ริชาร์ลิซอน กลายเป็นนักเตะใหม่รายที่ 4 ของ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ในซัมเมอร์นี้ หลังย้ายจาก เอฟเวอร์ตัน ด้วยค่าตัวสูงถึง 50 ล้านปอนด์ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
แม้มีนักเตะชาวบราซิลเลี่ยนหลายคนที่ย้ายมาเล่นในพรีเมียร์ลีก แต่รู้หรือไม่ว่า ดาวเตะวัย 25 ปี คือนนักเตะแซมบ้าคนที่ 8 เท่านั้นในประวัติศาสตร์ของ ‘ไก่เดือยทอง’ นับตั้งแต่มีการรีแบรนด์ลีกสูงสุดของอังกฤษตั้งแต่ปี 1992 และที่ผ่านมา แข้งแซมบ้า ส่วนใหญ่ ก็ผลงานได้ไม่ดีนัก หรือหากดีก็ไปได้ไม่สุดอย่างที่ควรจะเป็น
ด้วยเหตุนี้ UFA ARENA จะพาไปพบกับ 7 แข้งบราซิลก่อนหน้า ริชาร์ลิซอน ที่เคยค้าแข้งกับ สเปอร์ส พร้อมจัดอันดับว่าพวกเขาทำผลงานได้มากน้อยแค่ไหนกับทีมจากลอนดอนเหนือ โดยนับนักเตะที่เคยเล่นให้ทีมชุดใหญ่เท่านั้น และขอสปอยล์หน่อยว่า ริชาร์ลิซอน ไม่ควรเลียนแบบทำไหร่ หากหวังปังในทีมจริงๆ
7.จิลแบร์โต้
กิลแบร์โต้ คือนักเตะคนแรกของ สเปอร์ส ที่ได้เล่นชุดใหญ่ในยุคพรีเมียร์ลีก หลังย้ายมาร่วมทีมในเดือนมกราคมปี 2008 ทว่าผลงานของเขาก็ไม่ได้ยอดเยี่ยมอย่างที่ จิลแบร์โต้ ซิลวา รุ่นพี่ร่วมชาติทำไว้กับทีมอริร่วมเมืองอย่าง อาร์เซน่อล แต่อย่างใด
เจ้าตัวประเดิมสนามในเกมพบ พีเอสวี ในศึกยูฟ่า คัพ รอบ 16 ทีมสุดท้าย แต่ก็ทำพลาดจนส่งผลให้ทีมเสียประตู ก่อนโดนใบเหลืองและถูกเปลี่ยนตัวออกในครึ่งเวลาหลัง โดยที่ ฆวนเด้ รามอส กุนซือของทีมในตอนนั้น อ้างว่าเป็นเพราะอาการบาดเจ็บน่อง ไม่ใช่เพราะความผิดพลาดจนทีมเสียประตู
แม้แบ็คแซมบ้า จะลงมาเป็นสำรองยิงประตูช่วยให้ทีมถล่ม เวสต์แฮม 4-0 ในเกมประเดิมพรีเมียร์ลีกของตัวเอง แต่ปัญหาในการเล่นเกมรับทำให้เขาได้ลงสนามเพิ่มแค่ 8 นัดเท่านั้น
Daily Mail สื่อแดนผู้ดี พาดหัวข่าวแบบเจ็บๆว่า “ในที่สุดบราซิลก็สร้างนักเตะห่วยๆออกมา” จากฟอร์มที่ จิลแบร์โต้ แสดงให้เห็นใน ไวท์ ฮาร์ท เลน ก่อนที่จะยกเลิกสัญญากับสโมสรหลังจบฤดูกาล 2008-09 และซมซานกลับไปเล่นให้ ครูเซโร่ หลังกจากนั้น
6.เปาลินโญ่
ช่วงที่ สเปอร์ส ได้เงินก้อนโตจากการขาย แกเร็ธ เบล ให้ เรอัล มาดริด ถึง 86 ล้านปอนด์ ในปี 2013 พวกเขาก็นำเงินไปชอปปิ้งซื้อนักเตะหลายราย หนึ่งในนั้นมี เปาลินโญ่ กองกลางฟอร์มดีจาก โครินเธียนส์ ด้วยค่าตัว 17 ล้านปอนด์ แถมมีดีกรีติดทีมชาติบราซิลเรียบร้อยด้วย
แม้ประเดิมสวยด้วยการคว้าแมน ออฟ เดอะ แมตช์ ในเกมพรีเมียร์ลีก นัดแรกที่ชนะ คริสตัล พาเลซ 1-0 แต่ในเวลาต่อมา กองกลางบราซิลเลี่ยน กลับไม่สามารถโชว์ฟอร์มเก่งได้เลย ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ผลงานของตัวเขาและทีมที่ย่ำแย่เกินบรรยายในเกมพ่าย ลิเวอร์พูล แบบเละเทะในเดือนธันวาคมปี 2013 ก็ส่งผลให้ อังเดร วิลลาส-โบอาส ต้องโดนปลดจากตำแหน่งกุนซือด้วย
เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ เข้ามาคุม สเปอร์ส ช่วงซัมเมอร์ก่อนฤดูกาล 2014-15 แต่ก็ได้ร่วมงานกับ เปาลินโญ่ แค่ครึ่งฤดูกาล ก่อนขายเขาให้กับ กว่างโจว เอเวอร์แกรนด์ ในตลาดหน้าหนาว
“ผมพูดเรื่องแย่ๆต่อสโมสร, สต๊าฟฟ์โค้ช หรือ ประธานไม่ได้หรอก ก็จริงนะที่มีช่วงที่ลำบากสำหรับผมในฐานะผู้เล่น และมีหลายครั้งเลยที่ผมไม่อยากออกจากอพาร์ทเมนต์ใน ลอนดอน เพราะผมเครียดตอนที่ไม่ได้ลงเล่น” กองกลางวัย 33 ปี ย้อนความหลังตอนอยู่ สเปอร์ส กับ Players’ Tribune
“สำหรับนักฟุตบอลแล้ว การไม่ได้ลงเล่น ก็เหมือนปลาที่ไม่อยู่ในน้ำ ผมรู้สึกราวกับว่าผมกำลังหายใจไม่ออก ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม ผมไม่ได้อยู่ในแผนของเมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ผมไม่เหมาะกับปรัชญาของเขา ถ้าให้เดานะ แต่เราไม่เคยมีความขัดแย้งใดๆต่อกันเลย”
5.เอแมร์ซอน รอยัล
ท็อตแน่ม ตกลงจ่ายเงินกว่า 25.8 ล้านปอนด์ให้ บาร์เซโลน่า เพื่อคว้า เอแมร์ซอน รอยัล มาร่วมทีม ในซัมเมอร์ปี 2021 และทีมจากสเปน คงยิ้มน้อมยิ้มใหญ่ที่ขายแข้งส่วนเกินออกไปได้แบบกำไรเกินกว่าที่คิดไว้หลายเท่า
แบ็คขวาชาวบราซิลเลี่ยน ประเดิมสนามได้ย่ำแย่ไม่สมกับค่าตัวที่ สเปอร์ส เสียไป และปีแรกของเขาในพรีเมียร์ลีกต้องบอกว่าสอบตกเห็นๆ โดยเฉพาะเกมรับที่ทำ ยิด อาร์มี่ หลายคนแอบคิดถึง แซร์จ ออริเย่ร์ อยู่เหมือนกัน
การมาของ อันโตนิโอ คอนเต้ อาจทำให้ เอแมร์ซอน ทำผลงานดีขึ้นบ้าง แต่โดยรวมก็ยังไม่สามารถปรับตัวให้กลายเป็นวิงแบ็คเบอร์หนึ่งในทีมได้ โดยทำไปแค่ 1 ประตู กับ 1 แอสซิสต์ จาก 41 นัดในทุกรายการ
โดยในซัมเมอร์นี้ มีรายงานว่า สเปอร์ส พร้อมปล่อย แบ็คแซมบ้า ออกไปจากทีมเช่นกัน หลังเตรียมคว้า เจด สเปนซ์ แบ็คขวาดาวรุ่งจาก มิดเดิ้ลสโบรห์ ที่โชว์เด่นจนพา น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ เลื่อนชั้นในฤดูาลกที่ผ่านมา หากเป็นจริงก็มีโอกาสสูงที่ เอแมร์ซอน ก็คงอดประสานงานกับ ริชาร์ลิซอน ในฤดูกาลใหม่
4.คาร์ลอส วินิซิอุส
หลังซัดไป 24 ประตูจาก 47 นัดในทุกรายการให้ เบนฟิก้า ในฤดูกาล 2019-20 ทำให้ โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือของ สเปอร์ส ในตอนนั้น เลือกดึง คาร์ลอส วินิซิอุส มาร่วมทีมด้วยสัญญายืมตัว 1 ปี ในซัมเมอร์ปี 2020 เพื่อตัวเลือกเสริมในแนวรุก
แต่ก็อย่างที่หลายคนคาดการณ์ไว้ว่า หอกบราซิลเลี่ยน คงเป็นได้แค่อะไหล่ของ แฮร์รี่ เคน เมื่อลงเล่นเพียง 303 นาทีในพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2020-21 และยิงไปแค่ลูกเดียวกับเกมที่เอาชนะ แอสตัน วิลล่า 2-0
ขณะที่ใน ยูโรป้า ลีก วินิซิอุส ได้โอกาสลงสนามบ่อยๆ พร้อมทำไป 6 ประตู อีกทั้งยังทำแฮตทริกแรกกับทีมในเกมดวลกับ มาริน สโมสรนอกลีกในศึก เอฟเอ คัพ ด้วย
อย่างไรก็ตาม ฟอร์มโดยรวมของเขาในบอลถ้วย ก็ไม่เพียงพอให้ สเปอร์ส อยากใช้ออปชั่นซื้อขาดเขามาร่วมทีมในราคาถึง 36 ล้านปอนด์ และเลือกส่งเขากลับไปให้ เบนฟิก้า ดูแลต่อเหมือนเดิม
3.ลูคัส มูร่า
สิ่งที่ต้องยอมรับสำหรับ ลูคัส มูร่า ถึงเป็นนักเตะที่มีฝีเท้าระดับที่ดี แต่ปัญหาคือเขามักทำผลงานไม่สม่ำเสมออย่างที่ควรจะเป็น นับตั้งแต่ย้ายมาจาก ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ด้วยค่าตัว 25 ล้านปอนด์ เมื่อเดือนมกราคมปี 2018
แต่ถึงอย่างนั้น ตัวรุกชาวบราซิลเลี่ยน ก็เป็นตัวเลือกในเกมรุกที่ไว้ใจได้รองจาก แฮร์รี่ เคน และ ซอน เฮือง มิน มาโดยตลอด โดยเฉพาะในฤดูกาล 2018-19 ที่ฟอร์มเด่นสุดๆกับ 15 ประตูในทุกรายการ และแน่นอนว่าเกมที่ทำแฮตทริกใส่ อาแจ็กซ์ ในแชมเปี้ยนส์ลีก รอบตัดเชือก เลกสอง ยังคงติดอยู่ในความทรงจำของแฟน ‘ไก่เดือยทอง’ ไม่รู้ลืม
อย่างไรก็ตาม ความไม่สม่ำเสมอของเขาก็มีอยู่ และกลายเป็นตัวเลือกสำรองในยุคของ อันโตนิโอ คอนเต้ ตามเคย หลัง เดยัน คูลูเซฟสกี้ ทำผลงานได้ร้อนแรงในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาลที่ผ่านมา และการมาของ ริชาร์ลิซอน รุ่นน้องร่วมชาติคงทำให้ มูร่า ลำบากกว่าเดิมในการแย่งตำแหน่งตัวจริงในทีม
2.เอเรลโญ่ โกเมส
เอเรลโญ่ โกเมส ย้ายมา สเปอร์ส ในยุคของ ฆวนเด้ รามอส เมื่อปี 2008 แต่ดูมีปัญหากับการปรับตัวในฟุตบอลอังกฤษในปีแรก หลังโชว์ความผิดพลาดบ่อยๆในเกม จนแฟนบอล ‘ไก่เดือยทอง’ เห็นจนท้อใจ
อย่างไรก็ตาม นายด่านแซมบ้า ก็เปลี่ยนไปในฤดูกาล 2009-10 เมื่อโชว์ฟอร์มเซฟเป็นว่าเล่นในปีนั้น พร้อมมีส่วนช่วยให้ ท็อตแน่ม คว้าตั๋วไปเล่น แชมเปี้ยนส์ลีก ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร โดยเฉพาะในเกมที่บินเซฟจนทีมคว้าชัยเหนือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1-0
หลังจากลงเฝ้าเสาไปมากกว่า 126 นัดตลอด 3 ปีในไวท์ ฮาร์ท เลน โกเมส ก็ถูกแทนที่โดย แบร็ด ฟรีเดล ในปี 2011 แถมมีช่วงที่ปล่อยให้ ฮอฟเฟ่นไฮม์ ยืมไปใช้งาน ด้วย ซึ่งหลังจากนั้นก็ได้ลงเล่นเพิ่มเติมอีก 4 นัด ก่อนย้ายซบ วัตฟอร์ด ในปี 2014
1.ซานโดร
หลังย้ายมาจาก อินเตอร์นาซิอองนาล ด้วยค่าตัว 8 ล้านปอนด์ เมื่อปี 2010 ซานโดร ก็ปรับตัวเข้ากับ พรีเมียร์ลีก ได้อย่างรวดเร็วจนกลายเป็นกองหลังตัวหลักของ สเปอร์ส โดยมีจุดเด่นที่ความมุ่งมั่นทุ่มเทเกินร้อย และลูกบู๊สู้ไม่ถอย
โดยหนึ่งในเกมที่ กองกลางตัวรับชาวบราซิลเลี่ยน โชว์ฟอร์มในสีเสื้อ ‘ไก่เดือยทอง’ ได้ยอดเยี่ยมที่สุด คงหนีไม่พ้นเกมที่พาทีมเขี่ย เอซี มิลาน ตกรอบใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ปี 2011 รอบ 16 ทีมสุดท้ายทั้ง 2 เลก
ซานโดร ลงเล่นให้สเปอร์ส มากกว่า 100 เกม พร้อมยิงประตูสวยๆให้ทีมอยู่หลายลูก แต่การบาดเจ็บหลายครั้ง ในที่สุดก็ส่งผลให้เขาไม่สามารถแสดงศักยภาพของตัวเองได้เต็มร้อย จนสุดท้ายก็ย้ายไป คิวพีอาร์ ในปี 2014 ซึ่งเป็นช่วงที่ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ เข้ามาคุมทีม และการไม่ได้ร่วมงานกับ พอช ถือเป็นหนึ่งในเรื่องที่เขาเสียใจมากที่สุดในอาชีพเลย
“นั้นถือเป็นความเสียใจมากในอาชีพของผมอย่างที่สุดเลยล่ะ ผมอยากเล่นกับทีมของ โปเช็ตติโน่ นะ” ซานโดร ย้อนความหลังผ่านการให้สัมภาษณ์กับ The Guardian สื่อแดนผู้ดีในปี 2020
“เขาพัฒนาผู้เล่นหลายคน เขาช่วยให้ ท็อตแน่ม ยกระดับขึ้น เราต่างตัดสินใจในชีวิตของเราว่าถ้าเรารู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราจะไม่ทำมัน และผมก็ทำพลาด ผมเลือกผิด และผมก็เสียใจกับมัน”