ชาลเก้ ถือเป็นหนึ่งในสโมสรเก่าแก่ของ บุนเดสลีก้า เยอรมัน ที่ทั้งประวัติศาสตร์และความยิ่งใหญ่ให้แฟนบอลได้พูดถึงอยู่เรื่อยมาจนปัจจุบัน
แม้ ‘ราชันสีน้ำเงิน’ เข้าสู่ช่วงเวลาตกต่ำช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ทั้งทำสถิติไม่ชนะใครติดต่อกันถึง 29 เกมติดในลีก แย่สุดเป็นออันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ของบุนเดสลีก้า หรือตกชั้นไปเล่นในลีกรองในฤดูกาล 2020-21 ก่อนกลับมาบุนเดสลีก้า ในฤดูกาล 2022-23 แต่หากย้อนไปก่อนหน้านั้น นี่คือทีมเบอร์ต้น ๆ ในลีกเมืองเบียร์ที่โดดเด่นในเรื่องการปลุกปั้นดาวรุ่งขึ้นมาประดับวงการ
พวกเขามีดีกรีแชมป์ลีก 7 สมัย ซึ่งมีเพียง 3 สโมสรเท่านั้นที่ทำได้มากกว่า อีกทั้งยังเป็นขาประจำที่คว้าอันดับในเล่นในบอลยุโรป ทั้งถ้วยใหญ่หรือเล็ก ด้วยการใช้ดาวรุ่งที่ทีมปลุกปั้นมาในชุดเยาวชน
น่าเสียดายที่ทีมจากแคว้นรูห์ ไม่สามารถรั้งตัวแข้งอนาคตไว้ได้ ก่อนที่ดาวรุ่งเหล่านั้นจะเติบโตกลายเป็นดาวเตะชื่อดังของวงการในเวลาต่อมา ในขณะที่พวกเขาต้องหล่นไปตั้งตัวใหม่ในลีกรองฤดูกาลหน้า
ด้วยเหตุนี้ UFA ARENA จึงขอพาไปพบกับ 11 แข้งดังที่ ชาลเก้ เป็นคนปลุกปั้นให้เติบโตขึ้นมาในวงการ และสามารถพาทีมลุ้นแชมป์บุนเดสลีก้าหรือบอลถ้วยได้แน่นอน หากสามารถเก็บแข้งเหล่านี้ให้อยู่กับทีมต่อไป
ผู้รักษาประตู : มานูเอล นอยเออร์
สโมสรปัจจุบัน : บาเยิร์น มิวนิค
ลงเล่นให้สโมสร : 203 นัด
มานูเอล นอยเออร์ ย้ายร่วมทีม ชาลเก้ ตั้งแต่เขาอายุเพียง 5 ขวบ และอยู่กับสโมสรมานานกว่า 20 ปี และเป็นหนึ่งในผลผลิตชุดเยาวชนที่ยอดเยี่ยมที่สุดของสโมสร ด้วยการฉายแววเป็นผู้รักษาประตูอนาคตไกลในวงการ
หลังคว้าแชมป์ เดเอฟเบ โพคาล ฤดูกาล 2010-11 นายทวารทีมชาติเยอรมัน ก็ย้ายไป บาเยิร์น มิวนิค สโมสรคู่อริร่วมลีก แม้มีข่าวกับสโมสรจากอังกฤษไม่น้อยก็ตาม
นอยเออร์ ลาถิ่น เวลทินส์ อารีน่า หลังลงเล่นให้ทีมมากกว่า 200 นัดในทุกรายการ ก่อนจะคว้าแชมป์บุนเดสลีก้า 7 สมัย, แชมป์เดเอฟเบ โพคาล 5 สมัย และ ถ้วยแชมเปี้ยนส์ลีก 2 สมัย กับ บาเยิร์น มิวนิค รวมถึงแชมป์ฟุตบอลโลกในปี 2014 กับทัพอินทรีเหล็ก แม้ฟอร์มอาจแผ่วไปบ้างในหลังฤดูกาลหลัง ๆ แต่ นอยเออร์ ก็พิสูจน์ให้เห็นว่ายังเป็นนายด่านเบอร์ต้น ๆ ของโลกยุคนี้อยู่ดี
แบ็คขวา : ธิโล่ เคห์เรอร์
สโมสรปัจจุบัน : เวสต์แฮม
ลงเล่นให้สโมสร : 59 นัด
หลังย้ายมาร่วมทีม ชาลเก้ ในวัย 16 ปี เมื่อปี 2012 ธิโล่ เคห์เรอร์ ก็ค่อย ๆ ไต่เต้าจากทีมเยาวชน จนก้าวมาเล่นชุดใหญ่ครั้งแรกในปี 2015 แม้เล่นเป็น เซ็นเตอร์แบ็ค แต่เขาก็พัฒนาตนเองจนกลายเป็นแข้งสารพัดประโยชน์ในทีม ที่สามารถเล่นให้ทั้งวิงแบ็ค หรือ กองกลาง ในยามจำเป็น
ฟอร์มการเล่นของ แนวรับดาวรุ่ง ไปเตะตา ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ก่อนย้ายไปในปี 2018 และยังพัฒนาอย่างต่อเนื่องกับทีมแดนน้ำหอม ทว่าไปๆมาๆ พัฒนาการของเขาก็หยุดไปดื้อๆ จนทำให้กลายเป็นแนวรับตัวสำรองของ เปแอสเช ในเวลาต่อมา โดยปัจจุบันย้ายมาเล่นกับ เวสต์แฮม ในซัมเมอร์ปี 2022
เซ็นเตอร์แบ็ค : โจแอล มาติป
สโมสรปัจจุบัน : ลิเวอร์พูล
ลงเล่นให้สโมสร : 194 นัด
กองหลังชาวแคมเมอรูน เป็นอีกหนึ่งแข้งที่เติบโตในทีมเยาวชนของ ‘ราชันสีน้ำเงิน’ ก่อนก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักในทีมชุดใหญ่ โดยเฉพาะในฤดูกาล 2015-16 ที่เขาได้ลงเล่นให้ทีมครบทุกนาทีในบุนเดสลีก้า
แม้ผูกพันกับสโมสรมากเพียงใด แต่ มาติป ก็เลือกปัดต่อสัญญาใหม่กับ ชาลเก้ และย้ายไปร่วมงานกับ เจอร์เก้น คล็อปป์ ในลิเวอร์พูล เมื่อซัมเมอร์ปี 2016 และถือเป็นแผงหลังคนสำคัญที่ช่วยให้ ‘หงส์แดง’ ประสบความสำเร็จ ทั้ง แชมเปี้ยนส์ลีก ในปี 2019 และ พรีเมียร์ลีก ในปีต่อมา
เซ็นเตอร์แบ็ค : คาน อายฮาน
สโมสรปัจจุบัน : กาลาตาซาราย
ลงเล่นให้สโมสร : 39 นัด
อานฮาน ร่วมทีมเยาวชนของ ชาลเก้ ตั้งแต่มีอายุเพียง 4 ขวบเท่านั้น และฉายแววเรื่อย ๆ มาในทีมชุดเล็กจนขึ้นมาเล่นในชุดใหญ่ได้สำเร็จตามที่หลายคนคาดหมายไว้ เพียงแต่ไม่ประสบความสำเร็จนัก เมื่อได้ลงเล่นเพียง 39 นัดจาก 3 ฤดูกาล ก่อนถูกปล่อยให้ ไอน์ทรัค แฟรงค์เฟิร์ต ยืมตัว และขายขาดให้กับ ฟอร์ทูน่า ดุสเซลดอร์ฟ ในเวลาต่อมา
อย่างไรก็ตาม หลังลายอดทีมแคว้นรูห์ กองหลังชาวตุรกี ก็พัฒนาต่อไป พร้อมกับโอกาสลงสนามที่มากขึ้น ด้วยการพา ดุสเซลดอร์ฟ เลื่อนชั้นมาเล่นในลีกสูงสุดเมืองเบียร์ เมื่อปี 2017 ก่อนย้ายไปกับ ซาสซูโอโล่ สโมสรจาก เซเรียอา ในซัมเมอร์ปี 2020 แต่ล่าสุดแนวรับวัย 28 ปี ถูกปล่อยให้ กาลาตาซาราย ยืมไปใช้งานในช่วงเดือนมกราคม
แบ็คซ้าย : เซร์คิโอ้ เอสกูเดโร่
สโมสรปัจจุบัน : บายาโลดิด
ลงเล่นให้สโมสร : 22 นัด
แม้ เซร์คิโอ้ เอสกูเดโร่ ไม้ได้เติบโตในทีมเยาวชนของ ชาลเก้ แต่เขาก็ย้ายมาร่วมทีมช่วงที่เป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในปี 2010 และมีศักยภาพไม่น้อยที่จะก้าวขึ้นมาเป็นอนาคตของทีม หลังโชว์ฟอร์มเด่นสุด ๆ กับ มูร์เซีย ทีมลีกรองในสเปน
น่าเสียดายที่ แบ็คเลือกระทิง ไม่ได้รับโอกาสมากพอ ได้ลงเล่นเพียง 22 นัดตลอด 3 ปีกับทีม ก่อนถูกปล่อยให้ เกตาเฟ่ ยืมตัว พร้อมซื้อขาดในเวลาต่อมา และยกระดับฝีเท้าตนเอง จนได้ย้ายไปเล่นกับ เซบีย่า ในปี 2015 พร้อมถูกยกให้เป็นแบ็คซ้ายเบอร์ต้นๆ ของลาลีก้า และประสบความสำเร็จด้วยกคว้าแชมป์ ยูโรป้า ลีก มาครองถึง 2 สมัย
ทว่าช่วง 2 ปีสุดท้ายกับ เซบีย่า เอสกูเดโร่ ถูกลดบทบาทเป็นตัวสำรอง ทำให้เขาเลือกย้ายไปเล่นกับ กรานาด้า และ ลงเอยกับ บายาโลดิด ตามลำดับ
กองกลาง : เลออน โกเร็ตซ์ก้า
สโมสรปัจจุบัน : บาเยิร์น มิวนิค
ลงเล่นให้สโมสร : 147 นัด
ทันทีที่เห็นแววกับ โบคุ่ม ชาลเก้ ก็ไม่รอช้าคว้า เลออน โกเร็ตซ์ก้า มาร่วมทีมในปี 2013 และก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักในแดนกลางของ ‘ราชันสีน้ำเงิน’ อย่างรวดเร็วด้วยเพียง 18 ปีเท่านั้น ไม่แปลกที่เขาจะได้รับความสนใจ ถูกสโมสรดังตามจีบเรื่อยมาตั้งแต่ตอนนั้น
ท้ายที่สุดเป็น บาเยิร์น มิวนิค ที่เป็นผู้ชนะคว้า ลายเซ็นของ กองกลางทีมชาติเยอรมันไปครองในช่วงกลางฤดูกาล 2017-18 และย้ายมาร่วมทีมอย่างเป็นทางการในฤดูกาลต่อมา
โกเร็ตซ์ก้า เริ่มต้นชีวิตใหม่กับ ‘เสือใต้’ ได้ดี จนกลายเป็นหนึ่งในกองกลางที่ดีที่สุดในบุนเดสลีก้า โดยเฉพาะในฤดูกาล 2019-20 ที่ยกระดับทั้งฝีเท้าและร่างกาย ช่วยให้ บาเยิร์น คว้าทริปเบิ้ลแชมป์มาครองอย่างยิ่งใหญ่
กองกลาง : อีวาน ราคิติช
สโมสรปัจจุบัน : เซบีย่า
ลงเล่นให้สโมสร : 135 นัด
เป็นอีกครั้งที่แมวมองตาไวของ ชาลเก้ ช่วยให้ทีมคว้าเพชรเม็ดงามไปเจี่ยระไน กับ อีวาน ราคิติช ที่คว้าตัวมาจาก บาเซิ่ล สโมสรในสวิตเซอร์แลนด์ ปี 2007 ซึ่งเขาใช้เวลาไม่นานก็ปรับตัวเข้ากับทีมใหม่ และลีกใหญ่ จนกลายเป็นกองกลางคนสำคัญของ ยอดทีมแคว้นรูห์ ในเวลาต่อมา
มิดฟิลด์ชาวโครแอต ทำผลงานได้โดดเด่นสุด ๆ ด้วยการพา ‘ราชันสีน้ำเงิน’ คว้าตั๋วไปเล่นแชมเปี้ยนส์ลีก ในฤดูกาล 2010-11 ก่อนจะย้ายไป เซบีย่า แบบสุดเซอร์ไพรส์ในซัมเมอร์ปี 2011
ราคิติช ประสบความสำเร็จยิ่งกว่าเดิมในลาลีก้า และได้ย้ายไป บาร์เซโลน่า ในปี 2014 ที่ที่ทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในกองกลางเบอร์ต้น ๆ ของโลก โดยปัจจุบัน เขากลับมาค้าแข้งกับ เซบีย่า อีกครั้ง
ปีกขวา : จูเลี่ยน ดรักซ์เลอร์
สโมสรปัจจุบัน : เบนฟิก้า
ลงเล่นให้สโมสร : 119 นัด
หนึ่งในผลผลิตเยาวชนของ ชาลเก้ ที่ยอดเยี่ยมที่สุดอย่าง จูเลี่ยน ดรักซ์เลอร์ ย้ายมาร่วมทีมตั้งแต่อายุ 8 ขวบ และขึ้นมาสร้างปรากฏการณ์ในทีมชุดใหญ่ครั้งแรกเมื่อปี 2011
กองกลางจอมสร้างสรรค์ ลงเล่นให้ ‘ราชันสีน้ำเงิน’ 170 นัด พร้อมด้วยความสามารถด้านต่าง ๆ ทั้งการลากเลื้อย, จ่ายบอล จนถูกหลายสโมสรจับตามองทั้งในอังกฤษ หรือในบุนเดสลีก้าด้วยกันเอง
หลังค้าแข้งในถิ่น เวลทินส์ อารีน่า 4 ปี ดรักซ์เลอร์ ก็ย้ายไปร่วมทีม โวล์ฟสบวร์ก ในปี 2015 ท่ามกลางความประหลาดใจของแฟนบอล
ปัจจุบัน ดรักซ์เลอร์ ย้ายไปเล่นกับ เบนฟิก้า แบบยืมตัว หลังไม่สามารถยืดเป็นตัวหลักในทีม ปารีส แซงต์ แชร์กในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา
กองกลางตัวรุก : เมซุต โอซิล
สโมสรปัจจุบัน : อิสตันบูล บาซัคเซฮีร์
ลงเล่นให้สโมสร : 39 นัด
โอซิล ย้ายไปร่วมทีมเยาวชนของ ชาลเก้ ในปี 2005 และได้รับสัญญาอาชีพในปีต่อมาทันที แต่เขาอยู่กับทีมได้เพียง 2 ปีเท่านั้น ก็ย้ายซบ แวร์เดอร์ เบร์เมน หลังไม่ได้รับโอกาสลงสนามมากพอ
แต่อย่างน้อย กองกลางวัย 32 ปี ก็ทำได้ 5 แอสซิสต์ จากการลงสนามเพียง 39 เกม และ ‘ราชันสีน้ำเงิน’ ก็ต้องเสียใจในภายหลัง เมื่อนักเตะดาวรุ่งที่เขาเลือกปล่อยออกจากทีม กลายเป็นกองกลางเบอร์ต้น ๆ ของยุโรป ในอีกไม่กี่ปีต่อมา
โอซิล ประสบความสำเร็จอย่างมากกับ เรอัล มาดริด ขณะที่ อาร์เซน่อล ก็ยังมีบอลถ้วยเอฟเอ คัพ ประดับบารมี ทว่าหลังโดนดองเค็มกับ ปืนใหญ่ เขาก็ย้ายไปเล่นกับ เฟเนร์บาห์เช่ ทีมโปรดในวัยเด็ก ก่อนย้ายไป อิสตันบูล บาซัคเซฮีร์ คู่แข่งร่วมลีกตุรกีในเวลาต่อมา
ปีกซ้าย : เลรอย ซาเน่
สโมสรปัจจุบัน : บาเยิร์น มิวนิค
ลงเล่นให้สโมสร : 57 นัด
ฟอร์มอาจตกไปจากเมื่อก่อนพอสมควรกับ บาเยิร์น มิวนิค เนื่องจากอาการบาดเจ็บรบกวน แต่อย่าลืมว่า เลรอย ซาเน่ ยังอายุเพียง 25 ปี และมีเวลาอีกพอสมควรในการเร่งฟอร์มให้กลับมาปังอีกครั้ง เหมือนสมัยที่เล่นให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หรือช่วงที่แจ้งเกิดในวงการกับ ชาลเก้
ปีกชาวเยอรมัน เติบโตในทีมเยาวชนของ ‘ราชันสีน้ำเงิน’ และได้ขึ้นมาชุดใหญ่ร่วมกับ มักซ์ เมเยอร์ และ โยฮานเนส ไกส์ ดาวรุ่งรุ่นไล่เรี่ยกัน ก่อนย้ายไประเบิดฟอร์มสุด ๆ กับ ‘เรือใบสีฟ้า’ ในปี 2016
หลังค้าแข้งในอังกฤษ 4 ปี ซาเน่ ก็กลับมาเล่นในบุนเดสลีก้า อีกครั้งในปี 2020 แต่ฟอร์มการเล่นโดยรวม ก็ยังไม่ได้ร้อนแรงเช่นสมัยแจ้งเกิดกับ ‘ราชันสีน้ำเงิน’ หรือตอนอยู่ แมนฯซิตี้ เท่าไหร่นัก
กองหน้า : บรีล เอ็มโบโล่
สโมสรปัจจุบัน : โมนาโก
ลงเล่นให้สโมสร : 66 นัด
บรีล เอ็มโบโล่ ถูกคาดหวังว่าจะกลายเป็นกองหน้าตัวความหวังของทีมในอนาคต รวมถึงเป็นหอกเบอร์ต้น ๆ ของยุโรป หลังย้ายมาจาก บาเซิ่ล ในปี 2016
ทว่า หอกชาวสวิสกลับไม่สามารถขึ้นมาเป็นตัวหลักในทีม ‘ราชันสีน้ำเงิน’ และไม่ต่างจาก กองหน้ารายอื่นๆ ก่อนหน้านี้ แต่ก็กลับมาเล่นด้วยมั่นใจอีกครั้ง หลังลา ชาลเก้ ซบ มึนเช่นกลัดบัค ในปี 2019 จนถึงปี 2022 ก่อนย้ายไปเล่นในฝรั่งเศสกับ โมนาโก