ซาดิโอ มาเน่ กำลังกลายเป็นอดีตกับ ลิเวอร์พูล ไป หลังเตรียมตัวย้ายไป บาเยิร์น มิวนิค ด้วยค่าตัว 35.1 ล้านปอนด์ พร้อมฝากผลงานไว้ 120 ประตูจาก 269 เกมในทุกรายการ และคงเป็นงานยากแน่ในการหาใครสักคนมาแทนที่เขา
บางที เจอร์เก้น คล็อปป์ อาจไม่ต้องการพูดถึงข่าวลือเรื่องนักเตะย้ายทีมในงานแถลงข่าวก่อนเกมนัดชิงชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ลีกเท่าไหร่นัก แต่กับคำถามเกี่ยวกับอนาคตของ อดีตแข้ง เร้ดบลูล์ ซัลซ์บวร์ก กลับเต็มไปด้วยคำชื่นชมแบบยาวเหยียด
กุนซือ ลิเวอร์พูล อธิบายว่า ดาวเตะทีมเซเนกัล มีส่วนพัฒนาในชีวิตของเขา พร้อมกล่าวเพิ่มเติมว่าไม่สนใจข่าวลือที่มีกับ บาเยิร์น มิวนิค เพียงแต่ตอนนี้ขอสนุกกับการได้เห็นเขาทั้งในตอนซ้อมหรือลงแข่งเท่านั้น
เชื่อว่า นายใหญ่ชาวเยอรมัน อาจรู้อยู่แก่ใจแล้วก่อนเกมพบ เรอัล มาดริด ในคืนนัดชิงชนะเลิศ ว่านี่เป็นเกมสุดท้ายของเจ้าของเบอร์ 10 ในสีเสื้อ หงส์แดง จากนั้นหลายคนก็เริ่มรับทราบข่าวว่าเขาอยากย้ายทีมเพื่อหาความท้าทายใหม่ หลังวันที่พ่ายใน สต๊าด เดอ ฟร็องช์ และอีก 1 เดือนต่อมา การย้ายไป ‘เสือใต้’ ก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนขึ้น ซึ่งคาดว่าจะลงเอยอย่างเป็นทางการในเร็วๆนี้
แม้หลายคนสามารถรับรู้ได้ว่า คล็อปป์ ไม่ต้องการให้ แข้งวัย 30 ปี ลา แอนฟิลด์ ไปจากคำสรรเสริญเยินย่อในวันนั้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีความรู้สึกขุ่นเคืองใจต่อกัน หลังจากที่เขาทำทุกอย่างเพื่อสโมสรมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา
พระรองแต่ฟอร์มสม่ำเสมอ
เดิมทีเรื่องอนาคตของ มาเน่ ถูกมองเป็นเรื่องรอง เมื่อถูกสื่อโฟกัสเรื่องสัญญาของ ซาลาห์ ที่กำลังเข้าสู่ปีสุดท้ายกับ ลิเวอร์พูล จนกระทั่งเขาเริ่มตกเป็นข่าวกับ บาเยิร์น มิวนิค ในช่วงสัปดาห์ท้ายๆของฤดูกาล
ถึงเขาจะเป็นที่รักของเพื่อนร่วมทีมและเหล่า เดอะ ค็อป พร้อมได้รับคำยกย่องจากหลายคนในสโมสร แต่เรื่องของดาวเตะวัย 30 ปี ก็กลายเป็นรองเสมอ นับตั้งแต่ ดาวยิงชาวอียิปต์ย้ายมาในปี 2017
อย่างไรก็ตาม ต่อให้ ปีกทีมชาติเซเนกัล ต้องลาทีม ความสำคัญของเขาใน ลิเวอร์พูล ทั้งในช่วงที่ คล็อปป์ ก่อร่างสร้างทีม จนกลายเป็นสโมสรระดับท็อปในพรีเมียร์ลีกหรือยุโรปก็ยังคงอยู่ต่อไป และไม่มีทางลบหายไปจากความทรงจำของแฟนๆแน่นอน
จุดเริ่มต้นความยิ่งใหญ่ของ ‘หงส์แดง’ ในยุค คล็อปป์ ก็เริ่มต้นจากการมาของ มาเน่ หลังย้ายจาก เซาแธมป์ตัน ในปี 2016 ซึ่งถือเป็นนักเตะคนแรกที่กุนซือชาวเยอรมัน คว้ามาร่วมทีมอย่างเป็นทางการด้วย
นับตั้งแต่นั้น เขายิงให้ ลิเวอร์พูล ได้ถึง 90 ประตูในพรีเมียร์ลีก จากการลงเล่น 15,918 นาที แสดงให้เห็นว่าตลอด 6 ปีที่ผ่านมา เขาคือนักเตะระดับท็อปของลีกอย่างแท้จริง
เมื่อได้ประสานงานร่วมกับ ซาลาห์ ในปีต่อมา เขาก็ช่วยตอกย้ำความคาดหวังของตัวรุกริมเส้นทั้ง 2 ฝั่ง ด้วยการยิงประตูด้วยเลข 2 หลัก เป็น 6 ฤดูกาลติดต่อกัน พร้อมยิงไปอย่างน้อย 20 ประตู ถึง 4 ปี และนั่นทำให้ ปีกวัย 30 ปี ซัดไปแล้ว 120 ประตู รั้งอันดับ 14 ในตำแหน่งดาวซัลโวตลอดกาลของ หงส์แดง
ประตูเหล่านั้นช่วยเสริมสร้างความเป็นตำนานของเขาในสโมสร ขณะที่ความสม่ำเสมอของเขาก็มีส่วนสำคัญเช่นกันในการพา ลิเวอร์พูล ผงาดคว้าแชมป์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี เมื่อฤดูกาล 2019-20 รวมไปถึงแชมป์รายการอื่นๆ ทั้ง แชมเปี้ยนส์ลีก, ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ, แชมป์สโมสรโลก และ ลีกคัพ กับ เอฟเอ คัพ ในฤดูกาลล่าสุด
โดยมีผู้เล่นเพียง 3 คนเท่านั้นที่ยิงประตูในพรีเมียร์ลีกได้มากกว่า มาเน่ ในช่วงเวลาที่เขาอยู่ที่ลิเวอร์พูล (90) ซึ่งก็คือ แฮร์รี่ เคน ของสเปอร์ส (134), เพื่อนซี้อย่าง ซาลาห์ (118) และ เจมี่ วาร์ดี้ จาก เลสเตอร์ (105)
Clutch performer ประจำทีม
อันที่จริง หนึ่งในจุดแข็งที่สำคัญที่สุดของมาเน่ และสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาโดดเด่นกว่าคนอื่นในทีม คือความสามารถของเขาในการตอบสนองในช่วงเวลาสำคัญ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันหรือการเดิมพันที่สูงสุด
แข้งวัย 30 ปี เปรียบเสมือน clutch performer ของ ลิเวอร์พูล ซึ่งนี่เป็นศัพท์ในวงการกีฬาของอเมริกา ที่ไว้เรียกผู้เล่นที่ทำแต้มในช่วงเวลาสำคัญท้ายๆเกม และหลักฐานชั้นดีก็มาจากตัวเลขที่เขาแสดงออกมา
โดยรายงานจาก Opta สื่อนักเก็บสถิติกีฬาระดับโลก เผยว่า ประตูที่ยอดแข้งชาวเซเนกัล ทำได้ ช่วยให้ คล็อปป์ เก็บแต้มได้ถึง 63 คะแนนในพรีเมียร์ลีก เฉลี่ยแล้วทำได้มากกว่า 10 แต้มต่อฤดูกาล
นอกจากนี้ พี่ณเดชน์ของ เดอะ ค็อป ยังเป็นคนที่คอยขี้ขาดในเกมรายการบอลถ้วยด้วย โดยตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดมาจากในฤดูกาลล่าสุดของศึก เอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศที่พบ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ เวมบลี่ย์ ด้วยการเหมา 2 ประตูพาทีมเข้ารอบชิง พร้อมได้ชูถ้วยเหนือ เชลซี ในบั้นปลาย
ส่วนในเวที ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก สถิติแบบดิบแสดงให้เห็นว่า ซาลาห์ อาจยิงได้มากกว่าเขาที่ 33 ต่อ 24 ประตู กับ ลิเวอร์พูล แต่ในรอบน็อคเอ้าท์ เจ้าของหมายเลข 10 ในแอนฟิลด์ ยิงประตูในรอบน็อคเอ้าท์ได้ถึง 15 ลูก คิดเป็น 63% ขณะที่ ดาวยิงทีมชาติอียิปต์ ทำได้ 11 ลูก หรือเพียง 33% เท่านั้น
หากนับตั้งแต่ปี 2016 เป็นต้นมา มีเพียง คริสเตียโน่ โรนัลโด้, คาริม เบนเซม่า และ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ เท่านั้นที่ยิงประตูในรอบน็อคเอ้าท์แชมเปี้ยนส์ลีกได้มากกว่า ซึ่งเป็นอีกสถิติที่เน้นย้ำว่าเขามีความกระหายในช่วงเวลาที่สำคัญไม่แพ้ใคร
ตำแหน่งไหนก็ไม่เกี่ยง
การมีส่วนร่วมของ มาเน่ ต่อความสำเร็จของ ลิเวอร์พูลภายใต้การคุมทีมของคล็อปป์นั้นน่าประทับใจยิ่งกว่าเมื่อพิจารณาจากการปรับตัวที่เขาต้องทำตลอดเส้นทาง ทั้งการเปลี่ยนจากปีกขวาไปเป็นปีกซ้ายเพื่อรองรับการมาของ ซาลาห์ ในปี 2017 รวมไปถึงล่าสุดที่เปลี่ยนมาเล่น กองหน้า ในบางครั้งเพื่อขยับให้ หลุยส์ ดิอาซ ได้โอกาสลงเล่นเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา
แต่ละบทบาทมาพร้อมกับข้อกำหนดทางแท็คติกที่แตกต่างกัน แต่เขาก็เปลี่ยนไปอย่างราบรื่นทุกครั้ง แสดงให้เห็นถึงระดับมันสมองที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้คุณสมบัติทางกายภาพและทางเทคนิคของเขาเลย
“ในแต่ละตำแหน่ง เขาคือนักเตะระดับโลก” คล็อปป์ กล่าวถึงลูกทีมคนเก่ง
ขณะที่ เจมี่ คาร์ราเกอร์ กูรูจาก Sky Sports และอดีตนักเตะ ‘หงส์แดง’ กล่าวว่า “เขาพร้อมย้ายไปเล่นตำแหน่งอื่นเพื่อคนอื่นๆเสมอ แต่ฟอร์มของเขาไม่เคยตกเลย ไม่สำคัญหรอกว่ามาเน่จะเล่นตำแหน่งไหน คุณจะได้รับจากเขาเหมือเดิมทุกอย่าง สิ่งนี้ไม่สามารถพูดได้เลยสำหรับผู้เล่นตัวรุกที่เหลือของลิเวอร์พูล”
คำพูดสุดท้ายของ คาร์ร่า ไม่ใช่เรื่องเกินจริงแต่อย่างใด เพราะไม่ว่าจะเป็น โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ก็โดดเด่นที่สุดยามเล่นเป็นกองหน้าแบบฟอล์สไนน์เท่านั้น หรือแม้กระทั่ง ซาลาห์ เองก็ตามที่แสดงให้เห็นว่าฟอร์มตกไปบางช่วงเช่นกัน ต่อให้ได้เล่นในปีกขวาที่ถนัดก็ตาม
มาเน่อาจไม่ได้รับการยอมรับหรือเชิดชูอย่างที่สมควรได้รับกับบทบาทของเขาในความสำเร็จในช่วง 6 ปีที่ผ่านมาของลิเวอร์พูล แต่ความสำคัญของเขาในทีมไม่ใช่สิ่งที่เกินจริงแต่อย่างใด เมื่อพูดถึงช่วงเวลาสำคัญและโอกาสที่เป็นตัวชี้วัดผลแพ้ชนะในเกมสำคัญ
การจากไปของเขาจะสร้างช่องว่างขนาดใหญ่ ที่แม้แต่ ดาร์วิน นูนเญซ ดาวยิงตัวใหม่ฟอร์มแรงที่คว้ามาจาก เบนฟิก้า ก็อาจพบว่าเรื่องยากที่จะเติมเต็มได้ในเวลาอันสั้น ทั้งในแง่ของการทำประตูและความสม่ำเสมอ