ก่อนหน้านี้ไม่นาน ปาแลร์โม่ เคยเป็นหนึ่งในสโมสรที่เป็นจุดหมายของแข้งดังมากมายที่จะต้องการสร้างชื่อในวงการลูกหนังอิตาลี
ช่วงต้นยุค 2000 สโมสรแห่งนี้ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของพวกเขา หลังจากที่เลื่อนชั้นกลับมาเล่นในเซเรียอาได้ ทีมฉายา ‘โรซาเนโร่’ ก็จบอันดับท็อปซิกซ์ได้ถึง 3 ฤดูกาลติด ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยทำได้มาก่อน และครั้งหนึ่งเคยเป็นสโมสรที่รวบรวมซูเปอร์สตาร์ไว้มากมายหลายคน
ทว่า ชื่อของพวกเขากลายเป็นอดีตอย่างสมบูรณ์ เมื่อ ศาลซิซิลีประกาศให้สโมสรล้มละลาย หลังก่อนหน้านี้ถูกปรับให้ตกชั้นจากเซเรีย บี ในเดือนกรกฏาคมในปี 2019 เนื่องจากปัญหาเรื่องการเงินที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด
อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ยังไม่ได้หายไปจากสารบบของฟุตบอลแดนมักกะโรนีเสียทีเดียว เมื่อพวกเขาเปลี่ยนชื่อเป็น “S.S.D. Parlermo” และตั้งต้นกันใหม่ในลีกล่างของประเทศอย่าง กัลโช่ เซเรีย ดี หลังจากนั้น โดยปัจจุบันกำลังอยู่ใน เซเรีย ซี และหาทางเลื่อนชั้นกลับมาอีกครั้ง
ทาง UFA ARENA จึงขอพาทุกท่านย้อนไปพบบรรดา 11 แข้งดังที่ทีมจากเมืองซิซิลีได้ปลุกปั้นมากับมือก่อนจะย้ายไปโด่งดังและกลายเป็นแข้งระดับโลกกับสโมสรอื่นในเวลาต่อมา
ผู้รักษาประตู : ซัลวาตอเร่ ซิริกู
ซัลวาตอเร่ ซิริกู ได้เติบโตและพัฒนาฝีเท้ากับปาแลร์โม่มาตั้งแต่ชุดเยาวชน ก่อนจะสถาปนาเป็นมือหนึ่งในทีมชุดใหญ่อย่างเต็มตัวในฤดูกาล 2009-10
นายทวารชาวอิตาเลี่ยนอาจลงเล่นกับทีมหลักๆแค่ 2 ปีเท่านั้น แต่ฟอร์มการเซฟประตูของเขาก็ไปเข้าตา เปแอชเช ทำให้ซิริกูกลายเป็นนักเตะคนแรกๆที่ถูกทีมแดนน้ำหอมเสริมทัพ หลังจากถูกเทกโอเวอร์ในปี 2011
ในปารีส ซิริกูคว้าแชมป์ร่วมกับทีม 13 รายการด้วยกัน แต่หลังจากที่เขาเสียตำแหน่งมือหนึ่งในทีมช่วงปี 2017 ก็ย้ายไปร่วมทีม โอซาซูน่า และ เซบีย่า เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ตามลำดับ และย้ายกลับมาเฝ้าเสาให้ทีมในบ้านเกิดอย่าง โตริโน่ โดยปัจจุบันเพิ่งย้ายไป เจนัว เมื่อซัมเมอร์ปี 2021
กองหลัง : อันเดรีย บาร์ซาญี่
อันเดรีย บาร์ซาญี่ ต้องเวลาอยู่หลายปีกับการสร้างชื่อในฟุตบอลอาชีพ และกับปาแลร์โม่นี่แหละที่ทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในกองหลังที่ดีที่สุดในอิตาลี หลังค้าแข้งกับทีมนี้ถึง 4 ปี
เขาติดทีมชาติอิตาลีครั้งแรก ขณะที่ค้าแข้งกับ ‘โรซาเนโร่’ และหลังจากช่วยให้ทีมจบอันดับครึ่งตารางบนในเซเรียอา เขาก็ย้ายไปอยู่กับโวล์ฟบวร์กในปี 2008 พร้อมกับคว้าแชมป์บุนเดสลีก้า (ร่วมกับ คริสเตียน ซัคคาโด้) ในฤดูกาลแรก
ต่อมาในปี 2011 บาร์ซาญี่ได้ย้ายกลับมาเล่นในแดนมักกะโรนีอีกครั้งกับ ยูเวนตุส และสร้างแนวรับสุดแกร่งให้กับทีมร่วมกับ จอร์โจ้ คิเอลลินี่ และ เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ อย่างไรก็ตาม เวลาของเขาในฟุตบอลอาชีพก็หมดลงเรียบร้อย เมื่อประกาศแขวนสตั๊ดหลังจบฤดูกาล 2018-19
กองหลัง : คามิล กลิค
กองหลังชาวโปลได้ใช้เวลาในช่วงเยาวชนกับ เรอัล มาดริด ชุดซี อยู่ 1 ปี แต่ในขณะที่เขาเล่นฟุตบอลอาชีพกับ ปิแอส กลิวิส ในบ้านเกิด ฟอร์มของคามิล กลิค ได้ไปเข้าตาแมวมองของ ปาแลร์โม่อยู่เช่นกัน
น่าแปลกที่เขาไม่สามารถสร้างความประทับใจได้ในเมืองซิซิลี ส่งผลให้เขาถูกขายขาดให้กับ โตริโน่ ถาวรในปีต่อมา หลังปล่อยให้ บารี่ ยืมตัวไปก่อนหน้านี้
ซึ่งในช่วงเวลา 5 ปีในตูริน กลิค กลายเป็นหนึ่งในกองหลังเบอร์ต้นๆของเซเรียอา ทำให้เขาได้ย้ายไปร่วมทีม โมนาโก เมื่อ 3 ปีก่อน และพาทีมคว้าแชมป์ลีกเอิงได้อย่างเหนือความคาดหมายในฤดูกาล 2016-17
กองหลัง : ซิมง เคียร์
อีกหนึ่งกองหลังจอมแกร่งของวงการลูกหนัง ซิมง เคียร์ ซึ่งเป็นปาแลร์โม่ที่เล็งเห็นถึงศักยภาพของเขาก่อนสโมสรไหนๆ จึงทำการเซ็นสัญญามาร่วมจาก มิดทิลแลนด์ ทีมในเดนมาร์ก ในช่วงที่เคียร์ยังเป็นดาวรุ่งในปี 2008
การแทนที่และอุดช่องโหว่ที่ บาร์ซาญี่ ทิ้งไว้ย่อมเป็นงานยาก แต่กองหลังชาวเดนส์ก็ปรับตัวได้อย่างรวดเร็วจนกลายเป็นหัวใจหลักในแนวรับของ โรซาเนโร่ พร้อมกับถูกจับตาาจากสโมสรทั่วยุโรป และได้รับรางวัลแข้งยอดเยี่ยมของเดนมาร์กในปี 2009 ด้วย
น่าบังเอิญเหลือเกินที่ในเวลาต่อมา เคียร์ก็ย้ายไปโวล์ฟบวร์กเพื่อแทนที่ บาร์ซาญี่ อีกครั้ง จากนั้นก็ได้ย้ายไปค้าแข้งกับทีมทั่วยุโรปทั้ง โรม่า, ลีลล์, เฟเนร์บาห์เช่, เซบีย่า, อตาลันต้า โดยปัจจุบันเล่นให้กับ เอซี มิลาน และกำลังพาทีมลุ้นแชมป์ลีกสคูเด็ตโต้ในรอบ 11 ปี
วิงแบ็คขวา : มัตเตโอ ดาร์เมี่ยน
มัตเตโอ ดาร์เมี่ยน ได้ฝึกวิชาลูกหนังกับเอซี มิลาน มาตั้งแต่เป็นเยาวชน และถูกดันขึ้นเล่นชุดใหญ่ในปี 2006 แต่ด้วยคุณภาพของทีมที่ดีอย่างล้นเหลือ ทำให้โอกาสของดาร์เมี่ยนมีไม่มากนัก
แข้งชาวอิตาเลี่ยนจึงตัดสินใจย้ายมาร่วมทีม ‘โรซาเนโร่’ ในปี 2010 และได้ลงเล่นไป 11 นัดในซเรียอาฤดูกาลนั้น ก่อนจะย้ายไปร่วมทีมโตริโน่ในปีต่อมา เหมือนกับ กลิค ซึ่งเป็นทีมที่ทำให้เขากลายเป็นฟูลแบ็คเบอร์ต้นๆของลีก จนติดทัพอัซซูรี่และได้ย้ายไปร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเวลาต่อมา
แต่หลังจากที่ล้มเหลวกับชีวิตค้าแข้งในโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ดาร์เมี่ยนก็เลือกย้ายกลับมมาหาฟอร์มเก่งในบ้านเกิดอีกครั้งกับ ปาร์ม่า ก่อนย้ายไปคว้าแชมป์เซเรียอา กับ อินเตอร์ มิลาน ตั้งแต่ปี 2020
กองกลาง : ฮาเวียร์ ปาสตอเร่
เครือข่ายแมวมองของ ปาแลร์โม่ ได้รับการปรับปรุงและพัฒนาให้ดีขึ้นสมกับเป็นทีมจากเซเรียอา ซึ่งในทวีปอเมริกาใต้กลายเป็นภูมิภาคที่เป็นเป้าหมายของสโมสรมากขึ้นในการหาแข้งดาวรุ่งมากพรสวรรค์มาร่วมทีม
ในปี 2009 โรซาเนโร่คว้าตัวดาวรุ่งโนเนมชื่อว่า ฮาเวียร์ ปาสตอเร่ มาร่วมทีม ซึ่งเล่นให้กับทีมเล็กๆในอาร์เจนติน่ามาก่อน แต่ในเวลาต่อมาเขาก็ปรับตัวเข้ากับลีกต่างแดนได้อย่างรวดเร็วจนกลายเป็นเพลย์เมกเกอร์คนสำคัญของทีมไปโดยปริยาย
น่าเสียดายที่แข้งชาวอาร์เจนไตน์ค้าแข้งในถิ่น สตาดิโอ เรนโซ่ บาร์เบร่า แค่ 2 ปีเท่านั้น เขาก็ย้ายตามกลิ่นเงินไปร่วมทีมเปแอชเชยุคเศรษฐีน้ำมันเช่นเดียวกับ ซิริกู และถึงแม้เขาจะคว้าแชมป์ร่วมกับทีมมากมาย ก็ไม่สามารถขึ้นมาเป็นตัวหลักได้ แม้ย้ายกลับไปเล่นใน อิตาลี กับ โรม่า ก็ไม่ดีขึ้น จนต้องยกเลิกสัญญา และปัจจุบันก็ย้ายไปเล่นกับ เอลเช่ ช่วงซัมเมอร์ในปี 2021
กองกลาง : ฟรังโก้ บาสเกซ
ปีเดียวหลังจากที่ขาย ปาสตอเร่ ไป สโมสรจากเมืองซิซิลี ก็กลับไปส่องในลีกสูงสุดแดนฟ้าขาวอีกครั้งเพื่อหาตัวแทนในแดนกลาง และสุดท้ายก็คว้า ฟรังโก้ บาสเกซ จาก เบลกราโน่ มาร่วมทีมในท้ายที่สุด
แต่ในตอนแรกของบาสเกซกับทีมนั้น เขาไม่สามารถทำหน้าที่ที่ปาสตอเร่เคยทำไว้ในแดนกลางได้เลย และทุกอย่างก็แย่เข้าไปอีก เมื่อ ‘โรซาเนโร่’ ต้องตกชั้นในปี 2014
อย่างไรก็ตาม นั่นกลับเป็นช่วงเวลาที่เขากลับมาโชว์์ฟอร์มเก่งอีกครั้ง และช่วยให้ ‘โรซาเนโร่’ กลับมาโลดแล่นในลีกสูงสุดได้ในปีต่อมา ด้วยผลงานที่โดนเด่นทำให้ เซบีย่า ดึงตัวบาสเกซไปร่วมทีมในปี 2016 แต่หลังจากนั้นอีก 4 ปีก็ย้ายกลับมาเล่นในอิตาลีอีกครั้งกับ ปาร์ม่า
วิงแบ็คซ้าย : โจซิป อิลิซิช
แมวมองของปาแลร์โม่ได้ลองหานักเตะที่มีราคาไม่แพงแต่มีศักยาภาพที่ดีจากลีกต่างแดน ทำให้พวกเขาได้พบเพชรเม็ดงามจากลีกสโลเวเนียอย่าง โจซิป อิลิซิช และกลายเป็นดีลที่ยอดเยี่ยมของสโมสรในเวลาต่อมา
ด้วยทีเด็ดจากเท้าซ้ายทำให้ อิลิซิช กลายเป็นตัวหลักของทีมถึง 3 ฤดูกาล โดยยิงไป 25 ลูก และทำไป 18 แอสซิสต์ จากการลงเล่นมากว่า 100 นัด
จากนั้นก็ย้ายไปค้าแขงกับฟิออเรนติน่าในปี 2013 ซึ่งเขาก็กลายเป็นตัวหลักในทีมเช่นเดียวกัน ก่อนที่จะย้ายมาร่วมทีมอตาลันต้าในปี 2017 พร้อมเป็นส่วนสำคัญในการพาทีมคว้าตั๋วไปเล่นแชมเปี้ยนส์ลีกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสรในฤดูกาล 2019-20 และยังเป็นแกนหลักในทีม ลา เดีย จนถึงตอนนี้
กองหน้า : เปาโล ดีบาล่า
ปาแลร์โม่ยืดเยื้อกับดีลของ เปาโล ดีบาล่า มานานพอสมควร แต่ในที่สุดพวกเขาก็คว้าตัวดาวรุ่งชาวอาร์เจนไตน์มาร่วมทีมได้สมใจอยากในช่วงซัมเมอร์ปี 2012 ด้วยค่าตัวที่เป็นสถิติสโมสรถึง 10 ล้านปอนด์ จาก อินสติตูโต้ สโมสรลีกรองในอาร์เจนติน่า
เมาริซิโอ ซามปารินี่ ประธานสโมสร โรซาเนโร่ ในขณะนั้นได้กล่าวว่า แข้งหน้าใหม่ของเขาจะเป็นดั่ง เซร์คิโอ้ อเกวโร่ คนต่อไป แต่นั่นกลับกลายเป็นแรงกดดันจนทำให้เขาโชว์ฟอร์มไม่ออก
แต่ก็คล้ายกับ กรณีของ บาสเกซ เมื่อแข้งหน้าหล่อหาฟอร์มเก่งของตัวเองเจออีกครั้งใน เซเรีย บี ก่อนจะไปโชว์ฝีเท้าในเซเรียอาอีกครั้ง ด้วยลีลาการทำประตูและวิธีการเล่นที่ชาญฉลาดทำให้ ยูเวนตุส คว้าตัวเขามาร่วมทีมในปี 2015 พร้อมกับพัฒนาฝีเท้าจนกลายเป็นแข้งระดับโลกได้ในเวลาต่อมา ทว่านี่อาจเป็นฤดูกาลสุดท้ายที่เขาค้าแข้งใน ตูริน หลังไม่พอใจกับสัญญาใหม่ที่ เบี่ยงโคเนรี่ ยื่นให้พิจารณา
กองหน้า : เอดินสัน คาวานี่
อีกดาวเด่นของวงการลูกหนังแดนละตินอเมริกาที่ ‘โรซาเนโร่’ ค้นพบ โดยครั้งนี้พวกเขาเจอ เอดิสัน คาวานี่ ที่อุรุกกวัย ก่อนจะพามาผจญภัยในยุโรปครั้งแรกในเดือนมกราคมปี 2007
ในช่วงแรก กองหน้าอุรุกวัยยังดูไม่เข้าใจกับวิธีการเล่นในอิตาลีเท่าไหร่ เมื่อเขายิงได้ 7 ประตูเท่านั้น จาก 40 นัดในเซเรียอา อย่างไรก็ตาม ใน 2 ฤดูกาลต่อมา เขาก็ปรับตัวกับลีกใหม่ได้สำเร็จ หลังซัดไป 27 ประตูในลีก จนทำให้นาโปลีคว้าตัวไปร่วมทีม
จากนั้นเขาก็กลายเป็นตัวหลักของ ‘อัซซูร่า’ และซัดไปถึง 104 ประตู จากการลงสนามในถิ่นซาน เปาโล 138 นัด ก่อนจะโยกย้ายอีกครั้งกับ เปแอชเช ด้วยค่าตัว 55 ล้านปอนด์ และกลายเป็นดาวซัลโวสูงสุดของสโมสรด้วยจำนวน 200 ประตู พร้อมคว้าแชมป์ในประเทศมากมาย ก่อนย้ายมาเล่นกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แบบไร้ค่าตัวในปี 2020
กองหน้า : อันเดรีย เบล็อตติ
หลังจาก ปาแลร์โม่ เลื่อนชั้นกลับมาเล่นในเซเรียอาได้ในปี 2014 พวกเขาก็คว้าตัว อันเดรีย เบล็อตติ มาร่วมทีมแบบถาวร (หลังจากย้ายมาแบบยืมตัว) เพื่อเสริมแกร่งให้กับแนวรุกของทีม
แต่เมื่อ ดีบาล่า และ บาสเกซ ต่างเล่นกันได้อย่างเข้าขารู้ใจในแดนหน้า ทำให้หัวหอกชาวอิตาเลี่ยน ยากที่จะมีโอกาสลงเล่นเป็นตัวจริง และหลังจบฤดูกาลนั้น เขาก็บอกลา สตาดิโอ้ เรนโซ่ บาร์เบร่า เพื่อย้ายไปเล่นให้ โตริโน่ แทน
นับตั้งแต่ย้ายไปร่วมทีม ‘กระทิงหิน’ เบล็อตติก็สถาปนาเป็นกองหน้าดาวรุ่งที่น่าจับมองที่สุดในลีก หลังซัดไป 26 ประตูในฤดูกาล 2016-17 แต่จู่ๆฟอร์มการเล่นของเขาก็ตกลงจนยิงประตูแตะเลขหลัก 10 เท่านั้นในปีต่อๆมา พร้อมมีข่าวย้ายออกจากตูรินอยู่เป็นระยะๆด้วย