ญี่ปุ่น ยังคงความเป็นยักษ์ใหญ่แห่งทวีปเอเชีย ที่คว้าตั๋วไปฟุตบอลรอบสุดท้ายได้สม่ำเสมอ ยาวนานร่วม 20 กว่าปีเข้าไปแล้ว
ทัพ ‘ซามูไรบลู’ รักษาผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม เพราะนับตั้งแต่ปี 1998 ที่พวกเขาสามารถคว้าตั๋วฟุตบอลโลก รอบสุดท้ายมาครั้งแรกได้ หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่เคยตกขบวนอีกเลย
ปัจจุบันยกระดับความแข็งแกร่งขึ้นมาจนไม่ต่างอะไรกับทีมในยุโรปแล้ว หลังจากทัพนักเตะซามูไรต่างออกไปฝังตัวและค้าแข้งอยู่กับสโมสรดังในยุโรปแทบทั้งทีม แต่ครั้งนี้พวกเขาจะไปไกลแค่ไหนในศึกใหญ่ที่ กาตาร์ UFA ARENA จะพาไปเจาะลึกผ่านบทความนี้กัน
ประวัติศาสตร์ในบอลโลก
หลังจากสร้างประวัติศาสตร์คว้าตั๋วไปลุยฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ได้เป็นครั้งแรกเมื่อปี 1998 ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทีมชาติญี่ปุ่น ก็สามารถผ่านเข้ารอบสุดท้ายได้ตลอดทุกครั้ง
โดยมีผลงานดีที่สุดคือ การเข้าถึงรอบ 16 ทีมสุดท้ายในปี 2002, 2010 และ 2018 ที่พวกเขาเกือบพลิกล็อคเอาชนะ เบลเยี่ยม ได้ ก่อนสุดท้ายเป็นเพลี้ยงพล้ำในช่วงท้ายเกม
เส้นทางสู่กาตาร์
แม้ว่าในฟุตบอลโลกครั้งนี้พวกเขาจะเริ่มต้นได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะแพ้ให้กับทั้งโอมาน และซาอุดีอาระเบีย ซึ่งผิดวิสัยของพวกเขาอย่างมาก แต่ก็ยังกลับตัวได้ทัน ไล่เก็บชัยชนะจนมาถึงนัดรองสุดท้าย ที่บุกเอาชนะออสเตรเลียได้ 2-0 ทำให้การันตีตั๋วมากาตาร์ทันที
โดยทำผงานผลงานลงแข่ง 10 นัด ชนะ 7 เสมอ 1 แพ้ 2 เก็บได้ 22 แต้ม ตามหลังแชมป์กลุ่ม ซาอุดีอาระเบีย เพียงแค่คะแนนเดียว
ผู้จัดการทีม : ฮาจิเมะ โมริยาสุ
ฮาจิเมะ โมริยาสุ คือกุนซือของทีมชาติญี่ปุ่นชุดนี้ โดยมีผลงานสร้างชื่อคือการพา ซานเฟรชเซ ฮิโรชิม่า ผงาดแชมป์เจลีก ได้ถึง 3 สมัยในปี 2012, 2013 และ 2015 จากนั้นถูกดึงมาคุมทีมชาติญี่ปุ่นชุดยู-23 คว้าเหรียญเงินฟุตบอลเอเชียนเกมส์ 2018
ระหว่างนั้น โมริยาสุ รับบทเป็นผู้ช่วยของกุนซือ อากิระ นิชิโนะ ไปลุยฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซียด้วย ซึ่หลังจบศึกครั้งนั้น นิชิโนะ ได้แยกทางกับทีม สมาคมฟุตบอลญี่ปุ่นจึงแต่งตั้ง โมริยาสุ ขึ้นมาเป็นกุนซือคนใหม่แทนที่ และยังคงรักษามาตรฐานทีมเอาไว้ได้เช่นเดิม พร้อมกับพาทีมคว้าตั๋วเข้ารอบสุดท้าย ฟุตบอลโลก 2022 ได้สำเร็จ
ดาวเด่น : ทาคุมิ มินามิโนะ
ญี่ปุ่นเป็นตัวอย่างที่ดีของชาวเอเชียอย่างมาก เพราะจาก 26 คนที่เรียกมานั้น มีนักเตะเพียง 5 คนเท่านั้นที่เล่นอยู่ในประเทศ นอกนั้นเป็นนักเตะที่กระจายตัวอยู่ในยุโรปแทบทั้งสิ้น
ไล่ตั้งแต่ ทาเคฮิโระ โทมิยาสุ (อาร์เซน่อล) มายะ โยชิดะ (ชาลเก้) วาตารุ เอ็นโดะ (สตุตการ์ท) ไดจิ คามาดะ (แฟรงก์เฟิร์ต) คาโอรุ มิโตมะ (ไบรท์ตัน) ทาเคฟุสะ คุโบะ (เรอัล โซเซียดัด) ฮิเดมาสะ โมริตะ (สปอร์ติ้ง ลิสบอน) ทาคุมะ อาซาโนะ (โบคุ่ม)
และที่ขาดไม่ได้คือ ทาคุมิ มินามิโนะ ตัวรุกสุดหล่อขวัญใจสาวๆ จากโมนาโก ที่จะได้กลับมาเยือนกาตาร์อีกครั้งหลังเคยนำทีมชาติญี่ปุ่นมาคว้าแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี เมื่อปี 2019
อีกทั้งยังมี ยูโตะ นากาโตโมะ แบ็กซ้ายจากเอฟซี โตเกียว อดีตดาวเตะของอินเตอร์ มิลาน หรือ ฮิโรกิ ซากาอิ แนวรับจากอุราวะ เรด ไดมอนด์ส ซึ่งเตยเล่นในยุโรปนาน10 ปีกับฮันโนเวอร์ และมาร์กเซย ดังนั้นคงไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่า ทีมชาติญี่ปุ่นในปัจจุบัน คือทีมที่มีศักยภาพและมาตรฐานไม่ต่างอะไรกับทีมในยุโรปอีกต่อไปแล้ว
ตารางแข่งขัน
ญี่ปุ่น จะงานช้างตั้งแต่เกมแรกในการพบกับ เยอรมัน วันที่ 23 พฤศจิกายน จากนั้นก็ดวลกับ คสอตาริก้า ในอีก 4 วันต่อมา ก่อนปิดท้ายด้วยการพบกับ สเปน อดีตแชมป์โลก 1 สมัยในวันที่ 1 ธันวาคม
วิเคราะห์โอกาสเข้ารอบ
ญี่ปุ่น ต้องกระอักอยู่ไม่น้อย หลังอยู่ในกลุ่ม E ร่วมกับของแข็งอย่าง เยอรมัน, สเปน และ คอสตาริก้า ซึ่งทีมเต็งเข้ารอบคงหนีไม่พ้นสองทีมยักษ์ใหญ่ นั่นคือ “อินทรีเหล็ก” เยอรมนี และ “กระทิงดุ” สเปน
อีกทั้งทีมชุดนี้ของ โมริยาสุ ก็มีปัญหาใหญ่หนึ่งอย่างที่ยังแก้ไม่ตกเลย คือการขาดไอเดียในการทำเกมบุกและหลายๆ ครั้งต้องพึ่งความสามารถส่วนตัวของนักเตะมากเกินไป
อย่างไรก็ตาม โอกาสเข้ารอบต่อไปก็มีอยู่เช่นกัน โดยมีเงื่อนไขว่าพวกเขาต้องเค้นฟอร์มที่ดีที่สุดออกมาให้ได้ในการพบกับ 2 ทีมแกร่งจากยุโรป และเชื่อว่า เหล่าแข้งสายเลือดบูชิโด ก็พร้อมสู้เต็มที่อยู่แล้ว