สโมสรพรีเมียร์ลีกใช้เงินราวๆ 1.04 พันล้านปอนด์ในตลาดนักเตะช่วงซัมเมอร์ปี 2021 แต่ซัมเมอร์ในปี 2022 พวกเขาใช้เงินมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัวเลย กับจำนวน 2.1 พันล้านปอนด์ กับนักเตะ 134 รายที่มีการเปิดเผยค่าตัว
นั่นหมายความสโมสรจากลีกสูงสุดแดนผู้ดีใช้เงินทะลุพันล้านปอนด์เป็นปีที่ 7 ติดต่อกันแล้ว แถมนี่ยังเป็นตัวเลขการเสริมทัพที่เป็นสถิติสูงสุดในฟุตบอลอังกฤษอีกด้วย ทำลายสถิติในปี 2017 ลงอย่างราบคาบ ทั้งๆที่ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาสโมสรต่างประสบปัญหาด้านการเงินจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 มาก็ตาม
ทาง UFA ARENA จึงขอสรุปตลาดนักเตะหน้าร้อนที่เกิดขึ้นในพรีเมียร์ลีกประจำปี 2022 ว่าทีมไหนใช้จ่ายมากที่สุด, ได้กำไรจากการขายมากที่สุด และมีค่าใช้จ่ายสุทธิเท่าไหร่ในตลาดรอบนี้
สถิติลีกอังกฤษ
สถิติการใช้จ่ายเงินเสริมทัพมากที่สุดของพรีเมียร์ลีกคือช่วงซัมเมอร์ปี 2017 ด้วยจำนวนเงิน 1.49 พ้นล้านปอนด์ แต่ตัวเลขก็ลดลงชัดเจนเมื่อในปี 2020 การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าเกิดขึ้นทั่วโลก ทำให้เงินที่ใช้ในการซื้อแข้งใหม่ลดลงตามไปด้วย
ณ ช่วงที่โควิดระบาดจนต้องเตะกันแบบปิดสนาม แกร์รี่ เนวิลล์ อดีตแบ็คขวาแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ปัจจุบันทำหน้าที่เป็นกูรูให้กับ Sky Sports กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า “ในระดับของพรีเมียร์ลีก สัญญาค่าเหนื่อยจะเพิ่มขึ้นแน่สำหรับนักเตะระดับท็อป ในช่วง 2-3 ปีต่อไป สโมสรต่างๆ จะมีเหตุผลมากขึ้นในการหาผู้เล่นเข้ามาในทีม”
“ผู้เล่นระดับกลางๆส่วนใหญ่จะยอมรับค่าเหนื่อยที่น้อยลง และระยะสัญญาที่น้อยลงเพื่อโอกาสลงสนาม สโมสรก็จะเขี้ยวมากขึ้นในการเจรจากับผู้เล่นและตัวแทน เพราะการสูญเสียเงินจากโควิด”
ในซัมเมอร์ปี 2020 มีการใช้เงินเสริมทัพรวม 1.31 พ้นล้านปอนด์ ห่างจากปีก่อนไม่มากที่ 1.40 พ้นล้านปอนด์ แต่ในซัมเมอร์ปี 2021 กลับเหลือเพียง 1.04 พ้นล้านปอนด์ น้อยกว่าเดิมราวๆเกือบ 300 ล้านปอนด์
อย่างไรก็ตามเมื่อผ่าน 2 ปีนั้นมา สโมสรในพรีเมียร์ลีกทั้ง 20 ทีมกลับทำลายสถิติการเสริมทัพในซัมเมอร์นี้แบบไม่มีคาดคิดว่าจะเกิดขึ้นกับจำนวน 2.1 พ้นล้านปอนด์ แซงหน้าปี 2017 ไปแบบไม่เห็นฝุ่น ที่มีถึง 4 ทีมที่ซื้อแข้งใหม่เข้ามาทะลุ 100 ล้านปอนด์ แต่ในซัมเมอร์ปี 2022 กลับมีถึง 9 ทีมที่ช้อปในจำนวนเลข 3 หลัก
สิงห์บลูส์ทุ่มหนักเป็นสถิติ
เชลซี เป็นทีมที่ใช้เงินในซัมเมอร์นี้มากที่สุดกับจำนวน 278.4 ล้านปอนด์ ทำสถิติเสริมทัพมากที่สุดที่ สิงห์บลูส์ เคยทำไว้เมื่อ 2 ปีก่อนด้วย
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตามมาเป็นอันดับ 2 หลังปิดดีลอันโตนี่ได้ในช่วงโค้งสุดท้ายของตลาด รวมเป็นจำนวน 227.4 ล้านปอนด์ ตามมาด้วย เวสต์แฮม (179.2 ล้านปอนด์), ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ (172 ล้านปอนด์) และ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ (157.3 ล้านปอนด์)
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แชมป์ลีกฤดูกาลก่อน ใช้เงินไป 128.8 ล้านปอนด์ ห่างจาก นิวคาสเซิ่ล (123 ล้านปอนด์) และ อาร์เซน่อล (121 ล้านปอนด์) ไม่มาก
ขณะที่อีกฝั่งของตัวเลขด้านนี้ เลสเตอร์ ซิตี้ กลายเป็นทีมที่ใช้เงินน้อยที่สุดกับจำนวน 15 ล้านปอนด์ ตามมาด้วย บอร์นมัธ (26 ล้านปอนด์), คริสตัล พาเลซ (32 ล้านปอนด์), ไบรท์ตัน (34.5 ล้านปอนด์) และ เบรนท์ฟอร์ด (54.7 ล้านปอนด์)
เรือใบยอดนักขาย
ในอดีต แมนฯซิตี้ อาจเป็นทีมที่เน้นการซื้อแข้งใหม่เพื่อเสริมแกร่งมากกว่าขาย แต่ในตอนนี้ต้องบอกว่าพวกเขาเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างมาก เพราะในซัมเมอร์นี้พวกเขามีรายได้จากแข้งขาออกถึง 178.8 ล้านปอนด์ เหนือกว่าทั้ง ไบรท์ตัน (115.3 ล้านปอนด์) และ ลีดส์ (105 ล้านปอนด์)
ตามมาด้วย เลสเตอร์ ที่ได้กำไรหนักๆจากการขาย เวสลี่ย์ โฟฟาน่า ให้ เชลซี (75.9 ล้านปอนด์), วูล์ฟส์ (60.2 ล้านปอนด์), 2 ทีมคู่แข่งจาก เมอร์ซี่ย์ไซด์ อย่าง เอฟเวอร์ตัน (60 ล้านปอนด์) และ ลิเวอร์พูล (56 ล้านปอนด์), เชลซี (50 ล้านปอนด์) และ แอสตัน วิลล่า (35 ล้านปอนด์)
อย่างไรก็ตาม บอร์นมัธ, คริสตัล พาเลซ, ฟูแล่ม, นิวคาสเซิ่ล, ฟอเรสต์ และ เซาแธมป์ตัน คือสโมสร ไม่มีรายได้เข้ามาเลยเมื่อดูจากดีลที่มีการเปิดเผยค่าตัว
การใช้จ่ายสุทธิ
เมื่อนำค่าใช้จ่ายกับรายได้ในตลาดนักเตะมาหักลบกันก็จะได้ค่าใช้จ่ายสุทธิของสโมสรในลีก และไม่แปลกใจที่ทีมของ โธมัส ทูเคิ่ล จะครองตำแหน่งนี้เหนือใคร ด้วยจำนวน 228.4 ล้านปอนด์ มากกว่า แมนฯยูไนเต็ด ของ เอริค เทน ฮาก (202.4 ล้านปอนด์) อยู่พอสมควร รวมไปถึงห่างจาก เวสต์แฮม อยู่เยอะ (164.2 ล้านปอนด์)
ส่วนอันดับรองลงมาได้แก่ ฟอเรสต์ (157.3 ล้านปอนด์), สเปอร์ส (143.1 ล้านปอนด์), นิวคาสเซิ่ล (123 ล้านปอนด์) และ อาร์เซน่อล (98 ล้านปอนด์) ซึ่งเป็นทีมที่ใช้จ่ายมากกว่าสโมสรที่เหลือ
ที่สำคัญในซัมเมอร์นี้มีเพียงแค่ 4 ทีมที่มีกำไรเมื่อนำค่าใช้จ่ายขาเข้ามาหักลบกับรายได้ในฝั่งแข้งขาออก นั่นก็คือ ไบรท์ตัน (กำไร 80 ล้านปอนด์), เลสเตอร์ (60.9 ล้านปอนด์), แมนฯซิตี้ (50 ล้านปอนด์) และ ลีดส์ (9.6 ล้านปอนด์)
ดาวเด่นค่าตัวแพงสุด
อันโตนี่ กลายเป็นนักเตะที่มีค่าตัวสูงสุดในพรีเมียร์ลีกซัมเมอร์นี้ หลังย้ายจาก อาแจ็กซ์ มา แมนฯยูไนเต็ด ด้วยค่าตัว 86 ล้านปอนด์ ตามมาด้วย ดาร์วิน นูนเญซ ดาวยิงหน้าหล่อเท่ที่ ลิเวอร์พูล คว้ามาจาก เบนฟิก้า ในราคา 85 ล้านปอนด์ และ เวสลี่ย์ โฟฟาน่า ที่ย้ายจาก เลสเตอร์ ไป เชลซี ด้วยค่าตัว 75 ล้านปอนด์
นอกจากนี้ ‘ปีศาจแดง’ ยังมีดีลเบิ้มๆอีก 2 รายก่อนหน้านี้ ทั้ง คาร์เซมิโร่ ที่จ่ายให้ เรอัล มาดริด 60 ล้านปอนด์ กับ ลิซานโดร มาร์ติเนซ จาก อาแจ็กซ์ 56.7 ล้านปอนด์ ขณะที่ นิวคาสเซิ่ล ทุ่มเงินคว้า อเล็กซานเดอร์ อิซัค หอกจาก เรอัล โซเซียดาด มาร่วมด้วยค่าตัวสถิติสโมสร 63 ล้านปอนด์
ตามมาด้วย มาร์ค คูคูเรย่า ที่ย้ายจาก ไบรท์ตัน ไป เชลซี 63 ล้านปอนด์ และ ริชาร์ลิซอน ที่ย้ายจาก เอฟเวอร์ตัน ไป สเปอร์ส 60 ล้านปอนด์
เก็บตกคืนม้าหอน
วันสุดท้ายของตลาดนักเตะในซัมเมอร์นี้ หลายทีมในพรีเมียร์ลีกต่างพยายามเร่งปิดดีลให้ทันเวลา โดยมีดีลที่โดดเด่นก็คือ เชลซี เซ็นสัญญาคว้า ปิแอร์ เอเมริค โอบาเมย็อง กองหน้าของ บาร์เซโลน่า มาร่วมทีมด้วยค่าตัว 8 ล้านปอนด์ เซ็นสัญญา 2 ปี พร้อมยืมตัว เดนนิส ซากาเรีย กองกลางทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ ของ ยูเวนตุส พ่วงซื้อขาด 30 ล้านยูโร
แต่ในขณะเดียวกันก็ปล่อย มาร์กอส อลอนโซ่ ไป บาร์ซ่า เช่นกัน รวมไปถึงขาย บิลลี่ กิลมอร์ กองกลางทีมชาติสกอตแลนด์ ให้กับ ไบรท์ตัน ด้วยค่าตัว 9 ล้านปอนด์
ลิเวอร์พูล ที่ขาดแคลนผู้เล่นในแดนกลาง ก็เปิดตัว อาร์ตูร์ เมโล่ กองกลางของ ยูเวนตุส มาร่วมทีมด้วยสัญญายืมตัว 4.5 ล้านยูโร พ่วงซื้อขาด 37.5 ล้านยูโรแบ่งจ่าย 2 ปี ขณะที่ แมนฯยูไนเต็ด คู่อริตลอดกาลก็ปิดดีลยืม มาร์ติน ดูบราฟก้า นายทวารของ นิวคาสเซิ่ล มาร่วมทีมพ่วงซื้อขาด 6 ล้านปอนด์
ด้าน เอฟเวอร์ตัน จัดการคว้าตัว อิดริสซ่า เกย์ กองกลางคนคุ้นเคยจาก ปารีส มาร่วมทีมด้วยสัญญา 2 ปี ค่าตัวประมาณ 8 ล้านปอนด์ รวมถึงได้ตัว เจมส์ การ์เนอร์ กองกลางวัย 21 ปีจาก แมนฯ ยูไนเต็ด ค่าตัว 15 ล้านปอนด์ เซ็นสัญญา 4 ปี แต่ก็ตัดสินใจปล่อย อังเดร โกเมส ให้ ลีลล์ ยืมใช้งาน 1 ซีซั่น
ส่วนทีมที่เคลื่อนไหวในคืนหมาหอนมากที่สุดคือ ฟูแล่ม ที่เซ็นวันเดียว 4 คนรวด ทั้ง ยืมตัว แดเนี่ยล เจมส์ จาก ลีดส์ จนจบฤดูกาล, คว้าตัว คาร์ลอส วินิซิอุส กองหน้าจาก เบนฟิก้า ในราคา 4.25 ล้านปอนด์, ยืมตัว เลย์แว็ง กูร์ซาว่า แบ็คซ้ายของ เปแอสเช1 ปี และเซ็นฟรี วิลเลียน ปีกแซมบ้าสัญญาระยะสั้น 1 ปี
รวมไปถึง เซาแธมป์ตัน เช่นกันที่ได้แข้งใหม่ 4 รายในวันสุดท้าย กับ ดูย ซาเลต้า-ซาร์ กองหลังโอลิมปิก มาร์กเซย มาร่วมทีมด้วยสัญญา 4 ปี, 2 ดาวรุ่งของ แมนฯ ซิตี้ มาอีก 2 คนก็คือ ฆวน ลาริออส แบ็คซ้าย และ ซามูเอล เอโดซี่ ตัวริมเส้น ค่าตัวรวมกัน 16 ล้านปอนด์ และปิดท้ายยืม เอนสลี่ย์ เมทแลนด์-ไนล์ส กองกลางของ อาร์เซนอล มาร่วมทีมด้วยสัญญายืมตัว
เจ้าป่ายอดนักช้อป
เชลซี อาจเป็นสโมสรที่ใช้จ่ายเงินเสริมทัพมากที่สุด แต่ถ้าวัดกันที่จำนวนแล้ว ไม่มีทีมไหนในลีกเทียบได้กับ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ อีกแล้ว
การเลื่อนชั้นขึ้นมาพรีเมียร์ลีกในรอบ 23 ปี ทำให้ทีม ‘เจ้าป่า’ พยายามเสริมขุมกำลังใหม่เข้ามาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อเอาตัวรอดในลีกสูงสุด และได้แข้งใหม่เข้ามาร่วมทีมถึง 21 รายด้วยกัน
ตัวเลขดังกล่าวทำให้ ฟอเรสต์ ทำลายสถิติกลายเป็นทีมที่คว้าผู้เล่นเข้ามาเสริมทัพมากสุดภายในตลาดนักเตะรอบเดียวของลีกอังกฤษ แซงหน้าสถิติเดิมที่ คริสตัล พาเลซ เคยทำไว้ 17 คน เมื่อปี 2013
ไม่เพียงเท่านั้น ทีมของ สตีฟ คูเปอร์ ยังดึงนักเตะบิ๊กเนมหลายคนให้มาค้าแข้งยังถิ่น ซิตี้ กราวด์ ในซีซั่นนี้ได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็น ดีน เฮนเดอร์สัน, เจสซี ลินการ์ด, ชีคคู คูยาเต้ และ เรนาน โลดี้ แต่ก็ต้องมาลุ้นไปยาวๆว่า นักเตะเหล่านี้จะพา ฟอเรสต์ อยู่รอดปลอดภัยหรือไม่
เชลซี กับ ฟูแล่ม เป็นทีมคว้าแข้งใหม่เข้ามาเยอะรองลงมา กับจำนวน 13 คนเท่ากัน ตามมาด้วย เซาแธมป์ตัน กับ สเปอร์ส ที่จำนวน 11 คน, แอสตัน วิลล่า (9), เบรท์ฟอร์ด (9), ลีดส์ (9), เวสต์แฮม (9), เอฟเวอร์ตัน (8), วูล์ฟส์ (8) และ นิวคาสเซิ่ล (8)
ส่วนทีมที่ได้แข้งน้อยที่สุดก็คือ เลสเตอร์ ที่เซ็นฟรี อเล็กซ์ สมิธตี้ส์ นายด่านจาก คาร์ดิฟฟ์ แบบไร้ค่าตัว กับ เว้าท์ ฟาส กองหลังจากแร็งส์ ด้วยค่าตัว 15 ล้านปอนด์ จนทำให้ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส กุนซือ ‘เดอะ ฟ็อกซ์’ ออกมาบ่นว่าไม่ได้รับการสนับสนุนเรื่องการเสริมทัพในซัมเมอร์นี้อย่างที่ควรจะเป็น