เชื่อว่าแฟนบอลไม่น้อยคงงุนงงปนสงสัยพอสมควร เมื่อเห็น ปาทริค วิเอร่า ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ของ คริสตัล พาเลซ แทนที่ รอย ฮอดจ์สัน ที่ประกาศลาทีมช่วงท้ายฤดูกาลก่อน
ก่อนหน้า ‘ปราสาทเรือนแก้ว’ มีข่าวกับกุนซือมากหน้าหลายตา แต่สุดท้ายก็ไปลงเอยกับสโมสรอื่นๆ ทั้ง นูโน่ เอสปิริโต้ ซานโต้ กับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ หรือ ราฟาเอล เบนิเตซ กับ เอฟเวอร์ตัน รวมไปถึงกุนซืออื่นๆ เช่น แฟรงค์ แลมพาร์ด, เอ็ดดี้ ฮาว หรือ ฌอน ไดซ์ ก็มีข่าวพอสมควร แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
จนกระทั่ง สตีฟ พาริช ประธานสโมสร, ดั๊กกี้ ฟรีดแมน ผู้อำนวยการกีฬา และบอร์ดบริหาร ‘ดิ อิเกิ้ลส์’ ตัดสินใจเลือกกุนซือชาวฝรั่งเศส ท่ามกลางความงุนงงไม่น้อยของแฟนพาเลซ
ปั๊ต เป็นหนึ่งในนักเตะ อาร์เซน่อล ชุดแชมป์ไร้พ่ายฤดูกาล 2003-04 และขณะเดียวกันก็ไม่มีใครปฏิเสธเขาในฐานะกองกลางเบอร์ต้นๆของยุค 2000 แต่ในประสบการณ์คุมทีมของเขามีเพียง 4 ปีเศษๆเท่านั้น กับ นิวยอร์ก ซิตี้ เอฟซี และ นีซ
ไม่แปลกที่หลายคนต่างตั้งคำถามว่าเขาจะดีพอกับ พาเลซ จริงหรือไม่ หรือแม้กระทั่งไปได้ไกลแค่ไหนในเส้นทางสายกุนซือหลังจากนี้…
สิ่งที่น่ากังวล
หากย้อนไปดูช่วงเวลา วิเอร่า คุมทีมชุดใหญ่ 2 สโมสรแรก ถือว่าน่าประหลาดใจไม่น้อยกับพัฒนาการของเขาในงานกุนซือช่วง 4 ปีที่ผ่านมา
กับฤดูกาลแรกใน นิวยอร์ก ซิตี้ เอฟซี จาก เมเจอร์ลีก ซ็อคเกอร์ สโมสรจบอันดับ 4 ในลีกฝั่งตะวันออก หลังเคยจบอันดับที่ 17 ในปีก่อน โดยเข้าไปเล่นรอบเพลย์ออฟ ก่อนพ่ายในรอบตัดเชือกต่อ โตรอนโต้
ในฤดูกาล 2017 นิวยอร์ก ซิตี้ ดูพัฒนาขึ้นชัดเจน ด้วยการจบอันดับที่ 2 ในฤดูกาลปกติ แต่ก็เป็นอีกครั้งเช่นกันที่พวกเขาไปไกลแค่รอบตัดเชือกในเพลย์ออฟลุ้นแชมป์ MLS โดยพ่ายให้กับ โคลัมบัส ครูว์ โดยคุมทีมทั้งหมด 90 นัด ชนะ 40, เสมอ 22 แพ้อีก 28 มีเปอร์เซ็นต์ชนะทั้งหมด 44%
นอกจากนี้ กุนซือชาวฝรั่งเศส ยังคว้าดาวดังที่อยู่ช่วงบั้นปลายอาชีพในยุโรป มาเสริมแกร่งในทีมด้วย ไม่ว่าจะเป็น อันเดรีย ปีร์โล่, ดาบิด บีย่า หรือ แลมพาร์ด ก็เคยอยู่ในการดูแลของเขา แสดงให้เห็นว่าสามารถจัดการกับแข้งชื่อดังได้อยู่หมัด
ทว่างานกุนซือหนล่าสุดของเขากับ นีซ คือสิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่า หลังเขาเข้ามาแทนที่ ลูเซียง ฟาฟร์ ที่ย้ายไปคุม โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในซัมเมอร์ปี 2018
2 ฤดูกาลแรกของ ‘ปั๊ต’ ในงานคุมทีมแดนน้ำหอมบ้านเกิด สามารถพูดได้ว่าประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง เมื่อพาทีมจบอันดับ 7 และ 5 ตามลำดับ ซึ่งฤดูกาลที่ 2 ช่วยให้ นีซ คว้าตั๋วไปเล่นยูโรป้า ลีกด้วย
แต่ในฤดูกาล 2020-21 นีซ กลับทำผลงานตกลงอย่างน่าใจหาย รวมถึงการพ่าย 5 นัดติด และตกรอบแบ่งกลุ่มในยูโรป้า ลีก ส่งผลให้ฟางเส้นสุดท้ายของ กุนซือวัย 45 ปีในสโมสรขาดลงทันที และถูกปลดจากตำแหน่งช่วงต้นเดือนธันวาคมปีก่อน
อีกทั้งผลงานในการคุมก็ตกลงด้วยเช่นกัน เมื่อเทียบกับสมัยอยู่ นิวยอร์ก ซิตี้ โดยกับ นีซ ปั๊ต คุมทีมชนะ 35, เสมอ 22 และ แพ้ 32 จากทั้งหมด 89 นัด มีเปอร์เซ็นต์ชนะทั้งหมด 39%
โอกาสครั้งสำคัญ
อย่างไรก็ตาม มีคำแนะนำของ อาร์เซน เวนเกอร์ ถึง วิเอร่า ที่น่าสนใจไม่น้อย โดยกล่าวว่า “คุณไม่มีทางเป็นโค้ชที่แท้จริงได้จนกว่าคุณจะโดนไล่ออก”
แน่นอนว่าการโดนเด้งครั้งนี้ ไม่ได้ทำให้ อดีตกองกลางทีมชาติฝรั่งเศส ล้มเลิกความตั้งใจแน่วแน่ในงานผู้จัดการทีม อีกทั้งพรีเมียร์ลีกก็ยังเป็นจุดหมายแรกๆที่เขาตั้งเป้าไว้ว่าอยากกลับมาอีกครั้งในฐานะกุนซือ
“ผมต้องการและยังอยากกลับมาคุมทีมในพรีเมียร์ลีกเสมอ เพราะสิ่งที่เราพูดถึงก่อนหน้าเกี่ยวกับความคลั่งไคล้ของแฟนๆ ผมเชื่อว่านั่นทำให้ พรีเมียร์ลีก เป็นหนึ่งในลีกที่น่าสนใจที่สุดในโลก” อดีตกองกลาง กล่าวกับ ITV Football Show
ณ เวลานี้ วิเอร่า ได้โอกาสพิสูจน์ตัวเองในลีกสูงสุดของอังกฤษแล้ว และถ้ามองให้ลึกลงไป อดีตตัวรับเลือดน้ำหอม ก็มีคุณภาพสำคัญที่ คริสตัล พาเลซ มองหาเช่นกัน
นักวิจารณ์และนักวิเคราะห์เกมของ MLS ต่างยกย่องเขา กับสไตล์การคุมทีมที่เน้นเกมรุก และมีการเพรสซิ่งที่ดุดัน และนี่คือสิ่งที่ พาเลซ หวังว่า อดีตกัปตัน ปืนใหญ่ จะนำไปใช้งานใน เซลเฮิร์ต ปาร์ค ซึ่งเป็นจุดที่ทีมในยุคของ ฮอดจ์สัน ยังทำได้ไม่ดีนัก
อีกทั้ง พาเลซ ยังชื่นชอบในการใช้งานดาวรุ่งฝีเท้าแจ๋วจากอคาเดมี่ ดันขึ้นมาเล่นในชุดใหญ่ด้วย และในฐานะที่เขาเคยทำหน้าที่กุนซือทีมชุดเล็กของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทำให้เขามีความรู้ในการจัดการกับนักเตะจากทีมเยาวชนไม่น้อย
ตัวอย่างที่ชัดเจนในเรื่องนี้คงหนีไม่พ้น แจ็ค แฮร์ริสัน ที่เขาเคยปลุกปั้นสมัยคุม นิวยอร์ก ซิตี้ ก่อนย้ายมาสร้างชื่อกับ ลีดส์ ยูไนเต็ด ในปัจจุบัน
นอกจากนี้ พลังในการโน้มน้าวใจและการเชื่อมสัมพันธ์ของ อดีตแข้ง ‘ปืนใหญ่’ ต่อผู้เล่นในทีมจะเป็นสิ่งที่สำคัญมากในช่วง 2-3 สัปดาห์แรกต่อจากนี้ หลังมีนักเตะหลายรายหมดสัญญากับทีมช่วงสิ้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา และเป็นสิ่งที่กุนซือคนใหม่ต้องแก้ไข
การมาของ วิเอร่า จะทำให้วิลฟรีด ซาฮา สนใจและโน้มน้าวให้เขาอยู่กับทีมต่อไปหรือไม่? บ่อยครั้งที่ ดาวยิงทีมชาติไอวอรี่โคสต์ มีข่าวลา เซลเฮิร์ต ปาร์ค แต่โอกาสได้ร่วมงานกับกุนซือที่เป็นอดีตแข้งดัง อาจทำให้เขาเลือกค้าแข้งใน ลอนดอนใต้ต่อไปก็เป็นได้
เวลาคือคำตอบ
ตลอด 4 ปีที่ ฮอดจ์สันอยู่กับ พาเลซ เขาสร้างทีมให้แข็งแกร่งในระดับหนึ่ง และไม่เคยต้องดิ้นรนรั้งโซนอันตรายหนีตกชั้นเลย เพราะฉะนั้นงานต่อไปของวิเอร่าในตอนนี้คือสร้างแรงผลักดันให้สโมสรพัฒนาขึ้น และประสบความสำเร็จต่อไป
เวนเกอร์ ได้ออกมาหนุนหลังลูกศิษย์เก่า ผ่านทาง beIN Sports ในฝรั่งเศส ว่า “อย่างแรกเลย เขาจะมีทรัพยากรที่ยอดเยี่ยมใน คริสตัล พาเลซ ผมคิดว่าการที่เขาสร้างชื่อในสนามกับพรีเมียร์ลีก ก็อยากให้เขาทำได้แบบนั้นนอกสนามเช่นกัน”
“เรายังหวังให้เขาโชคดี และผมคิดว่ามันจะยอดเยี่ยมแน่นอน”
อดีตกองกลางวัย 45 ปี เคยชินกับแรงกดดันและสปอตไลท์ของพรีเมียร์ลีกที่สาดส่องเข้ามาในฐานะผู้เล่น แต่การเป็นยืนเด่นต่อหน้าสื่อในฐานะผู้จัดการทีมถือเป็นสิ่งที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
แท็คติก,การเสริมทัพ, เทคนิคการฝึกซ้อม, ความสัมพันธ์ของผู้เล่น หรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับงานกุนซือ จะเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่า อดีตกองกลาง อินเตอร์ มิลาน จะประสบความสำเร็จกับ พาเลซ หรือไม่ในอนาคตอันใกล้นี้
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือบททดสอบครั้งใหญ่และสำคัญที่สุดของ วิเอร่า ในการคุมทีม แต่ด้วยประสบการณ์ที่มีทั้งในตอนค้าแข้งหรือคุมทีมและอาจารย์มากมายที่คอยให้คำแนะนำ น่าจะทำให้เขาประสบความสำเร็จได้แน่นอน
เพียงแต่เขาจำเป็นต้องดึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเรียนรู้ออกมาใช้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ใน คริสตัล พาเลซ หลังจากนี้เป็นต้นไป หากหวังเติบโตในเส้นทางนี้ดั่งที่หวังไว้จริงๆ