พอชคิดหนัก : ปารีสจะใช้เล่นอย่างไรหลังได้เมสซี่?

ปารีส

หลังปล่อยให้ลุ้นอยู่ไม่กี่วัน ในที่สุด ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ก็ประกาศคว้า ลิโอเนล เมสซี่ อย่างเป็นทางการ พร้อมเซ็นสัญญา 2 ปีด้วยกัน

4 ปีก่อนหน้านี้ พวกเขาคว้า เนย์มาร์ จาก บาร์เซโลน่า ด้วยค่าตัวสถิติโลก 222 ล้านยูโร แต่ปัจจุบัน พวกเขาคว้าดาวเตะทีมชาติอาร์เจนติน่าที่หลายคนยกให้เป็นแข้งเบอร์หนึ่งของโลก แบบไร้ค่าตัว เนื่องจากยอดทีมจากแคว้นกาตาลัน ไม่สามารถต่อสัญญาใหม่กับ เลโอ จากปัญหาด้านการเงิน และกดเพดานค่าเหนื่อยที่ ลาลีก้า กำหนด

ณ เวลานี้ เปแอสเช เต็มไปด้วยผู้เล่นแนวรุกระดับโลกล้นทีม ทั้ง เนย์มาร์, เมสซี่, คีลิยัน เอ็มบัปเป้ และ อังเคล ดิ มาเรีย รวมไปถึงตำแหน่งอื่นๆทั้งในแผงกลางและแนวรับ แต่คำถามก็คือ โคตรทีมจากลีกเอิง จะจัดผู้เล่นเหล่านี้ลงเล่นพร้อมกันได้อย่างไร?

UFA ARENA จึงขอวิเคราะห์ 5 แผนการเล่นที่ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ อาจนำมาใช้หลังได้ เมสซี่ มายกระดับทีมในฤดูกาล 2021-22

 

แผนโปรดพอชกับ 4-2-3-1

ปารีส

 

เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ เป็นคนที่ยึดมั่นในระบบ 4-2-3-1 ตั้งแต่สมัยที่เขาสร้างชื่อกับ เซาแธมป์ตัน หรือ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ดังนั้นคาดว่าแผนนี้จะถูกนำมาใช้กับ เปแอสเช เป็นอันดับแรก และแน่นอนว่ามันจะช่วยให้ พอช ส่งยอดนักเตะลงสนามได้พร้อมกันมากที่สุด

ไล่ตั้งแต่แนวรับกับ เซร์คิโอ รามอส ที่ยืนคู่กับ มาร์ควินญอส ในตำแหน่ง เซ็นเตอร์แบ็ค (มี เพรสเนล คิมเพมเบ้ คอยสอดแทรก) อยู่เหนือ จีจี้ ดอนนารุมม่า หน้าปากประตู ส่วนแบ็ค 2 ข้างเป็น อับบู ดิยัลโล่ ในด้านซ้าย และ อัฟราม ฮาคิมี่ คอยเติมเกมรุกในฝั่งขวา

แดนกลางมี จินี่ ไวจ์นัลดุม กับ มาร์โก แวร์รัตติ ทำหน้าที่เกมรับ ไม่ต้องพาบอลขึ้นแดนหน้าบ่อยๆ เพราะมีตัวรุกอย่าง ดิ มาเรีย, เนย์มาร์ หรือ เมสซี่ คอยรับผิดชอบในหน้าที่อยู่แล้ว อีกทั้งการที่ทั้ง 2 แข้งหน้าเก่าปารีส เคยเล่นร่วมกับ เมสซี่ มาแล้ว ทั้งในทีมชาติ อาร์เจนติน่า หรือ บาร์เซโลน่า น่าจะทำให้พวกเขาเล่นกันได้เข้าขารู้ใจไม่น้อย

แม้ เอ็มบัปเป้ อาจเล่นร่วมกับ คิงเลโอ เป็นครั้งแรก แต่ก็ไม่น่าเป็นปัญหาสำหรับทีม ด้วยความเร็วของ หัวหอกทีมชาติฝรั่งเศส และการสร้างสรรค์เกมของ เมสซี่ จะทำให้คู่แข่งหวาดหวั่นยามเผชิญหน้าแน่นอน

 

4-3-3 แบบบาร์ซ่ายุคเอ็นริเก้

ปารีส

ถ้า โปเช็ตติโน่ รู้สึกว่าเขาไม่จำเป็นต้องส่ง ดิ มาเรีย ลงไปเล่นในแผงเกมรุก ก็สามารถเปลี่ยนมาใช้ระบบ 4-3-3 แบบที่ หลุยส์ เอ็นริเก้ เคยใช้ใน บาร์เซโลน่า โดยแผงกองหลังและผู้รักษาประตูก็ไม่ต่างจากแผนก่อนหน้านี้ ขณะที่แดนกลางจะส่ง เลอันโดร ปาราเดส ลงมาเพิ่มแทน ดิ มาเรีย พร้อมทำหน้าที่เป็นตัดเกม, แย่งบอล และออกบอลให้กับ แวร์รัตติ หรือผู้เล่นคนอื่นๆทำเกมรุกขึ้นหน้าต่อไป

สำหรับ เมสซี่ แน่นอนว่าเขาจะประจำการอยู่ปีกขวา โดยมี ฮาคิมี่ ทำหน้าที่สนับสนุนหรือประสานงานในฝั่งนี้ เหมือนที่ ดานี่ อัลเวส เคยทำไว้กับ บาร์เซโลน่า ในปี 2015 อย่างไรก็ตาม ในด้านเกมรับ ก็ต้องระวังเช่นกัน เนื่องจากอาจเปิดพื้นที่ในฝั่งขวาจนโดนคู่แข่งสวนกลับได้

ส่วน ไวจ์นัลดุม จะทำหน้าที่เหมือน อิวาน ราคิติช ในปี 2015 เพราะด้วยพลังงานที่ล้นเหลือ ทำให้ มิดฟิลด์ทีมชาติฮอลแลนด์ วิ่งขึ้นลงได้ตลอดเกม แม้หน้าที่ในเกมป้องกัน แต่ก็สามารถเติมเกมขึ้นมาทำประตูได้ในยามจำเป็น

 

ใช้วิงแบ็คเสริมในระบบ 3-4-2-1

ปารีส

ระบบ 3-4-2-1 เป็นระบบการเล่นถูกที่ เปแอสเช นำมาใช้งานอยู่ไม่น้อยตลอดช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และพวกเขาสามารถใช้ประโยชน์จากระบบนี้เพื่อปิดซ่อนการขาดฟูลแบ็คที่มีคุณภาพนอกเหนือจาก ฮาคิมี่ ดังนั้นแผงหลัง 3 คนจะประกอบไปด้วย รามอส, มาร์ควินญอส และ คิมเพมเบ้ ที่ทั้งความคล่องแคล่ว พร้อมรับแรงกดดันในเกมใหญ่ได้ดี

ขยับขึ้นมาแดนกลางก็คือเหล่ามิดฟิลด์ผึ้งงานอย่าง อันเดร เอร์เรร่า และ ไวจ์นัลดุม ที่จะทำหน้าที่ไล่บอล, จ่ายบอลให้ตัวทำเกม หรือเติมเกมขึ้นไปเพื่อเปิดช่องเจาะในบางครั้ง ส่วนด้านข้างจะใช้ ดิ มาเรีย ในฝั่งซ้าย และ ฮาคิมี่ ในฝั่งขวา เพื่อคอยเสริมเกมรุก

ในพื้นที่สุดท้าย เมสซี่, เนย์มาร์ และ เอ็มบัปเป้ ถูกใช้ลงเล่นด้วยกันอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม การมีวิงแบ็คเติมขึ้นมา 2 ฝั่ง ทำให้พวกเขาสามารถขยับเข้ามาเล่นใกล้ๆกันมากขึ้น และเราอาจได้เห็นการต่อบอลที่รวดเร็วและแม่นยำของ 3 ประสานจาก ปารีสอย่างแน่นอน

 

บุกเต็มสูบ

ปารีส

บางครั้ง คุณจำเป็นต้องทุ่มทุกอย่างที่มีใส่คู่แข่งเพื่อคว้าชัยชนะมาให้ได้ และโชคดีสำหรับ พอช ที่เขาสามารถทำแบบนั้นได้กับระบบ 4-2-4 หรือ 4-2-2-2 โดยเปลี่ยนคู่เซ็นเตอร์แบ็คมาใช้ มาร์ควินญอส กับ คิมเพมเบ้ พร้อม โยก ฮาคิมี่ ไปเล่นแบ็คซ้าย และโยก รามอส กลับไปเล่นแบ็คขวา ตำแหน่งแรกของเขาในอาชีพค้าแข้ง ซึ่งทั้ง 2 คนขึ้นชื่อเรื่องการเล่นเกมรุกอยู่แล้ว ดังนั้นจึงเหมาะสมแบบไม่ต้องสงสัย

ไวจ์นัลดุม จะทำหน้าที่คุมแดนกลางเหมือนสมัยเล่นกับ ลิเวอร์พูล ที่คอยเน้นการครองบอล จ่ายให้กับตัวรุก โดยมี ราฟินญ่า คอยช่วยเกมรับอีกแรง แต่ก็สามารถจ่ายบอลตัดแนวรับหรือทะลุช่องได้ดีเช่นกัน

ฮาคิมี่ จะใช้ความเร็วเติมเกมรุก อาจลากเข้ามาในกรอบเขตโทษเอง หรือครอสเข้าไปให้ เมาโร อิคาร์ดี้ ที่ยืนค้ำอยู่ แถมสามารถดึงตัวประกบเปิดช่องให้เพื่อนร่วมทีมได้ โดยที่ เอ็มบัปเป้ หัวหอกคู่ขาจะอาศัยวิ่งหาช่องว่างเพื่อทำประตู 

ส่วน เมสซี่ และ เนย์มาร์ จะรับบทบาทเป็นตัวฟรีที่มีอิสระในการเล่นเต็มที่ และสร้างสรรค์เกมได้ตามที่พวกเขาต้องการ อย่างไรก็ดี พวกเขาก็ต้องอาศัยการสนับสนุนจากคนอื่นๆในการทำเกมบุกเช่นกัน

 

ฟอลส์ ไนน์ เมื่อไร้เนย์มาร์

ปารีส

เนย์มาร์ พลาดไปเกือบ 50% ของเกมทั้งหมดที่สามารถลงเล่นให้ทีมดังจากปารีสได้ เนื่องจากอาการบาดเจ็บที่รบกวนบ่อยๆ และสร้างความเสียหายต่อทีมไม่น้อย ตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา แต่สิ่งนี้อาจไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว เพราะตอนนี้พวกเขามี เมสซี่ ที่สามารถยกระดับผู้เล่นคนอื่นๆให้ดีขึ้นได้ด้วย

แผงหลังมี รามอส และ มาร์ควินญอส ยืนคุมตรงกลาง ขณะที่ ฮาคิมี่ โยกมาเล่นแบ็คซ้ายอีกครั้ง และส่ง โคลิน ดั๊กบา ลงเล่นในตำแหน่งแบ็คขวา ส่วนแดนกลางจับ ดานิโล่ ยืนเป็นตัวรับคอยตัดเกม ทำให้ แวร์รัตติ และ ไวจ์นัลดุม มีอิสระในการขึ้นไปทำเกมรุกมากขึ้นจนสามารถเติมขึ้นไปในกรอบเขตโทษสูงกว่ากองหน้าได้เลย

ทำไมถึงทำแบบนั้น? ก็เพราะว่า เมสซี่ มีบทบาทเป็นกองหน้าตัวหลอก หรือ ฟอลส์ ไนน์ นั่นเอง โดยมี เอ็มบัปเป้ และ จูเลี่ยน ดรักซ์เลอร์ อยู่ระหว่างดาวเตะเลือดฟ้าขาว โดย ตัวรุกชาวเยอรมัน จะคอยวิ่งไล่บอล กดดันในแดนคู่แข่ง รวมถึงหาช่องทำประตู เหมือนกับสมัยที่ เปโดร อยู่กับ บาร์ซ่า

ขณะเดียวกัน เอ็มบัปเป้ ที่เล่นฝั่งซ้าย จะเล่นในลักษณะเหมือนกับ ดาวิด บีย่า หรือ เธียร์รี่ อองรี ที่คอยตัดเข้ามาด้านในเป็นตัวจบสกอร์หลักของทีม และการเติมเกมรุกของผู้เล่นอีกหลายคน ทำให้ เมสซี่ มีตัวเลือกในการจ่ายบอลมากขึ้น และช่วยให้เพื่อนร่วมฉายแสงโดดเด่นกว่าเดิมเหมือนที่หลายคนเคยเห็นกับสมัยเล่นกับ ‘อาซูลกราน่า’

 

บทความที่เกี่ยวข้องกับ เปแอสเช

BEST OF BRANDs : สุดยอดเสื้อเปแอสเชจาก 5 แบรนด์ดัง