พรีเมียร์ลีก อังกฤษ มักเต็มไปด้วยกองหลังชั้นยอดมากมาย แต่ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็ให้กำเนิดแนวรับจอมเฟอะฟะอยู่ไม่น้อยเช่นกัน และชื่อของ ชโคดราน มุสตาฟี่ กับ นิโคลาส โอตาเมนดี้ ก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้นเช่นกัน
ช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา อดีตปราการหลังจาก อาร์เซน่อล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เคยเป็นกองหลังที่โดนหลายคนเย้ยหยันมากที่สุดในพรีเมียร์ลีกอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่งเลยก็ว่าได้ ก่อนทั้งคู่จะย้ายไปตามทางตัวเองในเวลาต่อมา หลังกลายเป็นตัวหลักในสโมสรแดนผู้ดีไม่ได้
แต่เชื่อหรือไม่ว่าครั้งหนึ่ง มุสตาฟี่ และ โอตาเมนดี้ เคยเล่นเป็นเซ็นเตอร์แบ็คคู่กันมาก่อน ในสมัยที่ค้าแข้งในลาลีก้า สเปน กับ บาเลนเซีย และทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมกว่าสมัยเล่นในอังกฤษหลายเท่า
UFA ARENA จะพาไปพบอดีต 2 แนวรับจากทีมค้างคาวที่เคยสร้างปรากฏการณ์อะไรบ้างในแดนกระทิง ก่อนจะย้ายมาล้มเหลวกับลีกผู้ดีในเวลาต่อมา
จุดอ่อนของค้างคาว
ช่วงเวลาดังกล่าวเกิดขึ้นในฤดูกาล 2014-15 ซึ่งเป็นปีที่ บาร์เซโลน่า คว้าแชมป์ลีกไปครองเหนือ เรอัล มาดริด คู่อริตลอดกาล 2 แต้ม ต้องขอบคุณแนวรุก ‘MSN’ อย่าง ลิโอเนล เมสซี่, หลุยส์ ซัวเรซ และ เนย์มาร์ ที่ช่วยกันทำประตูเป็นกอบเป็นกำ
ขณะที่ ‘ราชันชุดขาว’ ก็มีแนวรุกที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้กันภายใต้การคุมทีมของ คาร์โล อันเชล็อตติ ที่ช่วยให้ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ซัดไปถึง 48 ลูกในปีนั้น
แต่ในขณะที่ 2 สโมสรเบอร์ต้นๆของโลกกำลังต่อสู้แย่งอันดับหัวตาราง ก็มีหลายทีมที่แฟนบอลมากมายมองว่าพวกเขามีศักยภาพในการลุ้นคว้าอันดับ 2 ของลีกเลยด้วยซ้ำ
ไม่ว่าจะเป็น แอตเลติโก้ มาดริด แชมป์เก่าที่ฟอร์มตก แต่ก็ยังมีลุ้นคว้ารองแชมป์, เซบีย่า ยุคเจ้ายุโรปถ้วยเล็กของ อูไน เอเมอรี่ และ บาเลนเซีย ที่มี นูโน่ เอสปิริโต้ ซานโต้ อดีตกุนซือวูล์ฟแฮมป์ตัน กุมบังเหียนอยู่ ณ ตอนนั้น
ประตูคือสิ่งที่การันตีตำแหน่งสูงๆในฤดูกาลนั้น ซึ่งแต่ละทีมเต็มไปด้วยดาวยิงระดับพระกาฬทั้งสิ้น ทั้ง โรนัลโด้, เบนเซม่า จาก ‘โลส บลังโกส’, MSN จาก บาร์ซ่า, อองตวน กรีซมันน์ ของ ‘ตราหมี’ , คาร์ลอส บัคก้า จากเซบีย่า หรือ อาริตซ์ อาร์ดูริซ ของ แอธเลติก บิลเบา ก็ยิงได้อย่างน้อย 15 ลูกในฤดูกาลนั้น
ซึ่งสิ่งที่กล่าวมานี้คือปัญหาหลักของทีม ‘ค้างคาว’ ที่ไม่ได้มีจุดเด่นในเกมรุกซักเท่าไหร่ แน่นอนว่า พวกเขามี ปาโก้ อัลกาเซร์ ที่ยิงไป 14 ประตูในทุกรายการ, อัลบาโร่ เนเกรโด้ หอกร่างโย่งตัวสำรอง และ การบัญชาเกมแดนกลางของ ดานี่ เปเรโฆ่ แต่โดยรวมก็ยังสู้ทีมอื่นๆบนหัวตารางไม่ได้นัก
2 ดาวเด่นแผงหลัง
ดังนั้น แทนที่พวกเขาจะปรับปรุงเกมรุก บาเลนเซีย หันมาโฟกัสไปกับการเล่นเกมรับที่เหนี่ยวแน่นแทน
รังเมสตาย่า กลายเป็นป้อมปราการ ทีมฉายา ‘ค้างคาว’ เสียประตูไปแค่ 32 ลูกในลีกฤดูกาลนั้น น้อยที่สุดเป็นอันดับ 3 ในลาลีก้า และแพ้เพียง 5 นัด ในเกมลีก มากไปกว่านั้น ดีเอโก้ อัลเวซ เป็นนายทวารที่ทำผลงานได้ดีที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจาก เคลาดิโอ้ บราโว่ นายด่านจอมหนึบจากบาร์เซโลน่าเท่านั้น
บรรดาแผงหลังของ บาเลนเซีย ได้รับการยกย่องอย่างมากจากกูรูลูกหนังในสเปน โดยเฉพาะ นิโคลาส โอตาเมนดี้ ที่ติดทีมยอดเยี่ยมประตูฤดูกาลของ ลาลีก้า เหนือ เคราร์ด ปิเก้ และ เซร์คิโอ รามอส หลังแข้งชาวอาร์เจนไตน์ ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมทั้งในด้านความเป็นผู้นำ, การตัดสินใจ (และหลายอย่างที่เขาทำมันหายไปกับ แมนซิตี้ ในตอนนี้) อีกทั้ง ความสามารถในลูกกลางอากาศยังช่วยให้เขาทำได้ 6 ประตู ในฤดูกาลนั้นด้วย
ส่วนคู่หูของ โอตาเมนดี้ คือ กองหลังวัย 22 ปี นามว่า ‘ชโคดราน มุสตาฟี่’ ที่ได้รับความสนใจจากสโมสรทั่วยุโรป แม้จะไม่ใช่แนวรับที่มีรูปร่างสูงใหญ่ที่สุดในลาลีก้า แต่ก็ทดแทนด้วยความสามารถในการเล่นบอลกับเท้าที่ดี รวมไปถึงการเข้าบอลที่ถึงลูกถึงคนจนทำให้เขาได้รับใบเหลืองไปถึง 19 ใบในปีนั้นปีเดียวเลย
ก้าวสู่จุดตกต่ำ
จากผลงานเกมรับที่เหนี่ยวแน่นและโดดเด่นเกินใคร ทำให้ 2 กองหลังต่างสัญชาติได้รับความสนใจจากทีมดังมากมาย และมีโอกาสร่วมงานกันแค่ฤดูกาลเดียวเท่านั้น เมื่อ เรือใบสีฟ้า คว้า โอตาเมนดี้ ไปร่วมทีม พร้อมกับ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ในฤดูกาล 2015-16
ขณะที่ มุสตาฟี่ ได้ย้ายมาค้าแข้งในพรีเมียร์ลีกกับ ปืนใหญ่ ในปีต่อมา ด้วยค่าตัว 35 ล้านปอนด์ ซึ่งทำให้เขาติด 1 ใน 20 กองหลังที่มีค่าตัวแพงที่สุดตลอดกาลด้วย นับตั้งแต่นั้นกองหลังชาวเยอรมัน ก็กลายเป็นนักเตะที่ เหล่า ‘กูนเนอร์’ ก่นด่ากันมากที่สุด หลังไม่สามารถทำผลงานได้เข้าตาในลีกผู้ดีเลย
นี่จึงเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมากๆ เนื่องจากก่อนหน้านี้ทั้งคู่เคยได้รับการยกย่องอย่างมาก แต่ในตอนนี้หลายคนกลับมองว่าพวกเขาเป็นของปลอมทำเหมือนซะมากกว่า
โอตาเมนดี้ ที่แสดงความผิดพลาดอยู่หลายครั้งใน เมื่อบวกกับการขาดหายไปของ อายเมริค ลาปอร์ต ส่งผลการป้องกันแชมป์ของ ซิตี้ เหลือน้อยมากๆ ก่อนเสียแชมป์ให้กับ ลิเวอร์พูล ณ ท้ายที่สุดในฤดูกาล 2019-20
เรื่องนี้แย่ถึงขั้นที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กุนซือของทีม ต้องปรับให้ แฟร์นานดินโญ่ และ โรดรี้ มาเล่นเป็นกองหลังเฉพาะกิจในบางนัดเลยด้วยซ้ำ
ขณะที่ มุสตาฟี่ ที่มีส่วนทำให้ทีมเสียประตูอยู่บ่อยครั้ง และมีมีวี่แววว่าจะดีขึ้นเลย จนทำให้แฟนบอล ‘ปืนใหญ่’ เอื่อมระอา ยามเห็นแข้งชาวเยอรมันลงสนามเป็นตัวจริงๆ
นั่นทำให้ตลอดปี 2020 มุสตาฟี่ และ โอตาเมนดี้ จะเป็นนักเตะเบอรต้นๆที่มีข่าวว่าสโมสรต้องการจะปล่อยพวกเขาออกจากทีมมากที่สุดในช่วงซัมเมอร์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าทั้งคู่ห่างไกลจาก ความยอดเยี่ยมอย่างที่พวกเขาเคยแสดงให้หลายคนเห็นตอนอยู่ บาเลนเซีย นานโขแล้ว
หลังลา อาร์เซน่อล มุสตาฟี่ ก็ย้ายไปเล่นกับ ชาลเก้ และ เลบานเต้ ในปัจจุบัน ส่วน โอตาเมนดี้ ก็ย้ายไป เบนฟิก้า ในปี 2020 สลับขั้วกับ รูเบน ดิอาส ที่ย้ายไปเป็นกองหลังดาวเด่นของ ซิตี้ หลังจากนั้น
แต่สิ่งที่ทั้งคู่ยังดูเหมือนกันไม่เปลี่ยนจากสมัยเล่นใน พรีเมียร์ลีก ก็คือฟอร์มการเล่นที่ห่างไกลจากความยอดเยี่ยม จนหลายคนอาจลืมไปแล้วว่าพวกเขาเคยได้รับการยกย่องให้เป็นกองหลังที่น่าจับจาเป็นอันดับต้นๆในยุโรปด้วยซ้ำ