ในประวัติศาสตร์ของ ยูเวนตุส เคยคว้าแชมป์ ยูโรเปี้ยน คัพ หรือ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้ 2 ครั้ง แต่มันเกิดขึ้นครั้งสุดท้ายในฤดูกาล 1995-96 และสถานการณ์ในปัจจุบันก็ไม่มีใครบอกได้ว่าตอนไหนที่พวกเขาจะคว้าแชมป์รายการนี้ได้อีกครั้ง
ความพ่ายแพ้ต่อ บียาร์เรอัล คา อัลลิอันซ์ สเตเดี้ยม 0-3 ทำให้ ‘ม้าลาย’ จอดป้ายแค่รอบ 16 ทีมสุดท้ายในแชมเปี้ยนส์ลีก ตกรอบด้วยสกอร์รวม 1-4 และเป็นปีที่ 3 ติดต่อกันที่ต้องโบกมือลาบอลยุโรปในรอบนี้
จริงอยู่ที่ ‘เบี่ยงโคเนรี่’ ยังคงสถานะเป็นยอดทีมเบอร์ต้นๆใน อิตาลี แม้เสียแชมป์ลีกในฤดูกาลที่แล้วให้กับ อินเตอร์ มิลาน แต่ผลงานในฟุตบอลยุโรปที่สิ่งที่ตามหลอกหลอนแฟนบอล ยูเว่ เรื่อยมา
และฝันร้ายก็กำลังก้าวเข้าสู่ปีที่ 26 แล้ว หลังถูกเขี่ยตกรอบในฤดูกาลล่าสุด…
พระรอง UCL ตลอดกาล
ฤดูกาล 1995-96 คือปีสุดท้ายที่ ยูเวนตุส ได้สัมผัสถ้วยแชมป์ยุโรป ที่ต้องฝ่าอุปสรรคมากมายตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่มกับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ รวมถึงต้องไปชนกับ เรอัล มาดริด และ ม้ามืดอย่าง น็องต์ส ในรอบน็อคเอ้าท์ 8 ทีมสุดท้าย และ รอบตัดเชือก ตามลำดับ ก่อนทะลุชิงและเอาชนะ อาแจ็กซ์ แชมป์เก่าได้ในช่วงยิงจุดโทษชี้ขาด
‘ม้าลาย’ ภายใต้การดูแลของ มาร์เชโล่ ลิปปี้ ณ เวลานั้น ถือว่าแข็งแกร่งใช่ย่อย โดยประกอบไปด้วยดาวดังอย่าง อันโตนิโอ คอนเต้, แอนเจโล่ ดิ ลิวิโอ้, ดิดิเย่ร์ เดส์ชองส์, อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่, จานลูก้า วิอัลลี่ กองหน้ากัปตันทีม หรือ ฟาบริซิโอ ราวาเนลลี่ ดาวซัลโวของทีมในฤดูกาลดังกล่าวที่ซัดไป 18 ตุงในทุกรายการ
หลังจากนั้น ยอดทีมจาก ตูริน ก็ยังครองสถานะความเป็นสโมสรเบอร์ต้นๆในอิตาลี และ ยุโรป ได้เรื่อยมา แม้มีช่วงที่ตกต่ำจากคดี ‘กัลโช่โปลี’ จนถูกปรับตกชั้นในปี 2006 แต่พวกเขาก็ผงาดกลับขึ้นมาได้อีกครั้งในช่วง 5 ปีต่อมา และการคว้าแชมป์เซเรียอาได้อีก 13 สมัย นับตั้งแต่ปี 1996 ก็ทำให้พวกเขายังเป็นสโมสรที่ครองแชมป์ลีกแดนมักกะโรนีที่สุดเหนือใครในปัจจุบัน ด้วยจำนวน 36 ครั้ง
ทว่าในฟุตบอลยุโรปหลังจากนั้น ยูเว่ ไม่เคยประสบความสำเร็จอีกเลย ราวกับเป็นสโมสรต้องสาปในรายการนี้ แม้ได้เข้าไปเล่นในรอบชิงชนะเลิศถึง 5 ครั้ง หลังจากปี 1996 ผลลัพธ์ที่ออกมาก็จบลงด้วยการเป็นพระรองทุกครั้ง โดยพ่ายให้กับ ดอร์ทมุนด์ (1997), เรอัล มาดริด (1998, 2017), เอซี มิลาน (2003) และ บาร์เซโลน่า (2015)
เมื่อนับรวมสมัยยังใช้ชื่อ ยูโรเปี้ยน คัพ ด้วย ก็ทำให้พวกเขาเป็นสโมสรที่ครองตำแหน่งรองแชมป์ในรายการนี้มากที่สุดเหนือใครด้วยจำนวน 7 ครั้งด้วยกัน
จอดรอบ 16 ทีม 3 ปีติด
โอกาสใกล้เคียงแชมป์ถ้วยบิ๊กเอียร์มากที่สุดก็เกิดขึ้นในช่วงที่ มัสซิมิเลียโน่ อัลเลกรี คุมทัพช่วงแรกเช่นกัน โดยพาทีมเข้าชิง 2 ครั้ง ในปี 2015 และ 2015 ก่อนพ่ายให้กับ บาร์เซโลน่า และ เรอัล มาดริด ตามลำดับ
และหลังจากนั้นก็ไปไกลสุดแค่รอบ 8 ทีมสุดท้าย แต่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ยูเวนตุส ก็ร่วงในรอบ 16 ทีมสุดท้าย 3 ฤดูกาลติด
ที่บังเอิญไปกว่านั้นคือ พวกเขาถูกเขี่ยตกรอบด้วยทีมคู่แข่งที่ไม่ถูกมองว่าเป็นตัวเต็งในรายการนี้เลย ทั้ง โอลิมปิก ลียง ฤดูกาล 2019-20, ปอร์โต้ ฤดูกาล 2020-21 และ บียาร์เรอัล ในฤดูกาลล่าสุด
อีกทั้งทุกครั้งที่ตกรอบก็เป็นเพราะ ผู้เล่นของ เบี่ยงโคเนรี่ เองที่แสดงความผิดพลาดจนทำให้ทีมเสียจุดโทษใน อัลลิอันซ์ อารีน่า ซึ่ง เมมฟิส เดปาย, เซร์จิโอ้ โอลิเวย์ร่า และ เคราร์ด โมเรโน่ ต่างเป็นคนเปิดซิงประตูแรกเหมือนกันกับเกม ณ ตูริน
ประวัติเมื่อไม่นานนี้ชี้ให้เห็นว่าไม่ใช่เรื่องที่ควรจะแปลกใจเกินไป แต่ก่อนเกมจริงๆ ทีม ‘ม้าลาย’ ก็ดูมั่นใจสุดๆ ด้วยฟอร์มการเล่นที่ไร้พ่ายมา 21 เกมติดต่อกันในทุกรายการ
แต่ปัญหาก็คือชัยชนะมากกว่าครึ่งจาก 24 ครั้งในฤดูกาลนี้ เป็นการยิงคู่แข่งได้เพียงลูกเดียว ซึ่งในบางเกมก็มีโชคช่วยด้วย เช่นลูกครอสของ ฮวน กวาดราโด้ ที่กลายเป็นประตู หรือลูกโหม่งของ ดานิโล่ ที่ช่วยให้ทีมแบ่งแต้มกับ อตาลันต้า ในช่วงนาทีสุดท้าย
อีกทั้งการเอาชนะแค่ ลาซิโอ ทีมเดียวในบรรดาทีมท็อปซิกซ์ ก็ไม่แปลกเช่นกันที่ค่า xG (ความน่าจะเป็นของการได้ประตู) ของพวกเขา จะต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่ควรจะเป็น (อันดับที่ 11 ในเซเรียอาที่ 1.18 ต่อ 90)
จิตใจที่ยังไม่แน่วแน่
การเซ็น ดูซาน วลาโฮวิช เข้ามาในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเกมรุกของทีมได้ในทันที แม้ยิงประตูแรกให้ทีมได้ทันทีในเกมพบ เวโรน่า หรือเวลาแค่ 32 วินาทีในการประเดิมลูกแรกใน แชมเปี้ยนส์ลีก แต่ในเกมนั้น หอกชาวเซิร์บ ก็ยิงไม่กรอบอีกเลยจนถึงนาทีที่ 84
อีกทั้งใครจะตำหนิ วลาโฮวิช ได้ในเมื่อเพื่อนร่วมทีมจ่ายบอลให้เขาสำเร็จเพียงแค่ 30.3 % และมีถึง 6 จาก 10 เกมที่ วลาโฮวิช ลงเล่นโดยที่ไม่มีชื่อบนสกอร์บอร์ด
ถึงสร้างโอกาสยิงได้มากถึง 6 ครั้งในครึ่งแรกถือว่ามากกว่าที่ทีมของ อัลเลกรี ทำได้ในหลายๆเกมของฤดูกาลนี้ เพียงแต่ก็ยังไม่เด็ดขาดพอจะเป็นประตู และให้ความรู้สึกว่าอาจเป็นลางไม่ดีเท่าไหร่
อัลเลกรี พูดก่อนเกมเกี่ยวกับความสมดุลของ ยูเวนตุส ว่าทีมมีความเป็นผู้ใหญ่และแข็งแกร่งทางจิตใจมากกว่าในช่วงต้นฤดูกาลที่เจอปัญหามากมาย ทั้งฟอร์มที่ตกลง, การลาทีมกะทันหันของคริสเตียโน่ โรนัลโด้, ความผิดพลาดของวอจเซียค เชสนี่ และข้อบกพร่องของทั้งทีม จนต้องหล่นไปอยู่โซนตกชั้นช่วงหนึ่ง
นอกจากนี้ กุนซือชาวอิตาเลี่ยน ยังอ้างถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ในสัปดาห์ก่อนว่าถือเป็นบทเรียนที่ผู้เล่นของเขาต้องเรียนรู้ และชี้ว่าหากคาดหวังว่าจะเข้ารอบต่อไปใน แชมเปี้ยนส์ลีก ก็ต้องรับมือและจัดการกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันหรือเรื่องแย่ๆแบบกะทันหันให้ได้
ปัญหาเหล่านั้นดูเป็นเรื่องที่ห่างไกลจนกระทั่ง 10 นาทีสุดท้ายเมื่อคืนวันพุธ เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อ ดานิเอเล่ รูกานี่ ทำฟาวล์ ฟรานซิส โกเกอแล็ง ในกรอบเขตโทษ ก่อนที่ผู้ตัดสินจะเช็ค VAR และเป่าให้จุดโทษแก่ทีมเยือน
หลังเสียประตู อัลเลกรี พยายามแก้เกมด้วยการส่งตัวรุกอย่าง เปาโล ดีบาล่า เข้าไป แต่สุดท้าย ผู้เล่นก็รับมือสถานการณ์นั้นไม่ได้ จนโดนทีมของ อูไน เอเมอรี่ รัวเพิ่มอีก 2 ประตูในช่วงนั้น และมีสภาพไม่ต่างจาก เปเแอสเช กับเกม ณ ซานติอาโก้ เบอร์นาเบว ที่โดน เรอัล มาดริด ซัดเพิ่ม 3 ลูกรวดเมื่อสัปดาห์ก่อน
ความพ่ายแพ้คารังครั้งนี้ของ ยูเว่ ถือเป็นครั้งที่ 4 แล้วในฤดูกาลนี้ และเป็นสิ่งที่ยืนยันให้เห็นว่าพวกเขาต้องปรับปรุงอีกเยอะ ทั้งในเกมรุกและรับ รวมไปถึงการรับมือกับเรื่องไม่คาดฝันในการแข่งให้ดีกว่านี้ด้วย
ยังไม่ใช่ปีที่ล้มเหลว?
หลังเกม กุนซือ ‘ม้าลาย’ ยืนยันว่าการตกรอบ UCL ไม่ได้หมายความว่านี่เป็นปีที่แย่ของทีม เพราะพวกเขายังมีลุ้นใน เซเรียอา และ โคปปา อิตาเลีย อยู่
“ผมรู้ว่าผู้คนจะพูดถึงความล้มเหลวในเรื่องนี้ แต่ผมรู้คุณค่าของทีมๆนี้ดี เราใช้นักเตะชุดเดิมมาสองเดือนแล้ว และเรากำลังลุ้นท็อปโฟร์ในลีก และลุ้นแชมป์โคปปา อิตาเลีย ผมไม่มีอะไรจะตำหนิลูกทีมของผม เขากำลังทำสิ่งที่ไม่ธรรมดา” อัลเลกรี กล่าว
“ฤดูกาลยังคงกำเนินต่อไป เรายังมีเป้าหมายที่ต้องไปให้ถึง เราผิดหวังในรายการนี้และเราจะประเมินมันเพื่อพัฒนาทีม เราทำอย่างนั้นทุกปี โอเคล่ะยังมี 10 ทีมในยุโรปที่เหนือกว่า ยูเวนตุส แต่มันไม่ใช่เรื่องน่าอาย มันคือความจริง จากนี้เราจะมุ่งมั่นกับสิ่งที่เหลือ และเรามาดูกันว่าเราจะคว้าแชมป์ได้หรือไม่”
ณ ตอนนี้ ยูเว่ คงกลับมาโฟกัสที่บอลลีก และ บอลถ้วยในประเทศแบบเต็มตัว และนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนเป็นต้นมา ก็ถือว่าพวกเขายกระดับทีมได้ดีขึ้นพอตัว จากที่ตามหลังท็อปโฟร์ 7 แต้ม เปลี่ยนมาเป็นตามหลัง เอซี มิลาน จ่าฝูง 7 แต้ม รวมถึงเตรียมพบกับ ฟิออเรนติน่า ในรอบตัดเชือกบอลถ้วย
เพราะฉะนั้น การคว้าแชมป์รายการที่เหลือให้ได้ คงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของ ยูเวนตุส ในการลบล้างความผิดหวังจากการตกรอบ แชมเปี้ยนส์ลีก ที่แฟนๆต้องเฝ้ารอความสำเร็จนี้เป็นปีที่ 26 ไม่มากก็น้อย
แต่หากจบฤดูกาลแบบมือเปล่า ก็คงเป็นปีที่ล้มเหลวจริงๆ แบบที่ อัลเลกรี ไม่สามารถหาคำแก้ตัวไหนมาตอบโต้ได้อย่างแน่อน