จากกรณีที่ สก็อตต์ ปาร์คเกอร์ กลายเป็นกุนซือคนแรกของพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ที่ถูกปลดในฤดูกาลนี้ หลังผ่านการลงสนามมาเพียงแค่ 4 เกมเท่านั้น เรียกได้ว่าปลดแบบสายฟ้าแลบกันเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้กุนซือคนแรกที่ต้องกระเด็นออกจากตำแหน่ง หลังพ่ายแพ้ให้กับ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ภายใต้การคุมทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ยังมีผู้จัดการทีมอีก 5 รายที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน
๐ ฟรานเชสโก้ กุยโดลิน (สวอนซี ซิตี้)
เทรนเนอร์ชาวอิตาลี ออกสตาร์ทฤดูกาล 2016-17 ด้วยฟอร์มหรูบุกเอาชนะ เบิร์นลีย์ 1-0 แต่หลังจากนั้นความหายนะก็มาเยือน ชนะใครไม่ได้เลยแพ้ไป 4 เสมอ 1 จนมาถึงเกมที่ 7 ของฤดูกาล ต้องพาทีมลงดวลกับ ลิเวอร์พูล ของเยอร์เก้น คล็อปป์ ได้เล่นในรัง ลิเบอร์ตี้ สเตเดี้ยม ต่อหน้าเสียงเชียร์ของแฟนบอล
แต่ผลการแข่งขันไม่ได้เป็นดั่งที่หวัง พวกเขาพ่ายให้กับ ลิเวอร์พูล 1-2 จนเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2016 ให้หลังจากการพ่าย “หงส์แดง” 2 วัน เขาถูกปลดออกจากตำแหน่ง ซึ่งเป็นวันเกิดครบรอบ 61 ปีแบบพอดิบพอดี เรียกได้ว่าเซอร์ไพรส์วันเกิดกันเลยทีเดียว
แต่งตั้งให้ บ็อบ แบร็ดลีย์ เทรนเนอร์ชาวอเมริกาเข้ามาคุมทีมแทน แต่ก็ไปไม่รอดอยู่ได้ไม่ถึง 3 เดือนโดนปลดเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม ต้องไปเอา พอล คลีเมนท์ เข้ามาคุมทีม สุดท้ายพาทีมรอดตกชั้นได้สำเร็จจบอันดับ 15 ของตาราง
๐ สลาเวน บิลิช (เวสต์แฮม ยูไนเต็ด)
อดีตกองหลังของ “ท็อฟฟี่สีน้ำเงิน” เอฟเวอร์ตัน แจ้งเกิดบนเส้นทางโค้ชกับการคุมทัพ “ตราหมากรุก” ทีมชาติโครเอเชีย เขี่ยขวัญใจมหาชนอย่าง “สิงโตคำราม” ทีมชาติอังกฤษตกรอบคัดเลือกยูโร 2008 ก้าวเข้ามารับงานคุมทีม เวสต์แฮม ยูไนเต็ด เมื่อปีวันที่ 9 มิถุนายน ปี 2015
ประเดิมสวยด้วยการพาทีมเอาชนะ “ปืนใหญ่” อาร์เซน่อล ในเกมลอนดอน ดาร์บี้ 2-0 และในอีกสามสัปดาห์ต่อมาบุกถล่มเอาชนะ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ถึงแอนฟิลด์ 3-0 พาทีมจบฤดูกาลด้วยการคว้าอันดับ 7 ได้ตั๋วไปเล่นยูโรป้า ลีก รอบคัดเลือก
ข้ามไปในฤดูกาล 2017-18 เวสต์แฮม ออกสตาร์ทได้น่าผิดหวังแพ้จาการลงเล่น 10 เกม ชนะได้แค่ 2 เสมอ 3 แพ้ไป 5 จนฟางเส้นสุดท้ายได้ขาดลงในเกมที่ 11 ของฤดูกาล เมื่อพวกเขาได้เล่นในรัง ลอนดอน สเตเดี้ยม แต่ดันไปแพ้ให้กับ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล แบบหมดสภาพ 1-4
โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ยิง 2 ประตู หลังจบเกมดังกล่าวก็เข้าสู่ช่วงเบรกทีมชาติ เขาถูกปลดออกจากตำแหน่งทันทีในวันที่ 4 พฤศจิกายน และอีก 3 วันต่อมาก็แต่งตั้งให้ เดวิด มอยส์ ที่แยกทางกับ ซันเดอร์แลนด์ เข้ามาคุมทีมแทน พาทีมจบอันดับ 13 ของตาราง
๐ สลาวิซ่า โยคาโนวิช (ฟูแล่ม)
“ย็อคก้า” อดีตกุนซือของ “กิเลนผยอง” เมืองทอง ยูไนเต็ด เป็นอีกหนึ่งผู้จัดการทีมที่ต้องถูกปลดหลังพ่ายให้กับ ลิเวอร์พูล ของ เยอร์เก้น คล็อปป์
ย้อนกลับไปในฤดูกาล 2017-18 เขาพา “เจ้าสัวน้อย” ฟูแล่ม จบอันดับที่ 3 ของศึกเดอะ แชมเปี้ยนชิพ ก่อนจะไปเพลย์ออฟเอาชนะ แอสตัน วิลล่า ในนัดชิงชนะเลิศ 1-0 ได้โควตาเลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ
ในซีซั่น 2018-19 ออกสตาร์ทบนลีกสูงสุดไม่ดีเลย 12 เกม ชนะได้แค่ 1 เสมอ 2 แพ้ถึง 9 และเกมสุดท้ายคือการบุกไปพ่ายให้กับ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ที่แอนฟิลด์ 2-0 จากประตูของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และเซอร์ดาน ชากิรี่ เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2019
หลังจากนั้นอีก 3 วันต่อมา ฟูแล่ม ได้ประกาศปลด สลาวิซ่า โยคาโนวิช ออกจากตำแหน่งกุนซือ พร้อมแต่งตั้งให้จอมเก๋าอย่าง “ทิงเกอร์แมน” เคลาดิโอ รานิเอรี่ เทรนเนอร์ชาวอิตาลี เข้ามาคุมทีมแทน อยู่ได้ประมาณ 3 เดือนเศษ ถูกปลดออกจากตำแหน่ง และฤดูกาลนั้น ฟูแล่ม ต้องกระเด็นตกชั้นไปเล่นลีกรองด้วยการจบอันดับ 19 ของตารางด้วยการมี 26 คะแนน ห่างจากโซนปลอดภัยถึง 10 แต้ม
๐ โชเซ่ มูรินโญ่ (แมนฯยูไนเต็ด)
“เดอะ สเปเชี่ยล วัน” โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือผู้ยิ่งใหญ่ชาวโปรตุเกสกับผลงานที่เขาฝากเอาไว้ในช่วงเริ่มต้นยุคมิลเลนเนียม เข้ามารับงานคุมทัพ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อฤดูกาล 2016-17 เพียงแค่ปีแรกก็สามารถพาทีมคว้าดับเบิ้ลแชมป์บอลถ้วย ลีก คัพ และยูโรป้า ลีก (ไม่รวม เอฟเอ คอมมิวนิตี้ ชิลด์) แม้ว่าจะจบอันดับ 6 ในลีกก็ตาม
แต่ถือว่ามีความสำเร็จที่สามารถจับต้องได้ แถมในฤดูกาลต่อมา 2017-18 สามารถพาทีมจบรองแชมป์ได้สำเร็จ เจ้าตัวเคยบอกว่านี่คือผลงานที่เขาภาคภูมิใจที่สุดตั้งแต่ทำงานโค้ชมา ยิ่งกว่าการพาเชลซีครองแชมป์พรีเมียร์ลีก หรือทริปเปิ้ลแชมป์กับ “งูใหญ่” อินเตอร์ มิลาน
ในฤดูกาล 2018-19 เขาพาทีมออกสตาร์ทได้อย่างย่ำแย่ แพ้ 2 จาก 3 เกมแรก ถูกวิจารณ์อย่างหนัก หลังจากนั้นเขาพาทีมไปเยือนสแตมฟอร์ด บริดจ์ ของเชลซี เกมนั้นเสมอ 2-2 เจ้าตัวโดนแฟนบอลของ “สิงห์บลูส์” โห่ใส่ จนต้องทำการชูสามนิ้ว เพื่อเตือนความทรงจำว่า “ข้าเคยพาทีมที่เอ็งเชียร์คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก มา 3 สมัยนะเว้ย”
จากนั้นผลงานของทีมก็กระท่อนกระแท่น จนวันที่ 16 ธันวาคม 2018 ตรงกับวันหวยออกพอดี มีโปรแกรมนัดสำคัญต้องพาทีมลูกลงทำศึกแดงเดือดด้วยการออกไปเยือนแอนฟิลด์ของ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล
ซาดิโอ มาเน่ ยิงให้เจ้าถิ่นนำก่อน หลังจากนั้น เจสซี่ ลินการ์ด มาทำประตูให้ทีมเยือนตามตีเสมอ 1-1 แต่ครึ่งหลังมาเจอทีเด็ดของตัวสำรองอย่าง เซอร์ดาน ชากิรี่ ที่ถูกเปลี่ยนลงมานาทีที่ 70 อยู่ในสนามเพียงแค่ 3 นาที ก็ซัดให้เจ้าถิ่นออกนำ 2-1 และอีก 10 นาทีต่อมาก็ซัดอีกเม็ดตอกฝาโลงถล่มเอาชนะไปได้ 3-1
หลังจบเกมผ่านมาแค่ 2 วัน แมนฯยูไนเต็ด ประกาศปลด โชเซ่ มูรินโญ่ ออกจากตำแหน่งกุนซือทันที หลังทนเสียงเรียกร้องจากแฟนบอลไม่ไหว พร้อมรับเงินค่าชดเชยไปเหนาะ 22.5 ล้านปอนด์ เรียกได้ว่าเขาคือกุนซือเบอร์ใหญ่ที่สุด ที่ตกเก้าอี้หลังพ่ายให้กับ ลิเวอร์พูล ของเยอร์เก้น คล็อปป์
๐ มาร์โก ซิลวา (เอฟเวอร์ตัน)
อีกหนึ่งปีต่อมาในช่วงเดือนธันวาคม มาร์โก ซิลวา ที่ในตอนนั้นคุมทัพ “ท็อฟฟี่สีน้ำเงิน” เอฟเวอร์ตัน เขากลายเหยื่ออีกราย ที่ต้องตกงานหลังพ่ายให้กับ ลิเวอร์พูล ของเยอร์เก้น คล็อปป์ ในเกมเมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี้ เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2019
ก่อนเกมดังกล่าวเขาต้องเจอกับความกดดันเพราะผ่านมา 14 เกม เอฟเวอร์ตัน เพิ่งชนะได้แค่ 4 เกมเท่านั้น ซึ่งการไปเยือนแอนฟิลด์ในหนนี้ทีมของเขาพ่ายแบบหมดรูป 5-2 โดนมหาเทพอย่าง ดิว็อค โอริกี้ กดไปสองเม็ด หล่นไปรั้งอันดับ 18 ของตาราง
ทำให้วันที่ 6 ธันวาคม เอฟเวอร์ตัน ได้ประกาศแยกทางกับ มาร์โก ซิลวา ทันที ดันเอา “บิ๊กดั๊งค์” ดันแคน เฟอร์กูสัน เข้ามาคุมทีมแบบชั่วคราว ก่อนจะได้ “คาร์เล็ตโต้” คาร์โล อันเชล็อตติ ยอดกุนซือชาวอิตาลีเข้ามาคุมทัพแบบถาวร
๐ สก็อตต์ ปาร์คเกอร์ (บอร์นมัธ)
อดีตมิดฟิลด์ของ “สิงห์บลูส์” เชลซี พา บอร์นมัธ เลื่อนชั้นด้วยการคว้ารองแชมป์ลีกรองเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ประเดิมนัดแรกในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซีซั่นนี้ได้อย่างสวยหรู ด้วยการเปิดบ้านทุบเอาชนะ “สิงห์ผงาด” แอสตัน วิลล่า 2-0 ใครจะไปคิดว่าทีมน้องใหม่อย่างพวกเขาจะเริ่มต้นได้ยอดเยี่ยมขนาดนี้
แต่โปรแกรม 3 นัดต่อมาค่อนข้างทำร้ายจิตใจพอสมควรต้องเจอกับทีมบิ๊กซิกซ์ เริ่มต้นด้วยพ่ายให้กับ แมนฯ ซิตี้ 4-0 ตามด้วยเฝ้ารังโดน อาร์เซน่อล ถล่ม 3-0 และเกมที่ 4 บุกไปเยือนแอนฟิลด์โดน “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ถลุงแบบยับเยิน 9-0 จนกลายเป็นสถิติยิงกันขาดลอยที่สุดในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ร่วมกับ แมนฯยูไนเต็ด และเลสเตอร์ ซิตี้
หลังจากนั้นเมื่อช่วงบ่ายของวันพุธที่ 30 สิงหาคม ตามเวลาในประเทศไทย บอร์นมัธ ประกาศปลด สก็อตต์ พาร์คเกอร์ ออกจากตำแหน่งทันที แม้ว่าจะผ่านมาเพียงแค่ 4 เกมเท่านั้น
ประเด็นสำคัญที่ทำให้เขาถูกปลดอาจจะไม่ใช่ความพ่ายแพ้ด้วยสกอร์ที่ขาดลอย แต่เป็นเพราะหลังจบเกม สก็อตต์ ปาร์คเกอร์ ให้สัมภาษณ์ว่าทีมของเขาเข้าขั้นโคม่าและต้องการความช่วยเหลือเป็นการส่งสัญญาณไปยังผู้บริหารโดยตรง ว่าทีมที่มีอยู่ในตอนนี้ไม่มีคุณภาพมากพอกับการต่อสู้บนลีกสูงสุด
การพูดแบบนั้นในมุมเจ้าของทีมเป็นเหมือนการหักหน้าและไม่เคารพกัน แต่ในมุมของ ปาร์คเกอร์ ก็น่าเห็นใจ เพราะเมื่อมองไปที่ทีมน้องใหม่ที่เลื่อนชั้นขึ้นมาพร้อมกัน ต่างก็พาเลซเสริมทัพยกระดับทีมให้แข็งแกร่ง ผิดกับ บอร์นมัธ ที่ใช้เงินไปเพียง 22.6 ล้านปอนด์ ในการซื้อผู้เล่น 2 ราย และอีก 3 รายเซ็นเข้ามาแบบไม่มีค่าตัว
เรียกได้ว่าเขาเป็นผู้จัดการทีมที่ถูกปลดแบบน่าเห็นใจสุด ๆ เพราะพูดตามความจริงในสิ่งที่เขาเห็นว่าทีมต้องการอะไร แต่สุดท้ายก็อยู่ไม่ได้ต้องแยกจากกันไป ไม่ได้สานงานต่อทั้งที่เป็นคนพาทีมเลื่อนชั้นขึ้นมา..