ฟูแล่ม กลายเป็นสโมสรแรกในแชมเปี้ยนส์ชิพ อังกฤษ ที่การันตีเลื่อนชั้นมาเล่นในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2022-23 เรียบร้อยก่อนใคร โดยที่ยังเหลือการแข่งขันอีก 4 นัด
ชัยชนะเหนือ เปรสตัน 3-0 เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ทำให้พวกเขาเก็บไปแล้ว 86 แต้มในลีกรอง ซึ่งเพียงพอต่อการเลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุด แต่ในความจริงแล้ว การแข่งขันของพวกเขาเพิ่งมาถึงแค่ครึ่งทางเท่านั้น
หลังจากใช้เวลาในพรีเมียร์ลีกติดต่อกัน 13 ฤดูกาล ระหว่างปี 2001-2014 ทีมฉายา ‘เจ้าสัว’ ก็ดูไม่มั่นคงอีกเลยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะ 5 ฤดูกาลหลังสุดที่ผลัดกันขึ้นๆลๆงลีกสูงสุดแดนผู้ดีจนชินตาแฟนบอล
ไม่มีใครสงสัยในความสามารถของทีมจากลอนดอนในการเลื่อนชั้นกลับมาได้ แต่ก็ไม่ผิดหากจะบอกว่าพวกเขาก็มีสถานะไม่ต่างจากทีมโยโย่ ที่จะร่วงตกชั้นทันทีหลังจากเลื่อนชั้นขึ้นมา
เป็นอีกครั้งที่พวกเขาใช้เวลาในแชมเปี้ยนส์ชิพแค่ปีเดียวเพื่อกลับมาสู่ลีกระดับท็อปของประเทศ แต่ก็เต็มไปด้วยคำถามหลังจากนี้ว่าพวกเขาจะเอาตัวรอดได้นานแค่ไหนกับลีกสุดหินอย่าง พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาลต่อไป
ประสบการณ์กุนซือ
หลังการเลื่อนชั้น ด้วยการคำนวนด้านคณิตศาสตร์ในตอนนี้ มาร์โก ซิลวา มีโอกาสเป็นไปได้ที่จะพา ฟูแล่ม อยู่รอดปลอดภัยในพรีเมียร์ลีก 1 ถึง 2 ฤดูกาล เป็นอย่างน้อย
การมี ซิลวา อยู่ ทำให้ เจ้าสัว มีผู้นำที่มีความรู้ในพรีเมียร์ลีก จากการที่เคยคุม ฮัลล์ ซิตี้, วัตฟอร์ด และ เอฟเวอร์ตัน ขณะที่การเลื่อนชั้นขึ้นไป 2 ครั้งก่อน ทีมมีกุนซือที่ขาดประสบการณ์ในลีกสูงสุดกุมบังเหียนอยู่
เปอร์เซ็นต์การชนะในพรีเมียร์ลีกของเขา (35.71) อาจค่อนข้างน้อย แต่ก็เป็นการนับรวมจากกุนซือก่อนหน้านี้ ทั้ง สลาวิซ่า โยคาโนวิช และ สก็อตต์ ปาร์คเกอร์ เริ่มต้นในลีกสูงสุดด้วยประสบการณ์จากศูนย์
ทีมจากลอนดอน ขึ้นนำรั้งจ่าฝูงแชมเปี้ยนส์ชิพ ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมกราคม และไม่เคยลงจากจุดนั้นอีกเลย แม้ว่างานฉลองเลื่อนชั้นจะถูกเลื่อนไปเล็กน้อย หลังสะดุดให้กับ โคเวนทรี และ ดาร์บี้ เค้าน์ตี้ ตามลำดับก็ตาม
การสะดุดต่อจากนี้ จะส่งผลต่อสถิติในฤดูกาลนี้เท่านั้น และไม่ได้ทำให้หล่นจาก 2 อันดับแรก หรือหยุดให้พวกเขาเลื่อนชั้นแต่อย่างใด ทำให้สามารถใช้แนวทางที่วัดผลได้มากขึ้นเมื่อเตรียมตัวสำหรับฤดูกาล 2022-23 ต่อไป
เรียนรู้จากความผิดพลาด
ฟูแล่ม เคยพยายามทุ่มทุนเสริมทัพเพื่อเอาตัวรอดในอดีต และตอนนี้ พวกเขาจะต้องเดินเกมเรื่องนี้อย่างชาญฉลาดในตลาดซื้อขายซัมเมอร์ เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะเพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นในพื้นที่ที่พวกเขาขาดมากที่สุด
คราวนี้ ด้วยการเลื่อนชั้นอัตโนมัติอย่างปลอดภัยโดยไม่ต้องเล่นเพลย์ออฟ พวกเขาจึงนำหน้าคู่แข่งรายอื่นๆ ซึ่งความปลอดภัยดังกล่าวอาจปูทางให้มีการซื้อขายผู้เล่นได้เร็วกว่าปกติ และช่วยให้ผู้มาใหม่มีเวลาปรับตัวให้กับเพื่อนร่วมทีมและสโมสรได้มากขึ้น
นโยบายการเสริมทัพของ ‘เจ้าสัว’ ยังแสดงให้เห็นถึงข้อบกพร่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และอาศัยการยืมตัวผู้เล่นจากสโมสรอื่นมากเกินไป โดยก่อนฤดูกาล 2018-19 พวกเขาใช้เงินกว่า 100 ล้านปอนด์ กับผู้เล่น 12 ราย ก่อนจะเสริมทัพอีกครั้งในช่วงตลาดเดือนมกราคมเพื่อกอบกู้สถานการณ์หนีตกชั้น ซึ่งสุดท้ายก็ไม่รอดอยู่ดี
แผนการที่เล่นการรุกได้รับการพิจารณามากขึ้น โดยมีเป้าหมายในการเสริมทัพ 2-3 ตำแหน่งที่ยังเป็นจุดอ่อนอยู่ เช่นเดียวกับการปรับจูนแนวทางการเล่นก็จะช่วยให้ทีมประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย ซึ่งเป็นโมเดลที่ ลีดส์ ยูไนเต็ด และ เบรนท์ฟอร์ด ทำได้อย่างราบรื่นในช่วง 2-3 ฤดูกาลที่ผ่านมา
สร้างโดยใช้ มิโตรวิช เป็นศูนย์กลาง
ปฏิเสธไม่ได้ว่า อเล็กซานดาร์ มิโตรวิช คือผู้เล่นที่สำคัญที่สุดของฟูแล่มในชุดนี้ แม้มีคำถามเกี่ยวกับความสามารถของเขาที่เหมาะสมหรือไม่กับการเล่นในพรีเมียร์ลีกก็ตาม แต่อย่างน้อย ซิลวา ก็รู้วิธีการดึงประสิทธิภาพของหัวหอกทีมชาติเซอร์เบียออกมาให้ดีที่สุด และนักเตะก็เข้ากับระบบของทีมได้อย่างลงตัว
ช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา มิโตรวิช ทำลายสถิติของ อิวาน โทนี่ย์ ในแชมเปี้ยนส์ลีก ด้วยการยิงประตูในลีกมากที่สุดในฤดูกาลเดียว กับลูกที่ 33 ในเกมที่เอาชนะ ปีเตอร์โบโร่ จากนั้นก็ซัดเพิ่มอีก 7 ลูก เท่ากับว่าเขายิงไปแล้ว 40 ลูกในฤดูกาลนี้ และมีโอกาสซัดเพิ่มกับอีก 4 เกมที่เหลือ
หากย้อนกลับไปในฤดูกาล 2020-21 ที่ เจ้าสัว ยังเล่นในพรีเมียร์ลีก มิโตรวิช ปืนฝืดอย่างมาก เนื่องจากยิงไปแค่ 4 ประตู จากทั้งหมด 27 ประตูที่สโมสรทำได้ในซีซั่นนั้น ซึ่งตอนที่เล่นให้ทีมชาติเขายังทำได้ดีกว่านี้อีก (7 ประตู)
นี่จึงชัดเจนว่าภายใต้การดูแลของ ซิลวา หอกร่างยักษ์วัย 27 ปี มีประสิทธิภาพมากขึ้น เขาทำได้ดีขึ้นทั้งการถอยลงในแนวลึกเพื่อรับบอล หรือเชื่อมเกม ซึ่งทำให้เขาเป็นกองหน้าที่ครบเครื่องยิ่งขึ้น โดยทำไป 7 แอสซิสต์
อีกทั้งไม่ใช่เรื่องแปลกด้วยที่ ทีมดังจากลอนดอน มีนักเตะที่ทำแอสซิสต์มากที่สุดอย่าง แฮร์รี่ วิลสัน กับ 15 แอสซิสต์ กับค่าเฉลี่ยจ่ายให้เพื่อนยิง 0.41 ครั้งต่อ 90 นาทีที่ลงเล่น
ในการกำหนดผลลัทธ์ที่พวกเขาต้องการในพรีเมียร์ลีก ฟูแล่ม จำเป็นต้องหาสูตรในการดึงประสิทธิภาพของนักเตะดาวเด่นออกมาให้มากที่สุด โดยเฉพาะกับ มิโตรวิช ผู้ที่เป็นตัวเต็งคว้านักเตะยอดเยี่ยมของ แชมเปี้ยนส์ชิพ ในฤดูกาลนี้ไปครอง โดยมี วิลสัน เป็นเหมือนผู้ช่วยข้างกายในการล่าตาข่าย
ใช้โมเม้นตัมให้เกิดประโยชน์
จากสถิติที่ผ่านมา ทีมที่คว้าอันดับหนึ่งใน แชมเปี้ยนส์ชิพ มักทำได้ดีกว่าทีมที่เลื่อนชั้นจากการเพลย์ออฟ แม้ นอริช เป็นข้อยกเว้นสำหรับเรื่องนั้นก็ตาม ฟูแล่มจึงจำเป็นต้องควบคุมโมเมนตัมที่รวบรวมมาจากฤดูกาลที่ประสบความสำเร็จดังกล่าว และนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในช่วงต้นฤดูกาลใหม่
ลีดส์, วูล์ฟแฮมป์ตัน และ เบิร์นลี่ย์ เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับสโมสรที่คว้าแชมป์ลีกรองในรอบหลายปีที่ผ่านมา และสามารถเอาตัวรอดปลอดภัยในลีกสูงสุดแดนผู้ดีได้ โดยอาศัยประโยชน์จากการที่พวกเขาเลื่อนชั้นขึ้นมาในฐานะแชมป์ลีกรอง
แม้ว่าสิ่งนี้ไม่ได้อยู่ยงคงกระพันไปตลอดกาล อย่างที่เคยเกิดขึ้นกับ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ที่ตกชั้นในฤดูกาลที่ 2 บนพรีเมียร์ลีก แต่ก็สามารถใช้สิ่งนี้เพื่อกระตุ้นผลลัพธ์ด้านบวกในช่วงเริ่มต้นได้
แรงผลักดันเดียวกันนี้ก็ใช้กับผู้เล่นได้เช่นกัน เมื่อ ฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ ดาวรุ่ง ผู้ซึ่งกำลังจะย้ายซบ ลิเวอร์พูล ในช่วงซัมเมอร์ แต่ในหมู่ผู้เล่นชุดเยาวชนของสโมสรที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 2 (ดิวิชั่น 2) ก็มีพรสวรรค์มากมาย และชัดเจนว่าจะช่วยเพิ่มคุณภาพให้กับทีมชุดใหญ่ได้เช่นกัน
กำลังเสริมในแนวรุกก็จำเป็นต้องหามาเพิ่มเช่นกันเพื่อแบ่งเบาภาระของ มิโตรวิช ในแดนหน้า และถ้า มิโตรวิช และ วิลสัน สามารถทำผลงานในพรีเมียร์ลีกได้ในระดับเดียวกับที่ทำไว้ในแชมเปี้ยนส์ลีก ก็มีโอกาสสูงที่ ฟูแล่ม จะอยู่รอดในลีกสูงสุดมากกว่าฤดูกาลเดียว
และหากผู้เล่นคนอื่นๆในทีมของ ซิลวา สามารถยกระดับการเล่นให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้ ก็คงถึงเวลาที่พวกเขาจะบอกลาสถานะทีม โยโย่ ที่ขึ้นลงบ่อยๆระหว่างลีกบนและล่างได้เสียที