เกมพรีเมียร์ลีกที่ เอเมเรตท์ สเตเดี้ยม เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา น่าจะเป็นวันที่แฟนบอล “ไอ้ปืนใหญ่” อาร์เซน่อล ทั่วโลกตราตรึงใจกันถ้วนหน้า กับผลงานพลิกนรกตามหลัง บอร์นมัธ 2 ลูก ก่อนจะมายิงแซงและได้ประตูชัย 3-2ในช่วงทดเจ็บนาทีที่ 93.59 จาก รีสส์ เนลสัน ซูเปอร์ซับที่ลงมาซัดนอกกรอบเขตโทษในโมเมนต์สุดท้ายของการแข่งขัน
สถานการณ์คั่วแชมป์ ณ ตอนนี้ยังเป็น อาร์เซน่อล ที่รั้งจ่าฝูงไปอีกสัปดาห์ พร้อมมีแต้มนำห่าง “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แชมป์เก่าอยู่ 5 คะแนนเท่าเดิมในช่วงที่เหลืออีก 12 นัดสุดท้ายของฤดูกาล
สุดท้ายไม่รู้ว่า อาร์เซน่อล ที่จากต้นฤดูกาลตั้งเป้าไว้เพียงจบท็อปโฟร์ จะไปได้ไกลเกินฝันถึงการคว้าแชมป์หนแรกในรอบ 19 ปีหรือไม่ ทั้งที่ก่อนหน้านี้พวกเขาแทบไม่เคยได้อยู่ในวงโคจรลุ้นถ้วยพรีเมียร์ลีกใกล้เคียงเท่านี้มาก่อน
จากทีมที่หลุดท็อปโฟร์แบบไม่น่าเชื่อเมื่อฤดูกาลที่แล้ว เกิดอะไรขึ้นกับ อาร์เซน่อล ภายใต้การคุมทีมของ มิเกล อาร์เตต้า ในวันนี้เราลองไปหาคำตอบกัน
การเสริมทัพที่ตรงเป้าหมาย
ในช่วงซัมเมอร์ อาร์เต้า ได้ทำงานร่วมกับ เอดู ผู้อำนวยการกีฬาของสโมสร ซึ่งเป็นเพื่อนของตัวเองสมัยค้าแข้งด้วยกันที่นี่ ซึ่งเจ้าตัวได้แจ้งถึงนักเตะที่ตัวเองต้องการ ก่อนที่จะได้รับการอนุมัติในการดึงตัวเด็กเก่างสมัยเป็นมือขวา เป๊ป กวาดิโอล่า ที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อย่าง โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ เข้ามาร่วมทีม ซึ่งดาวเตะยูเครน เป็นดั่งอาวุธลับของทีมในฤดูกาลนี้ก็ว่าได้เพราะเล่นเป็น Inversted Full Back หรือฟูลแบ็คตัวใน ที่จะขยับฟูลแบ็คเข้ามาเหมือนเป็นมิดฟิลด์อีกคนที่จะคอยช่วยสร้างและปั้นเกม
นอกจากนี้ยังดึง กาเบรียล เฆซุส กองหน้าจากซิตี้ ที่เข้ามาเป็นตัวแทน โอบาเมยอง ได้อย่างลงตัว รวมไปถึง วิลเลี่ยม ซาลีบา ปราการหลังทีมชาติฝรั่งเศส ที่บ่มเพาะเก็บเลเวลอยู่ในลีกเอิงมาหลายฤดูกาลกลับมาเป็นแกนหลักในเกมรับด้วย และที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือการซื้อขาด มาร์ติน โอเดการ์ด มาจาก เรอัล มาดริด หลังยืมตัวมาเมื่อฤดูกาลก่อน พร้อมให้ความเชื่อใจด้วยการมอบปลอกแขนกัปตันทีมให้ได้ และยังมี ฟาบิโอ วิเอร่า กองกลาง ที่พร้อมจะสอดแทรกขึ้นมาเล่นกับทีมได้อีกราย
จากนั้นในช่วงปีใหม่ อาร์เตต้า ยังมองเห็นช่องโหว่ที่เกิดขึ้นในทีม ก่อนจะทำการดึง จอร์จินโญ่ กองกลางมากประสบการณ์เข้ามาช่วยงาน โธมัส ปาร์เตย์ ห้องเครื่องคนสำคัญที่มักจะมีอาการบาดเจ็บเล่นงานอยู่บ่ายครั้ง และดึง เลอันโดร ทรอสซาร์ด ที่เล่นได้หลายตำแหน่งในแนวรุกมาช่วยแบ่งเบาภาระของ มาร์ติเนลลี่ และ ซาก้า ในช่วงที่ เฆซุส เจ็บยาวนั่นเอง
เล่นด้วยแพสชั่นความกระหายชัยชนะ
หากใครได้ชมอาร์เซน่อลในช่วงหลายฤดูกาลหลัง หากโดนนำไปแล้ว แทบจะเป็นเรื่องยากมากที่เราจะได้เห็นพวกเขากลับมามีแต้มหรือคว้าชัยชนะ แต่นักเตะชุดนี้ สู้กันจนหยดสุดท้ายจริงๆ และทีมไหนก็ตามที่จะก้าวขึ้นมาลุ้นแชมป์ก็จำเป็นต้องมีสิ่งนี้
การพลิกกลับมาเอาชนะแบบเหลือเชื่อในเกมชนะบอร์นมัธ 3-1 ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรกในฤดูกาลนี้ เอาแบบที่เห็นชัดๆคือเกมที่เปิดบ้านคว่ำ แมนฯยูไนเต็ด 3-2 และเกมที่บุกไปชนะ แอสตัน วิลล่า 4-2 ประตูชัยต่างเกิดขึ้นในช่วงเวลาบาดเจ็บแทบทั้งสิ้น นั่นแสดงให้เห็นว่าจิตใจของพวกเขาพร้อมที่จะสู้ยันวินาทีสุดท้ายแบบถวายวิญญาณ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในหลายซีซั่นหลัง
นักเตะใจเป็นหนึ่งไร้อีโก้
นับตั้งแต่ ปิแอร์ เอเมอริค โอบาเมยอง ดาวยิงกัปตันทีมชาวกาบอง อำลาสโมสรไป อาร์เซน่อลชุดนี้ทั้ง 11 คนไม่มีใครที่เป็นแข้งซูเปอร์สตาร์เหนือเพื่อนร่วมทีม ทุกคนช่วยกันเล่นเป็นน้่ำหนึ่งใจเดียวกัน แกนหลักของทีมชุดนี้อยู่ที่แข้งดาวรุ่งที่ก้าวขึ้นมาทั้ง บูกาโย่ ซาก้า ,กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ ,วิลเลี่ยม ซาลีบา,อารอน แรมส์เดล โดยมีพี่ใหญ่อย่าง กรานิต ชาก้า และ โธมัส ปาร์เตย์ ยืนเป็นห้องเครื่องในแดนกลาง บวกกับประสบการณ์ของนักเตะที่เคยคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาแล้วอย่าง ซินเชนโก้ และ เฆซุส เรียกได้ว่าเมื่อรวมใจกันเป็นหนึ่ง ไม่มีแบ่งพรรคแบ่งพวก ไม่มีการชิงดีชิงเด่น ทุกคนเล่นด้วยเป้าหมายเดียวกัน ผลลัพท์จึงออกมาดีอย่างที่เห็น
สโมสรเชื่อมั่นในตัว อาร์เตต้า
แม้ว่าก่อนหน้านี้ผลงานจะดูย่ำแย่เพียงใด จนมีแฟนบอลมากมายขับไล่ให้เขาพ้นจากสโมสรหลังทำผลงานได้น่าผิดหวังเมื่อฤดูกาลที่แล้วจากการชวดท็อปโฟร์ไปแบบเหลือเชื่อ แต่ถึงเวลานี้บอร์ดบริหารยังให้ความเชื่อมั่นในกุนซือชาวสแปนิชรายนี้
อาร์เตต้า เคยพูดบอกไว้เมื่อปี 2020 ในช่วงที่เขาเข้ามาคุมทีมใหม่ๆ ด้วยการบอกกับบอร์ดบริหารรวมไปถึงแฟนบอลกันเนอร์ส ให้จงเชื่อมั่นในตัวเขา ด้วยประโยคที่ว่า “Trust the process” ก่อนจะวางกระบวนการสร้างทีม สร้างระบบ สร้างความเชื่อมั่น ของทีมชุดนี้ขึ้นมา
แน่นอนว่า การสร้างปิระมิดไม่มีทางเสร็จภายในวันเดียวและถึงเวลานี้ 3 ปีผ่านไปทุกอย่างที่ทุลักทุเล มันเริ่มเห็นผลจากสิ่งที่อดีตกองกลางกัปตันทีมได้ทำเอาไว้ จนก้าวขึ้นมาจนเป็นทีมลุ้นแชมป์ในเวลานี้
โฟกัสเป้าหมายเดียวลุ้นแบบนัดต่อนัด
ในช่วงหลัง อาร์เซน่อล มักจะพยายามไปโฟกัสกับฟุตบอลถ้วยในประเทศ ที่พวกเขามักจะมีลุ้นประสบความสำเร็จมากกว่าเกมลีก แต่ฤดูกาลนี้กลายเป็นว่าการตกรอบ คาราบาวคัพ ตั้งแต่รอบ 3 หรือการร่วง เอฟเอ คัพ ในรอบ 4 นั่นทำให้เวลานี้เป้าหมายของพวกเขานั้นชัดเจนคือการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกให้ได้ แม้จะยังมีโปรแกรมยูโรป้า ลีก รออยู่ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้โปรแกรมของทีมแน่นขนัดเหมือนที่ผ่านมา
“ไอ้ปืนใหญ่” มีบทเรียนมาแล้วในเรื่องนี้จากการที่นักเตะ ต้องเล่นในหลายถ้วยจนได้รับบาดเจ็บกันมากมาย รวมไปถึงอาการล้าที่มักแสดงออกมาให้เห็นในช่วงท้ายฤดูกาล เพราะฉะนั้นหากปีนี้มันจะเหลือลุ้นแค่ถ้วยเดียวพวกเขาก็จะสามารถใส่แบบเกินร้อยได้ในทุกนัดที่ลงสนามอย่างแน่นอน
ผลงานดวลทีมบิ๊กซิกส์ดีขึ้นแบบก้าวกระโดด
ในหลายฤดูกาลหลัง อาร์เซน่อล มักจะไม่สามารถต่อกรกับเหล่าบรรดาคู่แข่งในระดับบิ๊กซิกส์ของพรีเมียร์ลีกได้เลย เรียกว่าเจอเมื่อไหร่ทำใจเมื่อนั้น แต่มาในฤดุกาลนี้หากนับเฉพาะแค่การเจอกันเองของ ทีมซิกส์ แล้วนั้น อาร์เซน่อล เป็นทีมที่มีผลงานดีที่สุดจากทั้งหมด 6 ทีม ซึ่งหลังเล่นไป 7 เกม พวกเขาเก็บแต้มได้ถึง 15 คะแนน จากการเอาชนะ 5 นัด
โดย 5 นัดดังกล่าวประกอบไปด้วยชนะ สเปอร์ส (ในบ้าน) 3-1 , ชนะ ลิเวอร์พูล (ในบ้าน) 3-2 ,ชนะ เชลซี (ไปเยือน) 1-0 ,ชนะ สเปอร์ส (ไปเยือน) 2-0 ,ชนะ แมนฯยูไนเต็ด (ในบ้าน) 3-2
ต่อจากนี้ ไอ้ปืนใหญ่ จะเหลือเจอทีมในกลุ่มบิ๊กซิกส์อีก 3 นัดด้วยกันประกอบไปด้วย บุกไปเยือน ลิเวอร์พูล ในวันที่ 9 เม.ย. ,บุกไปเยือน แมนนซิตี้ วันที่ 26 เม.ย. และเปิดบ้านดวล เชลซี วันที่ 29 เม.ย. ซึ่งต้องติดตามกันต่อไปว่าจะสามารถผ่านด่านที่เหลือไปได้หรือไม่
DaboyG
บทความที่เกี่ยวข้อง : ที่นี่แอนฟิลด์ : 7 แข้ง-กุนซือดังหยามหงส์แดงก่อนโดนถลุงยับ