัดเก่าในพรีเมียร์ลีก
สื่อหลายเจ้าทั้งในอิตาลี และ อังกฤษ ต่างรายงานพร้อมเพรียงกันว่า บิ๊กรอม แจ้งต่อ ‘งูใหญ่’ แล้วว่าอยากรีเทิร์นกลับ สแตมฟอร์ด บริดจ์ และขอให้ตอบรับข้อเสนอหากได้ราคาที่สมเหตุสมผล หลังโดนทีมเก่าตามจีบอยู่พักใหญ่
การกลับไปทีมเก่าเป็นสิ่งที่นักฟุตบอลหลายคนอาจหลีกเลี่ยง แต่นี่ถือเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับแข้ง ‘สิงห์บลู’ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาตั้งแต่ยุค 1960 จนถึงปัจจุบัน แม้แต่ โชเซ่ มูรินโญ่ ก็เคยกลับมาคุมทีมในลอนดอนถึง 2 หน และไม่แน่ว่า ลูกากู อาจจะเป็นรายล่าสุดก็ได้
ด้วยเหตุนี้ก่อนที่ดีลของ ลูกากู จะถึงบทสรุป UFA ARENA จึงขอพาไปพบกับ 11 แข้งเชลซีที่ย้ายกลับมาค้าแข้งที่ เดอะ บริดจ์ คำรบที่ 2 รวมผลงานหลังจากนั้นว่าดีมากน้อยแค่ไหน
ไนเจล สปัคแมน (1983–1987, 1992–1996)
ในฤดูกาลแรกของ ไนเจล สปัคแมน กับ เชลซี เขามีส่วนช่วยให้เชลซีคว้าแชมป์ดิวิชั่น 2 ในปี 1984 และพาเลื่อนชั้นกลับไปเล่นในลีกสูงสุดอีกครั้ง
แต่อีก 3 ปีต่อมา กองกลางจากรอมซี่ย์ ก็ถูกขายให้ ลิเวอร์พูล หลังจากกลายเป็นส่วนเกินในการทำทีมของ จอ์หน ฮอลลินส์ แต่ในปี 1992 สปัคแมน ก็กลับมา เดอะ บริดจ์ อีกครั้ง แม้ไม่มีถ้วยรางวัลหรือความสำเร็จตลอด 2 ช่วงที่อยู่กับทีมเลยก็ตาม
สตีฟ วิคส์ (1974–1978, 1986–1988)
สตีฟ วิคส์ ลงเล่นฟุตบอลอาชีพครั้งแรกกับ เชลซี ในปี 1974 และเป็นตัวหลักในทีมในช่วงปลายยุค 1970 ก่อนย้ายกลับมาในช่วงบั้นปลายอาชีพช่วงปลายยุค 1980 โดยลงเล่นไปทั้งหมด 150 นัดตลอด 2 ช่วงนั้น
ในระหว่างที่ลา เดอะ บริดจ์ กองหลังจากเร้ดดิ้ง ย้ายไปเล่นช่วงสั้นๆกับ ดาร์บี้ เค้าน์ตี้, คริสตัล พาเลซ และ คิวพีอาร์ อีก 2 ครั้ง เห็นได้ชัดเจนว่าเขารักเมืองลอนดอนฝั่งตะวันตกมากแค่ไหน
อลัน ฮัดสัน (1969–1974, 1983–1984)
อลัน ฮัดสัน เติบโตมาในฐานะแฟนบอลของ ฟูแล่ม แต่ก็กลายเป็นแข้งเยาวชนของ เชลซี ในเวลาต่อมา หลังถูกปล่อยออกจาก คราเวน คอทเทจ
กองกลางชาวอังกฤษ ประเดิมชุดใหญ่ครั้งแรกในปี 1969 พร้อมมีส่วนสำคัญช่วยให้ ‘สิงห์บลู’ คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ปี 1970 และ คัพ วินเนอร์ส คัพ ปี 1971 ก่อนถูก สโต๊ค ซิตี้ คว้าตัวไปในปี 1974
ช่วงบั้นปลายอาชีพ ฮัดสัน กลับมา สแตมฟอร์ด บริดจ์ อีกครั้งในปี 1983 แต่หนนี้เขาไม่ได้ลงเล่นให้สโมสรแม้แต่เกมเดียว ก่อนย้ายไปแขวนสตั๊ดกับ ‘ช่างปั้นหม้อ’ ในฤดูกาลถัดมา
ชาร์ลี คุ้ก (1966–1972, 1974–1978)
ชาร์ลี คุ้ก ย้ายมา เชลซี ในฐานะนักเตะค่าตัวสถิติสโมสรในเดือนเมษายนปี 1966 ด้วยค่าตัว 72,000 ปอนด์ และเป็นกำลังสำคัญของ สิงห์บลู ตลอด 6 ปีแรกที่เขาอยู่ในทีม โดยการันตีความสำเร็จด้วย แชมป์เอฟเอ คัพ ปี 1970 และ คัพ วินเนอร์ส คัพ ปี 1971
ปีกชาวสกอตย้ายไปเล่นกับ คริสตัล พาเลซ เพียง 2 ปี ก็หวนกลับมา สแตมฟอร์ด บริดจ์ อีกครั้งในปี 1974 แม้ทีมต้องหล่นไปเล่นในดิวิชั่น 2 แต่เขาก็ใช้เวลา 2 ปีในการพาทีมกลับมาเล่นในลีกสูงสุดได้อีกครั้ง
ปีเตอร์ ออสกู้ด (1964–1974, 1978–1979)
ตลอด 2 ช่วงเวลาที่ ปีเตอร์ ออสกู้ด อยู่กับ เชลซี เขาลงเล่นให้ทีมเกือบ 300 นัด กดไปมากกว่า 100 ประตู และมีการสร้างรูปปั้นระลึกถึงดาวยิงตำนานสโมสรนอก สแตมฟอร์ด บริดจ์ ในปี 2010 หรือหลังที่เขาจากโลกนี้ไปเมื่อ 4 ปีก่อน
ตำนาน ‘สิงห์บลู’ ยังเป็นเจ้าของสถิตินักเตะคนล่าสุดที่ยิงประตูได้ทุกรอบของศึกเอฟเอ คัพ ในฤดูกาลเดียว ซึ่งหนึ่งในนั้นรวมไปถีงเกมนัดชิงรอบรีเพลย์ที่โหม่งประตูชัยให้ทีมคว้าแชมป์เหนือ ลีดส์ ยูไนเต็ด ปี 1970 ด้วย
จอห์น ฮอลลินส์ (1963–1975, 1983–1984)
นับตั้งแต่ประเดิมนัดแรกด้วยวัย 17 ปี จอห์น ฮอลลินส์ ก็ลงสนามให้ทีมเรื่อยมา และพลาดลงเล่นแค่ไม่กี่นัดจนถึงอายุ 29 ปีกับช่วงแรกใน เชลซี โดยระหว่างปี 1964 ถึง 1975 เขาลงเล่นให้ สิงห์บลู ไปถึง 400 นัด จากเกมลีกทั้งหมด 420 นัด และทำสถิติลงเล่นติดต่อกันยาวนานสุดของสโมสรที่ 167 นัด
หลังย้ายไปเล่นกับ คิวพีอาร์ และ อาร์เซน่อล เป็นเวลา 8 ปี กองหลังขวัญใจแฟนบอลใน เดอะ บริดจ์ ก็หวนคืนทีมเก่าอีกครั้งในปี 1983 ก่อนแขวนสตั๊ดและก้าวขึ้นเป็นกุนซือของทีมในปีต่อมา
อัลลัน แฮร์ริส (1960–1964, 1966–1967)
Happy birthday to Chelsea legend Ron Harris, who is 70 today! #CFC pic.twitter.com/cMBbsaegp7
— Chelsea FC (@ChelseaFC) November 13, 2014
ก่อนใช้เวลาคุมทีมชาติมาเลเซีย 4 ปี อัลลัน แฮร์ริส เคยเป็นนักฟุุตบอลอาชีพมานานกว่า 16 ปี ซึ่งรวมไปถึงการลงเล่นให้ เชลซี ถึง 2 ช่วงเวลาด้วยกัน น่าเสียดายที่ทั้ง 2 ช่วงนั้นไม่ประสบความสำเร็จในแง่ของถ้วยรางวัลเลย และทำได้ใกล้เคียงที่สุดคือเข้าชิงเอฟเอ คัพ ในปี 1967 ก่อนพ่ายให้กับ สเปอร์ส ในท้ายที่สุด
อย่างไรก็ตาม แฮร์ริส ดูไปได้สวยไม่น้อยในงานด้านโค้ช ด้วยการกลายเป็นมือขวาของ เทอร์รี่ เวนาเบิ้ลส์ ทั้งช่วงที่คุม คริสตัล พาเลซ และ บาร์เซโลน่า
แกรม เลอ โซซ์ (1989–1993, 1997–2003)
แกรม เลอ โซซ์ ย้ายมาเล่นกับ เชลซี ครั้งแรกระหว่างปี 1987 จนถึงปี 1993 เพียงแต่ตอนจบในช่วงนั้นของเขาดูไม่ดีเท่าไหร่ในสายตาของแฟนบอล ทั้งพฤติกรรมหัวร้อนตอนโดนเปลี่ยนตัว รวมถึงถอดชุดแข่งขว้างทิ้งลงพื้น จนถูกขายให้กับ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ในเวลาต่อมา
ทว่าหลังจากพา ‘กุหลาบไฟ’ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก รวมถึงมีปัญหากับ ดาวิด แบ็ตตี้ เพื่อนร่วมทีม แบ็คซ้ายชาวอังกฤษ ก็ย้ายกลับถ้ำสิงห์อีกครั้งในปี 1997 ด้วยค่าตัว 5 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นสถิติกองหลังค่าตัวแพงที่สุด ณ เวลานั้น
การกลับมาหนที่ 2 ของ เลอ โซซ์ แม้ถูกอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็มีส่วนช่วยให้ทีมคว้า 3 แชมป์บอลถ้วย ทั้ง ลีกคัพ กับ คัพ วินเนอร์ส คัพ ในปี 1998 และ เอฟเอ คัพ ในปี 2000
ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา (2004–2012, 2014–2015)
ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ถูกยกให้เป็นหนึ่งในกองหน้าที่ดีที่สุดในยุคพรีเมียร์ลีก กับผลงานการค้าแข้งกับ เชลซี ในช่วงแรก ที่พาทีมกวาดแชมป์มากมายทั้ง พรีเมียร์ลีก 3 สมัย, เอฟเอ คัพ 4 สมัย, ลีกคัพ 2 สมัย และ แชมเปี้ยนส์ลีก เป็นถ้วยส่งท้าย ก่อนย้ายออกไปในปี 2012
อย่างไรก็ตามในปี 2014 โซเช่ มูรินโญ่ ที่กลับมากุมบังเหียนใน สแตมฟอร์ด บริดจ์ คำรบที่ 2 ก็ดึง ดาวยิงไอวอรี่โคสต์ กลับมาอยู่กับทีมอีก 1 ฤดูกาล พร้อมกับบันทึกแชมป์พรีเมียร์ลีก กับ ลีกคัพ เพิ่มไปอีกอย่างละสมัย
เนมานย่า มาติช (2009–2011, 2014–2017)
คงมีไม่กี่คนที่จดจำช่วงที่ เนมานย่า มาติช ย้ายมาเล่นกับ เชลซีหนแรก แม้ทำผลงานได้โดดเด่นกับทีมชาติเซอร์เบียชุด U-21 ในปี 2009 และย้ายมาด้วยค่าตัว 1.5 ล้านปอนด์ ในปีนั้นก็ตาม
หลังลงเล่นเพียง 3 นัดตลอด 2 ฤดูกาล รวมถึงโดนปล่อยให้ วิเทสส์ อาร์เน่ม ยืมตัวไปใช้งานอีกฤดูกาล กองกลางชาวเซิร์บ ก็ถูกขายให้กับ เบนฟิก้า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของดีลคว้า ดาวิด ลุยซ์ มาค้าแข้งในลอนดอน เมื่อปี 2011
อย่างไรก็ตาม ภายใต้การดูแลของ ฆอร์เก้ เฆซุส มาติช กลายร่างเป็นกองกลางตัวรับที่น่าจับมองในยุโรป ก่อนที่อีก 3 ปีต่อมา เชลซี จะทุ่มเงินกว่า 21 ล้านปอนด์ เพื่อดึงเขากลับมาที่ เดอะ บริดจ์ พร้อมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกอีก 2 สมัย ตลอด 4 ปีในทีม
ดาวิด ลุยซ์ (2011–2014, 2016–2019)
ต่อเนื่องจากดีลสลับขั้วกับ มาติช ในปี 2011 ดาวิด ลุยซ์ ได้ย้ายมาเล่นกับ เชลซี เป็นเวลา 3 ปี โดยมีส่วนพาทีมคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ, ยูโรป้าลีก และ แชมเปี้ยนส์ลีก ก่อนย้ายไปเล่นกับ เปแอสเช ในปี 2014
อย่างไรก็ดีในปี 2016 กองหลังหัวฟู ก็กลับมาลอนดอนอีกครั้ง ด้วยค่าตัว 34 ล้านปอนด์ ซึ่งถูกกว่าที่ ‘สิงห์บลู’ เคยขายให้ทีมจากปารีสเมื่อ 2 ปีก่อนถึง 16 ล้านปอนด์ และมีส่วนช่วยให้ทีมของ อันโตนิโอ คอนเต้ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ตั้งแต่ปีแรกที่กลับมา พร้อมติดทีมยอดเยี่ยมในฤดูกาลของ PFA ด้วย
ลุยซ์ เก็บแชมป์ยูโรป้าลีก และ เอฟเอ คัพ เพิ่มอีกอย่างละสมัย ก่อนตัดสินใจย้ายไป อาร์เซน่อล ในปี 2019 และสร้างความหัวร้อนให้กับเหล่า ‘กูนเนอร์ส’ ตลอด 2 ปีที่ เอมิเรสต์ สเตเดี้ยมแทน