ศึกฟุตบอลบุนเดสลีกา เยอรมัน ได้บทสรุปไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และก็เป็นอีกครั้งที่แชมป์ยังไม่เปลี่ยนมือ “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิค ที่สภาพห่วยแตกสุด ๆ ในฤดูกาลนี้ยังคงครองความยิ่งใหญ่คว้าแชมป์ 11 สมัยติดต่อกัน
ผลพวงจากความผิดพลาดของผู้ท้าชิงอย่าง “เสือเหลือง” โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ที่ทิ้งโอกาสครั้งสำคัญในเกมนัดสุดท้าย ทำได้เพียงเปิดบ้านเสมอกับ ไมนซ์ 05 ที่ไม่น่าจะมีอะไรเลย 2-2
เรียกได้ว่าสะเทือนใจเหล่ากองเชียร์ของ ดอร์ทมุนด์ และกองแช่งของ บาเยิร์น มิวนิค เป็นอย่างมาก ทั้งสองทีมมีแต้มเท่ากันที่ 71 คะแนน แต่ทว่าทีมดังจากแคว้นบาวาเรียมีลูกได้เสียที่ดีกว่า ทำให้ผงาดคว้าแชมป์ไปครองได้สำเร็จ
แต่ในลีกรองก็ถือว่าลุ้นกันสนุกจนถึงวันสุดท้ายเช่นกันกับความมหัศจรรย์ของ ไฮเดนไฮม์ ที่พลิกนรกคว้าแชมป์ในวันสุดท้าย ส่วนจะเป็นอย่างไร UfaArena จะพาไปดูกัน
๐ 9 นาทีแห่งการพลิกชะตาชีวิต
บุนเดสลีกา เยอรมัน ว่าดราม่าแล้ว แต่ลีกา 2 ก็ดราม่าไม่แพ้กันในการลุ้นเลื่อนชั้นสู้ลีกสูงสุดในวันสุดท้าย
ก่อนเกมการแข่งขันนัดสุดท้าย สถานการณ์ของ ดาร์มสตัดท์ การันตีการเลื่อนชั้นเป็นที่แน่นอนแล้วเพราะพวกเขามี 67 แต้ม ตามมาด้วยอันดับ 2 อย่าง ไฮเดนไฮม์ มี 64 แต้ม และอันดับ 3 อย่าง ฮัมบูร์ก 63 แต้ม
โควตาในการเลื่อนชั้นคือเอา 2 ทีมขึ้นไปเล่นบนลีกสูงสุด ฤดูกาลหน้าแบบอัตโนมัติ ส่วนอันดับ 3 จะต้องไปเล่นเพลย์ออฟกับทีมอันดับ 16 ของบุนเดสลีกา เยอรมัน ก็คือ “ม้าขาว” สตุ๊ตการ์ท ที่รออยู่แล้ว
ดาร์มสตัดท์ โจทย์ไม่ยากพวกเขาขอแค่เสมอก็จะคว้าแชมป์ลีกรองของเยอรมัน ทันที แต่ทว่ากลับพลาดท่าบุกไปพ่ายให้กับ กรอยเธอร์ เฟือร์ท ทีมท้ายตารางที่ไม่มีลุ้นอะไรแล้วแบบยับเยินชนิดที่หมอไม่รับเย็บ 0-4
ขณะที่ ฮัมบูร์ก ก็จบเกมได้ตามเป้าหมายด้วยการบุกไปเฉือน แซนด์เฮาเซ่น ได้ 1-0 เหล่าแฟนบอลและนักเตะของทีม “สิงห์เหนือ” ต่างพากันวิ่งลงมาดีใจสนามฉลองความสำเร็จ คิดว่าพวกเขาได้เลื่อนชั้นด้วยการเป็นรองแชมป์แน่ ๆ เพราะอีกคู่ ไฮเดนไฮม์ กำลังเสียท่าบุกไปโดน ยาห์น เรเกนสบวร์ก นำอยู่ 2-1 เข้าสู่ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ
สถานการณ์ในตอนนั้น ดาร์มสตัดท์ ที่แพ้เละจะกลายเป็นแชมป์เพราะมีอยู่ 67 คะแนน ส่วนอันดับ 2 คือฮัมบูร์ก ที่มี 66 แต้ม สองทีมนี้กำลังจะกอดคอกันเลื่อนชั้นสู่บุนเดสลีกา เพราะไฮเดนไฮม์ มีแค่ 64 คะแนนหล่นไปอยู่อันดับ 3 ของตาราง
แต่ทว่าในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ 9 นาที กลับมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นแบบไม่น่าเชื่อเพราะพวกเขาต้องการ 2 ประตูเพื่อพลิกสถานการณ์ถือว่ายากสุด ๆ
แต่.. ไฮเดนไฮม์ สามารถทำได้!!! เมื่อมาได้จุดโทษในช่วงทดเจ็บ 90+3 ยาน-นิคลาส เบสเท่อ รับหน้าที่สังหารเข้าไปทำให้ไล่ตามตีเสมอ 2-2
เท่านั้นยังไม่พอ! ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีสุดท้าย 90+9 ทิม ไคลน์ไดนส์ต หัวหอกดาวซัลโวประจำทีมก็มาทำประตูชัยให้ไฮเดนไฮม์บุกพลิกแซงเอาชนะ ยาห์น เรเกนสบวร์ก ไปแบบสุดมันส์ 3-2
ชัยชนะในเกมนี้ส่งผลให้พวกเขามี 67 คะแนน เท่ากับ ดาร์มสตัดท์ แต่ลูกได้เสียดีกว่าเยอะเพราะบวกอยู่ที่ 31 ขณะที่ดาร์มสตัดท์บวกแค่ 17 พลิกสถานการณ์ผงาดแซงคว้าแชมป์ทันที พร้อมคว้าตั๋วเลื่อนชั้นขึ้นสู่บุนเดสลีกา เยอรมัน เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร
ทีมที่ชอกช้ำยิ่งกว่า ดาร์มสตัดท์ คือ ฮัมบูร์ก เพราะเหล่าแฟนบอลวิ่งลงสู่สนามโพล์คสปาร์คสตาดิโอน เพื่อไปฉลองกับนักเตะ แต่ผลอีกคู่จบ พวกเขาต้องหล่นมาอยู่ที่ 3 เป็นอีกครั้งที่อดเลื่อนชั้นแบบอัตโนมัติ เพราะซีซั่นที่แล้วก็จบอันดับ 3 ต้องไปเล่นเพลย์ออฟและพ่ายให้กับ “หญิงชรา” แฮร์ธ่า เบอร์ลิน
ก็ต้องรอดูว่า “สิงห์เหนือ” จะฉายหนังม้วนเดิมอีกหรือไม่ เพราะคราวนี้พวกเขาต้องดวลกับ “ม้าขาว” สตุ๊ตการ์ท เล่นกันแบบเหย้า-เยือน นัดแรกวันพฤหัสบดีที่ 1 มิถุนายน ส่วนนัดสองวันจันทร์ที่ 5 มิถุนายน ก็ต้องมาลุ้นกันว่าใครจะอยู่ใครจะไป..
๐ ทีมโนเนมจากเมืองเล็ก
สำหรับ ไฮเดนไฮม์ แรกเริ่มเดิมทีพวกเขายังไม่ได้เป็นสโมสรฟุตบอล โดยเป็นสมาคมกีฬาประจำเมือง ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1846 หรือ 176 ปีที่แล้ว แต่ไม่มีแผนกกีฬาฟุตบอล ชื่อเต็ม ๆ ของพวกเขาคือ FC Heidenheim 1846 ถ้านับตามอายุหลายคนคงสงสัยว่านี่คือทีมที่เก่าแก่ที่สุดในวงการฟุตบอลเยอรมันหรือไม่ คำตอบคือ.. ไม่ใช่ครับ
เพียงแค่ตัวเลข 1846 คือต้นกำเนิดของสมาคมกีฬาในเมืองแห่งนี้เพราะตอนแรกพวกเขาคือสโมสรกีฬายิมนาสติก บุคคลดังระดับโลกที่เกิดในเมืองแห่งนี้คือ นายพล เออร์วิน รอมเมล หนึ่งในขุนพลสำคัญของทัพนาซี เจ้าของฉายา “จิ้งจอกทะเลทราย” กับสมรภูมิรบที่แอฟริกา ในช่วงสงครางโลกครั้งที่ 2
ไฮเดนไฮม์ เป็นเมืองเล็กในแคว้นบาเดน-เวือร์ทเทมแบร์ก มีประชากรอาศัยอยู่เพียงราว ๆ 49,000 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้ใช้แรงงานในระดับลูกจ้างอุตสาหกรรมโรงงาน ฟุตบอลไม่ใช่กีฬาที่โดดเด่นที่สุด แต่เป็นทีมเบสบอลที่ประสบความสำเร็จมากกว่า
โดยทีมฟุตบอลทีมแรกที่ก่อตั้งในเมืองแห่งนี้คือ VfB Heidenheim โดยวิศวกรท้องถิ่นหลังจากนั้นสโมสรก็ได้มีการเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนมือผู้เข้าครอบครองกิจการอยู่หลายต่อหลายครั้ง ในปี 1972 พวกเขาใช้ชื่อว่า TSB Heidenheim ตลอดศตวรรษที่ 20 หรือ (ในรอบ 100 ปี) เล่นอยู่ในลีกระดับล่างของเยอรมันตามภูมิภาคได้เข้าร่วมบอลถ้วย เดเอฟเบ โพคาล ในบางครั้ง
๐ ยุคใหม่ถือกำเนิด
หลังอยู่ในแผนกกีฬาของเมืองมานาน สโมสร ไฮเดนไฮม์ ยุคใหม่หรือทีมปัจจุบันได้เริ่มก่อร่างสร้างตัวเมื่อปี 2007 หลังจากที่ได้แยกตัวออกมาจาก “Heidenheimer Sportbund” ย้อนกลับไปในฤดูกาล 2003-04 พวกเขายังเล่นอยู่ใน “แฟร์บันลีก้า” หรือลีกระดับ 5 ก่อนจะใช้เวลา 4 ปี ในการถีบตัวเองขึ้นมาอยู่ใน โอเบอร์ลีกาหรือลีกระดับ 4 “เรกิโอนาลลีกา ซูดเวสต์” ลีกภูมิภาคในแคว้นบาเด้น-เวิอร์ทเทมแบร์ก
ในปี 2009 ได้ก้าวขึ้นสู่ ลีกา 3 เยอรมัน ซึ่งเป็นปีเดียวกันที่ แอร์เบ ไลป์ซิก ก่อตั้งสโมสร โดยใช้เวลาในลีกา 3 อยู่ 5 ฤดูกาลก่อนจะคว้าแชมป์ในซีซั่น 2013-14 เลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นลีกา 2 เป็นครั้งแรกของสโมสร
ซึ่งเส้นทางในการก้าวสู่ลีกสูงสุดของพวกเขาไม่ง่ายเลย ตั้งแต่ปี 2014 เลื่อนชั้นขึ้นมาถึงปี 2022 จบอันดับ 3 ได้เพลย์ออฟแค่ 1 ครั้งคือฤดูกาล 2019-20 แต่ก็ต้องพ่ายให้กับ “นกนางนวล” แวร์เดอร์ เบรเมน ไปแบบน่าเจ็บใจด้วยผลสกอร์รวมสองนัดเสมอกัน 2-2 พ่ายด้วยกฎประตูทีมเยือน
จนมาในฤดูกาลนี้พลิกสถานการณ์คว้าแชมป์คว้าตั๋วเลื่อนชั้นไปเลย ไม่ต้องไปลุ้นเพลย์ออฟอีก ได้เฉลิมฉลองการขึ้นสู่บุนเดสลีกา เยอรมัน เป็นครั้งแรกแบบเหลือเชื่อ
ส่วนสนามเหย้าของพวกเขาคือ โฟธ-อารีน่า ก่อตั้งเมื่อปี 1972 ในตอนนั้นใช้ชื่อว่า อัลบ์สตาดิโอน มีความจุเพียง 8,000 คน หลังจากนั้นทีมได้พัฒนาขึ้นก็ได้เริ่มทำการขยายสนามจนในปัจจุบันจุผู้ชมได้ 15,000 หรือหนึ่งใน 5 เท่าของ อัลลิอันซ์ อารีน่า รังเหย้าของ บาเยิร์น มิวนิค และเปลี่ยนชื่อมาเป็น โฟธ-อารีน่า ตามชื่อของสปอนเซอร์ที่สนับสนุนสโมสร
๐ ฟรังค์ ชมิดท์ กุนซือผู้พาทีมจากลีก 5 สู่ลีกสูงสุด
หากจะพูดถึงบุคคลที่มีอิทธิพลต่อการเลื่อนชั้นของ ไฮเดนไฮม์ มากที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้น ฟรังค์ ชมิดท์ กุนซือวัย 49 ปี ที่เกิดในเมืองแห่งนี้ แต่ไปเล่นฟุตบอลอาชีพกับ เอฟซี เนิร์นแบร์ก เขาไม่เคยลงเล่นในบุนเดสลีกา เยอรมัน มาก่อน อยู่กับทีมในตอนนั้นก็เป็นผู้เล่นระดับเยาวชน เคยติดทีมชาติเยอรมัน ไปลุยฟุตบอลโลกรุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี เมื่อปี 1993 หลังจากนั้นก็พเนจรไปเรื่อย จนในปี 2003 เข้าย้ายกลับมาค้าแข้งในบ้านเกิดกับ ไฮเดนไฮม์ ที่ในตอนนี้ยังใช้ชื่อ Heidenheimer SB
ชมิดท์ เล่นในตำแหน่งกองหลังใช้เวลา 4 ปีกับสโมสรก่อนจะแขวนสตั๊ดไปเมื่อปี 2007 ในตอนที่ทีมกำลังปรับโครงสร้างพอดีเปลี่ยนชื่อจาก Heidenheimer SB มาเป็น ไฮเดนไฮม์ หรือชื่อในปัจจุบัน เขาขึ้นมารับหน้าที่กุนซือของทีมในยุคใหม่ต่อจาก ดีเตอร์ แมร์เคิล เพียงแค่ฤดูกาลแรกก็สามารถพาทีมจบอันดับ 4 เลื่อนชั้นได้สำเร็จ
ตั้งแต่ปี 2007 เขาพาทีมไต่ระดับขึ้นมาเรื่อย ๆ โดยใช้เวลาอยู่กับทีมนานถึง 16 ปี จากลีกระดับ 5 กว่าจะขึ้นมาเล่นบนลีกสูงสุด มาในแนวเดียวกับ คริสเตียน สไตร์ช ที่เริ่มงานโค้ชในทีมเยาวชนของไฟร์บวร์ก ตั้งแต่ปี 1995 ก่อนจะขึ้นมาคุมชุดใหญ่เมื่อปี 2011 พาทีมไปลุยฟุตบอลยุโรปมากแล้ว และปัจจุบันก็ยังคงคุมอยู่ ทำเอาโฮลเกอร์ ซานวัลด์ ซีอีโอของไฮเดนไฮม์ เคยยิงมุกตลกว่า ฟรังค์ ชมิดท์นั้นมีสัญญากับทีม “ตลอดชีพ”
นอกจากนี้ ชมิดท์ ยังคงปลุกปั้น โฟลเรียน นีเดอร์เลชเนอร์ ให้โด่งดังก่อนจะย้ายไปค้าแข้งกับหลายทีมในบุนเดสลีกา แม้ว่าปัจจุบันทีมของเขาอย่าง แฮร์ธ่า เบอร์ลิน จะร่วงตกชั้นก็ตาม
ถือว่าเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่สุด ๆ ในฐานะโค้ชในการพาทีมจากลีกระดับ 5 ก้าวขึ้นมาเล่นในบุนเดสลีกา เขาต้องต่อสู้อย่างหนักด้วยความอดทนมาเป็นระดับเวลา 16 ปี เรียกได้ว่าน่าชื่นชมไม่แพ้กุนซือใด ๆ ในโลก
๐ คีย์แมนในทีมชุดนี้
ย้อนกลับไปในช่วงซัมเมอร์ปีที่แล้ว พวกเขาตัดสินใจขาย โทเบียส มอห์ร ตัวริมเส้นฝั่งซ้ายไปให้กับ “ราชันสีน้ำเงิน” ชาลเก้ 04 ได้เงินมา 1.1 ล้านยูโร กุนซือ ฟรังค์ ชมิดท์ ตัดสินใจเจียดเงินที่มี 350,000 ยูโร ไปซื้อ ยาน-นิคลาส เบสเท่อ ในวัย 24 ปี ซึ่งเป็นผู้เล่นในตำแหน่งเดียวกันจาก “นกนางนวล” แวร์เดอร์ เบรเมน เข้ามาเสริมแทน
“ผมได้รับโทรศัพท์จากโค้ช (ฟรังค์ ชมิดท์) 2 ครั้ง การพูดคุยเป็นไปในทิศทางบวก มันเป็นความรู้สึกที่ผมไม่เคยได้รับจากโค้ชคนไหนมาก่อน เมื่อได้ร่วมงานกัน มันยอดเยี่ยมจริง ๆ เขาไม่ใช่คนที่เอะอะโวยวาย นั่นเป็นข้อดีมากสำหรับที่นี่” ยาน-นิคลาส เบสเท่อ กล่าวในตอนที่ตัดสินใจเซ็นสัญญาย้ายมาอยู่กับทีม
เขาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในตำแหน่งตัวรุกทางฝั่งซ้ายและขวา 34 เกม ในลีกา 2 ยิงไป 12 ประตู และ 12 แอสซิสต์ (มากสุดในลีกา 2 เยอรมัน ฤดูกาลนี้ เท่ากับมาร์วิน วานิตเซ็คจาก คาร์ลสรูห์ เอสซี) ถือว่าเป็นหนึ่งในคีย์แมนสำคัญของทีม จากที่ค่าตัวแค่ 350,000 ยูโร ตอนนี้มูลค่าในตลาดของเขาขยับขึ้นไปเป็น 2 ล้านยูโร
ผู้เล่นอีกคนที่ขาดไม่ได้คือ ทิม ไคลน์ไดนส์ต หัวหอกคนสำคัญที่เคยอยู่ในชุดที่จบอันดับ 3 เมื่อฤดูกาล 2019-20 แต่อกหักเพราะเพลย์ออฟเลื่อนชั้นพ่ายให้กับ แวร์เดอร์ เบรเมน ดาวยิงวัย 27 ปี ตัดสินใจย้ายออกจากทีมไปพร้อมกับความผิดหวัง โดยไปอยู่กับ เกนท์ ในเบลเยี่ยมด้วยค่าตัว 3.5 ล้านยูโร แต่ที่นั่นไม่เหมือนบ้านที่เขาเคยอยู่ได้ลงเล่นไปแค่ 15 เกมยิงได้ 1 ประตู
เขาเลือกย้ายกลับมาอยู่ที่ ไฮเดนไฮม์ ด้วยสัญญายืมตัว จนทีมสุดท้ายทีมเลือกที่จะซื้อตัวกลับมาในราคาเดียวกันเมื่อช่วงซัมเมอร์ปี 2021
ซึ่งในฤดูกาลนี้เขาระเบิดฟอร์มซัดไป 25 ประตูและ 7 แอสซิสต์ ครองดาวซัลโวของศึกลีกา 2 เยอรมัน และพาทีมเลื่อนชั้นได้สำเร็จ อดีตดาวเตะทีมชาติเยอรมันรุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี ถือว่าเป็นศูนย์หน้าที่ครบเครื่อง ด้วยความสูง 194 เซนติเมตร ทำให้เขามีความแข็งแกร่งในลูกกลางอากาศ แถมยังมีการจบสกอร์ที่เฉียบคม โดยซีซั่นที่เพิ่งจบลงไปเขาทำแฮตทริกได้ 2 ครั้ง จากการยิง 4 ประตู ในเกมถล่ม เนิร์กแบร์ก 5-0 และ 3 ประตูในชัยชนะเหนือ คาร์ลสรูห์ 5-2
ปิดท้ายด้วย 2 ผู้เล่นในตำแหน่งแดนกลางและผู้รักษาประตู เริ่มจาก เลนเนิร์ด มาโลนีย์ มิดฟิลด์ตัวรับชาวสหรัฐอเมริกาที่ถือว่าเป็นหนึ่งในการเซ็นสัญญาที่ยอดเยี่ยมของทีมในช่วงซัมเมอร์ที่แล้ว เพราะได้มาจาก “เสือเหลือง” โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ แบบฟรี ๆ
แข้งวัย 23 ปี ลงเล่นเกือบครบทุกนัดให้กับทีม ทำหน้าที่ปัดกวาดบอลอยู่หน้าแนวรับได้อย่างหมดจด แถมยังสามารถถอยลงไปเล่นเซนเตอร์หรือแม้แต่แบ็คขวาก็ยังได้
คนสุดท้ายคือ เควิน มึลเลอร์ นายทวารจอมเก๋าวัย 32 ปี ไม่เคยมีประสบการณ์เล่นในบุนเดสลีกามาก่อน เขาอยู่กับทีมมาตั้งแต่ปี 2015 ฤดูกาลนี้ได้พิสูจน์แล้วว่าเขาเป็นนายด่านที่ไว้ใจได้อย่างแน่นอน ลงเฝ้าเสาครบทั้ง 34 เกม เสียไป 36 ประตู เป็นรองเพียง ดาร์มสตัดท์ และเก็บคลีนชีตได้ถึง 15 เกม
ก็ต้องรอติดตามชมกันว่าทีมน้องใหม่อย่าง ไฮเดนไฮม์ ที่มีเส้นทางสุดมหัศจรรย์กับการขึ้นสู่บุนเดสลีกา เยอรมัน ครั้งแรก
บทสรุปจะเป็นอย่างไร ? จะยืนระยะได้หรือไม่? คงเป็นเรื่องของอนาคต
แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ทำให้คนในเมืองเล็ก ๆ ที่มีประชากรราว ๆ 49,000 คนได้รู้สึกภูมิใจกับวันแห่งประวัติศาสตร์ ที่มีทีมจากเมืองแห่งนี้ได้ขึ้นมาสัมผัสลีกสูงสุดของประเทศเสียที
หลังปล่อยให้ทีมร่วมแคว้นอย่าง ไฟร์บวร์ก, ฮอฟเฟ่นไฮม์ และสตุ๊ตการ์ท นำหน้ามานาน
แต่ตอนนี้ถึงเวลาของพวกเขาแล้ว Let’s go!!!