แวร์เดอร์ เบรเมน ถือเป็นหนึ่งในทีมจาก บุนเดสลีก้า เยอรมัน ที่แฟนบอลหลายคนรู้จักมักคุ้นเป็นอย่างดี โดยเฉพาะในช่วงยุค 2000 ที่ผงาดขึ้นมาคว้าแชมป์ลีกได้อย่างยิ่งใหญ่
เบรเมน เคยผงาดคว้าแชมป์ลีกแบบเซอร์ไพรส์มาแล้วในปี 2004 รวมถึงเกือบได้สัมผัสแชมป์ ยูฟ่า คัพ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสรด้วย หลังเข้าชิง ยูฟ่า คัพ ในฤดูกาล 2008-09 ภายใต้การคุมทีมของ โธมัส ชาฟ
น่าเสียดายที่ท้ายที่สุด พวกเขาพ่ายต่อ ชัคตาร์ โดเนสก์ ของ มีร์เซีย ลูเชสคู 2-1 ในสนาม ณ เมือง อิสตันบูล และนั่นเป็นช่วงท้ายๆ ใกล้เคียงกับความสำเร็จครั้งสุดท้ายของทีม ‘นกนางนวล’ ก่อนกลายร่างเป็นทีมกลางตารางสมบูรณ์แบบ และตกชั้นในปี 12 ปีต่อมา หล่นไปเล่นลีก้า ทู เป็นครั้งแรกในรอบ 40 ปี เมื่อฤดูกาล 2021-22 ก่อนกลับมาเล่นในลีกสูงสุดได้อีกครั้งในฤดูกาลล่าสุด
UFA ARENA จึงขออาสาพาไปย้อนรำลึกถึง เบรเมน ชุดเข้าชิงถ้วยยุโรปถ้วยเล็กในปี 2009 ที่แม้ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ก็เต็มไปด้วยดาวรุ่งมากพรสวรรค์ และแข้งตัวเก๋ามากมายที่พาทีมมาไกลเกินฝัน
ผู้รักษาประตู | ทิม วิเซ่
วิเซ่ เริ่มต้นค้าแข้งกับ ฟอร์ทูน่า โคโลญจน์ ในปี 1999 แม้ฝึกวิชาลูกหนังกับ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ตั้งแต่ชุดเยาวชน ก็ตาม ก่อนย้ายไป แวร์เดอร์ เบรเมน ในปี 2005
นายด่านชาวเยอรมัน อยู่เฝ้าเสาให้กับ ‘นกนางนวล’ เป็นเวลา 7 ปี โดยลงเล่นให้ทีมไปทั้งหมด 266 นัด พร้อมเก็บคลีนชีทอีก 81 นัด และย้ายไปปิดฉากอาชีพกับ ฮอฟเฟ่นไฮม์ 2014
หลังแขวนถุงมือ ชื่อของ วิเซ่ ถูกพูดถึงจากแฟน ๆ อีกครั้ง เนื่องจากการฟิตหุ่นจนมีรูปร่างที่กำยำราวกับนักมวยปล้ำ จนทำให้เข้าไปเดบิวท์ใน WWE ค่ายมวยปล้ำระดับโลกในปี 2016 ในช่วงสั้น ๆ ก่อนกลับมาเล่นฟุตบอลอีกครั้งกับ ดิลิงเก้น สโมสรในลีกดิวิชั่น 8 ของเยอรมัน ในปี 2017
แบ็คขวา | เคลเมนส์ ฟริตซ์
เบรเมน กลายเป็นสโมสรที่ ฟริตซ์ อยู่ปักหลังค้าแข้งนานที่สุด นับตั้งแต่ย้ายมาร่วมทีมในปี 2006 และประกาศแขวนสตั๊ดกับทีม ปิดฉาก 17 ปีในอาชีพค้าแข้ง เมื่อฤดูกาล 2015-16 แต่สุดท้ายก็ขยายสัญญากับทีมไปอีก 1 ปี และเป็นคนสำคัญของทีมจนกระทั่งวันสุดท้ายในปี 2017
นอกจากนี้ อดีตแบ็คขวาวัย 40 ปี ยังเป็นส่วนหนึ่งของ ทีมชาติเยอรมัน ชุดรองแชป์ยูโรปี 2008 ด้วย และมีประสบการณ์ค้าแข้งกับร็อต ไวส์ เออร์เฟิร์ต,คาร์ลสรูห์ และ เลเวอร์คูเซ่น
เซ็นเตอร์แบ็ค | แพร์ แมร์เตซัคเกอร์
ยามค้าแข้งในทีม แมร์เตซัคเกอร์ กลายเป็นหนึ่งในกองหลังชาวเยอรมันที่ดีที่สุด ณ เวลานั้น โดยได้ย้ายมาค้าแข้งกับทีม หลังติดทัพ ‘อินทรีเหล็ก’ ชุดลุยฟุตบอลโลกในปี 2006
กองหลังเมืองเบียร์ รับใช้ ‘นกนางนวล’ ทั้งหมด 216 นัด ยิงได้ 16 ประตู ก่อนย้ายไป อาร์เซน่อล ในปี 2011 พร้อมกับแขวนสตั๊ดกับ ‘ปืนใหญ่’ ในอีก 7 ปีต่อมา และทำหน้าที่กุนซือทีมเยาวชนสโมสรตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เซ็นเตอร์แบ็ค | นัลโด้
นัลโด้ ยึดตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็คตัวจริงของสโมสร มาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 2005 ถึง 2012 โดยอดีตแข้งทีมชาติบราซิล ลงเล่นให้ทีมทั้งหมด 170 นัดในลีก ก่อนย้ายไปซบทีมอริร่วม บุนเดสลีก้า อย่าง โวล์ฟส์บวร์ก และ ชาลเก้ ในเวลาต่อมา
ช่วงบั้นปลายอาชีพ นัลโด้ ย้ายไปเล่นกับ โมนาโก ทีมที่เขาโดนไล่ออก 2 จาก 3 นัดแรกในลีก และแขวนสตั๊ดในปี 2020 ที่ผ่านมา และถึงแม้ติดทีมชาติเพียง 4 นัด เขาก็ถือเป็นกองหลังต่างชาติเบอร์ต้น ๆ ในประวัติศาสตร์ของบุนเดสลีก้าอย่างไม่ต้องสงสัย
แบ็คซ้าย | เซบาสเตียน เบอร์นิช
ถึงเริ่มต้นกับทีมเยาวชนของ ชาลเก้ แต่ แบ็คชาวโปล ก็ย้ายมาเล่นกับ ‘นกนางนวล’ เป็นเวลา 5 ปีด้วยกัน ซึ่งพีกสุด ๆ ในช่วงที่พาทีมเข้าชิง ยูฟ่า คัพ ปี 2009 แต่หลังจากนั้นฟอร์มเขาก็ไม่เคยยอดเยี่ยมอีกเลย ทั้งกับ เลเวอร์คูเซ่น, 1860 มิวนิค ที่เขาย้ายไปแบบไร้ค่าตัวในปี 2016 และถูกปล่อยออกจากทีมในฤดูกาลก่อน กลายเป็นนักเตะไร้สังกัดในวัย 34 ปี จนถึงตอนนี้
นอกจากนี้ เบอร์นิช ยังเคยลงเล่นให้กับทีมชาติเยอรมันรุ่นเยาวชน ร่วมกับทั้ง มานูเอล นอยเออร์, เจอโรม บัวเต็ง และ เมซุต โอซิล พร้อมช่วยให้ ‘อินทรีเหล็กน้อย’ คว้าแชมป์ยูโร รุ่น U-21 มาครองในปี 2009 ด้วย ก่อนที่เขาจะเลือกเล่นให้ทีมชาติโปแลนด์ในเวลาต่อมา
กองกลางฝั่งขวา | ปีเตอร์ นีเมเยอร์
อดีตกองกลางจาก เอฟซี ทเวนเต้ โยกย้ายจากฮอลแลนด์ มาค้าแข้งใน สโมสรเยอรมันทางตอนเหนือในปี 2007 แม่อยู่กับ เบรเมน เพียงไม่นานนัก แต่ก็เป็น 4 ฤดูกาลที่ดีสำหรับ นีเมเยอร์ และลงเล่นไปทั้งหมด 55 นัดกับสโมสร
อดีตแข้งวัย 37 ปี ถูดจดจำได้ดีช่วงที่ค้าแข้งกับ ดาร์มสตัดท์ และพาทีมหนีตกชั้นในบุนเดสลีก้า แบบเกินร้อยในฤดูกาล 2015-16 และ 2016-17 ก่อนค้าแข้งปีสุดท้ายกับทีมที่หล่นไปเล่นในลีกรองเมืองเบียร์ หลังจบฤดูกาล 2017-18
กองกลาง | ทอร์สเท่น ฟริงส์
ทอร์สเท่น ฟริงส์ ถือเป็นกองกลางเบอร์ต้น ๆ ของ เยอรมันในยุค 2000 โดยเขาค้าแข้งกับทีม ถึง 2 ช่วงด้วยกัน โดยครั้งแรกเกิดขึ้นระหว่างปี 1997-2002 ก่อนย้ายไปซบทีมที่ใหญ่กว่าอย่าง โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ และ บาเยิร์น มิวนิค
หลังคว้าแชมป์ลีกกับ เสือใต้ ได้ ฟริงส์ ก็หวนกลับมาทีม นกนางนวลอีกครั้งในปี 2005 จนถึงปี 2011 จากนั้นจึงย้ายไปปิดฉากอาชีพกับ โตรอนโต้ เอฟซี ในเมเจอร์ลีก ซ็อคเกอร์ปี 2011-2012
หลังแขวนสตั๊ด อดีตกองกลางทีมชาติเยอรมัน ผันมาทำหน้าที่กุนซือเต็มตัว โดยคุม ดาร์มสตัดท์ เป็นทีมแรกในปี 2016 ก่อนที่ย้ายไปคุม เมปเป่น สโมสรลีก้า 3 ในลีกเบียร์ ตั้งแต่ปี 2020-2021
กองกลาง | แฟรงค์ เบามันน์
เบามันน์ รับหน้าที่เป็นกัปตันทีมของ เบรเมน ในฤดูกาล 2008-09 และเป็นฤดูกาลสุดท้ายของเขาในอาชีพค้าแข้งด้วย
อดีตกองกลางชาวเยอรมัน ย้ายมาร่วมทีม ‘นกนางนวล’ ในปี 1999 หลังสร้างชื่อ เนิร์นแบร์ก เป็นเวลา 5 ปี และกลายเป็นหนึ่งในตำนานของสโมสร ด้วยการลงเล่นทั้งหมด 364 นัด ยิงไป 21 ประตู กับ 22 แอสซิสต์ พร้อมมีส่วนพาทีมคว้าแชมป์บุนเดสลีก้าในปี 2004 และเดเอฟเบ โพคาล อีก 2 สมัย
หลังแขวนสตั๊ด เบามันน์ ก็ยังทำงานเกี่ยวกับฟุตบอลอยู่ โดยรับบทบาทเป็น ผู้อำนวยการกีฬาของสโมสร ตั้งแต่ปี 2016 จนถึงปัจจุบัน
กองกลางฝั่งซ้าย | เมซุต โอซิล
แข้งอีกคนที่ย้ายจาก ชาลเก้ มาซบ เบรเมน และ โอซิล ก็สร้างชื่อให้ตัวเองในฐานะดาวรุ่งที่น่าจับตามองนับตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา
เพลย์เมกเกอร์หนุ่ม ได้รับความสนใจจากสโมสรยักษ์ใหญ่ในยุโรปมากมาย ทั้ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หลังโชว์ฟอร์มสุดแจ่มในฟุตบอลโลกปี 2010 ก่อนท้ายที่สุด จะเป็นเรอัล มาดริด ที่คว้าตัวเขาไปร่วมทีม
ในสเปน โอซิล ถูกขนานนามว่าเป็น ราชาแห่งการแอสซิสต์ (81 ครั้งจาก 159 นัด) หลังประสบความสำเร็จในแดนกระทิงพอสมควร อาร์เซน เวนเกอร์ ก็ตัดสินใจคว้าตัว กองกลางนักจ่าย ไปร่วมทีมอาร์เซน่อล ด้วยสถิติสโมสรในปี 2013
กองกลางตัวรุก | ดีเอโก้
ดีเอโก้ คือคนที่แอสซิสต์ให้ โอซิช ยิงประตูชัยในนัดชิง เดเอฟเบ โพคาล ฤดูกาลเดียวกัน และเป็นแข้งมากพรสวรรค์อีกคนที่ได้รับการชื่นชมน้อยใหญ่ในบุนเดสลีก้า ด้วยผลงานสุดแจ่มจาก 54 ประตู ใน 132 นัด
อดีตกองกลางทีมชาติบราซิล ย้ายไป ยูเวนตุส ในปี 2009 แต่ไม่สามารถโชว์ฟอร์มเก่งได้ดั่งเดิม ก่อนถูกแทนที่โดย อันเดรีย ปีร์โล่ ทำให้เจ้าตัวตัดสินใจย้ายกลับมา เยอรมัน อีกครั้งกับ โวล์ฟส์บวร์ก เป็นเวลา 4 ปี
ปัจจุบัน ดีเอโก้ ในวัย 37 ปี ประกาศอำลาฟลอร์หญ้าที่เขารักแล้วเมื่อปลายปี 2022 โดยค้าแข้งกับ ฟลาเมงโก้ สโมสรในบ้านเกิดตั้งแต่ปี 2016 เป็นทีมสุดท้าย
กองหน้า | เคลาดิโอ้ ปิซาร์โร่
ระหว่างปี 1999 จนถึงปัจจุบัน ปิซาร์โร่ ลงเล่นให้กับ 4 สโมสรต่างกัน และ 2 จากทั้งหมดนั้น เขาย้ายกลับไปมากกว่า 1 ครั้ง
หลังจากลา เบรเมน ไปซบ บาเยิร์น มิวนิค ในปี 2001 และย้ายไป เชลซี ในปี 2007 ก็คัมแบ็คกลับมา ‘นกนางนวล’ อีกครั้งในฤดูกาล 2008-09 แบบยืมตัว ก่อนย้ายกลับมาถาวรในฤดูกาลต่อมา
แต่ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกครั้ง เมื่อ หอกชาวเปรู ย้ายกลับไป ‘เสือใต้’ อีกครั้ง ในปี 2012 และรีเทิร์น กลับมาซบ ‘นกนางนวล’ อีกหนในปี 2015 แม้ลาสโมสรอีกครั้งเพื่อร่วมทีม โคโลญจน์ ในปี 2017 แต่สุดท้าย ปิซาร์โร่ ก็ย้ายกลับมาถิ่น เวสเซอร์ สตาดิโอน เป็นครั้งที่ 4 ในฤดูกาล 2018-19 และอยู่ยาวจนแขวนสตั๊ดในปี 2020
กุนซือ : โธมัส ชาฟ
โธมัส ชาฟ คือตำนานแข้งของ เบรเมน ที่ค้าแข้งกับสโมสรนานกว่า 17 ปี รวมถึงเป็นตำนานของทีมในฐานะผู้จัดการทีมเช่นกัน หลังพาทีมคว้าแชมป์ลีก 1 สมัย พร้อมกับ เดเอฟเบ โพคาล อีก 3 สมัย
หลังคุมทีมมานาน 13 ปีกว่า กุนซือ 61 ปี ก็อำลาทีมรักในปี 2013 และย้ายไปคุม ไอน์ทรัค แฟรงค์เฟิร์ต และ ฮันโนเวอร์ 96 ทว่าไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่ ก่อนกลับมาคุมทีมข้างสนามช่วงสั้นๆ ในฐานะกุนซือชั่วคราวของ นกนางนวล ช่วงท้ายฤดูกาล 2020-21 ที่ทีมตกชั้นไปเล่นลีก้า ทู
ตัวสำรอง
มักซ์ ครูเซ่
มักซ์ ครูเซ่ ยังเป็นดาวรุ่งลูกหม้อของ เบรเมน ในตอนนั้น และไม่ได้รับโอกาสเท่าไหร่ แต่ก็สร้างชื่อได้สำเร็จหลังย้ายไปร่วมทีม ซังค์ เพาลี ในปี 2009 และมีโอกาสได้เล่นกับทีมดังในเมืองเบียร์มากมาย ทั้ง ไฟร์บวร์ก, กลัดบัค, โวล์ฟส์บวร์ก ก่อนย้ายกลับมา ‘นกนางนวล’ อีกครั้งในปี 2016 โดยปัจจุบันก็ยังค้าแข้งอยู่แต่เป็นนักเตะไร้สังกัดตั้งแต่ปี 2022 หลังยกเลิกสัญญากับ โวล์ฟสบวร์ก ช่วงปลายปี 2022
อารอน ฮันท์
มีหลายคนคาดหวังกับ ฮันท์ มาก ๆ หลังขึ้นมาเล่นชุดใหญ่กับ เบรเมน ได้เมื่อ 10 กว่าปีก่อน แม้สามารถเล่นให้ทีมชาติอังกฤษได้ แต่ก็เลือกเล่นให้ทีมชาติเยอรมัน ซึ่งติดธงไป 3 นัดในระหว่างปี 2009-2013
เขาลาทีม ในปี 2014 เพื่อย้ายไปเล่นกับ โวล์ฟส์บวร์ก เพียงฤดูกาลเดียว จากนั้นจึงย้ายไปซบ ฮัมบูร์ก ในปี 2015 และอยู่ยาวกับทีม สิงห์หนุ่ม จนถึงปัจจุบัน
ฮูโก้ อัลเมด้า
อดีตกองหน้าของ ปอร์โต้ ย้ายมาร่วมทีม ในปี 2007 และหลังลาทีมในปี 2010 อัลเมด้า ก็กลายเป็นร่างเป็นดาวเตะจอมพเนจรอย่างสมบูรณ์
นับตั้งแต่ฤดูกาล 2011-12 เขาลงเล่นให้ 8 สโมสร จาก 7 ประเทศ ก่อนย้ายกลับมาเล่นกับ อคาเดมิก้า สโมสรในโปรตุเกส บ้านเกิด และแขวนสตั๊ดในปี 2020
มาร์คุส โรเซนเบิร์ก
หลังโดดเด่นในฐานะดาวรุ่งของ อาแจ็กซ์ 2 ฤดูกาล ทำให้ เบรเมน คว้า โรเซนเบิร์ก มาร่วมทีมในปีเดือนมกราคมปี 2007 และอยู่กับทีมนาน 4 ฤดูกาล โดยยิงไป 53 ประตู จาก 165 นัด ก่อนย้ายไปเล่นกับ เวสต์บรอม ในระหว่างปี 2012-2014
หอกชาวสวีดิช ย้ายกลับไปเล่นกับ มัลโม่ สโมสรในบ้านเกิด ตั้งแต่ปี 2014 ซึ่งทำหน้าที่เป็นกัปตันทีม จนกระทั่งแขวนสตั๊ดในปี 2019