หลังชัยชนะเหนือ เอสปันญ่อล ช่วงสุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ เรอัล มาดริด กลับมาคว้าแชมป์ลาลีก้า ได้อีกครั้งในฤดูกาล 2021-22
ที่สำคัญแชมป์ลีกครั้งนี้ยังทำให้ คาร์โล อันเชล็อตติ กลายเป็นผู้จัดการทีมคนแรกที่คว้า 5 แชมป์ลีกใหญ่ยุโรป หลังก่อนหน้านี้ทำได้กับ เอซี มิลาน (อิตาลี), เชลซี (อังกฤษ), เปแอสเช (ฝรั่งเศส) และ บาเยิร์น มิวนิค (เยอรมัน)
มากไปกว่านั้น ยอดกุนซือชาวอิตาเลี่ยน ยังเป็นคนเปลี่ยนแปลง ‘ราชันชุดขาว’ ชุดที่ไร้โทรฟี่ในฤดูกาลก่อน ซึ่งเป็นหนแรกที่พวกเขาจบฤดูกาลแบบมือเปล่า นับตั้งแต่ฤดูกาล 2009-10 ให้กลับมาคว้าแชมป์ได้อีกครั้ง และทำได้แบบมีสไตล์ด้วย
ด้วยเหตุนี้ UFA ARENA จึงขอไปวิเคราะห์ว่าปัจจัยอะไรบ้างถึงทำให้ คาร์เล็ตโต้ พา ‘โลส บลังโกส’ กลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้งในฤดูกาลนี้
หลีกเลี่ยงการโรเตชั่น
หนึ่งในเหตุผลหลักๆที่ทำให้ เรอัล มาดริด โชว์ฟอร์มได้สม่ำเสมอในฤดูกาลนี้ คือการที่ อันเชล็อตติ ไม่โรเตชั่นทีมบ่อยๆ การเดิมพันครั้งนี้อาจส่งผลเสีย หากไม่ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ แต่สุดท้ายก็ได้ผลอย่างยิ่งยวด โดยเขาเลือกใช้ผู้เล่นจากผลงานในสนามเป็นอันดับแรกเพื่อสร้างสมดุลในทีม โดยไม่มีการประนีประนอมให้ผู้เล่นคนไหนทั้งนั้น ไม่ว่าจะมีชื่อชั้นโด่งดังมากแค่ไหนก็ตาม
กุนซือชาวอิตาเลี่ยน ยึดถือผู้เล่น 11 ตัวจริงชุดเดิมแทบตลอด ตั้งแต่ช่วงแรกๆของฤดูกาล ก่อนที่ช่วงท้ายๆจะลองปรับเปลี่ยนดูบ้าง ทั้งในแดนกลางที่ให้ ดานี่ เซบายอส ลงเล่นเป็นตัวจริงครั้งแรก (และครั้งเดียว)ในเกมลีกนัดที่ 33 ขณะที่แนวรับก็ใช้ เฆซุส บาเยโฆ่ ในเกมที่ 34 ส่วนแนวรุกสำรองอย่าง ลูก้า โยวิช ไม่เคยได้ลงเป็นตัวจริงในลีกเลย และ มาเรียโน่ ดิอาซ เพิ่งได้ลงเล่นตัวจริงเป็นเกมที่ 2 ในเกมชนะ เอสปันญ่อล เท่านั้น
มีเพียง 10 แข้งที่ลงเล่นมากกว่าครึ่งในลาลีก้า ยกตัวอย่างเช่น ลูก้า โมดริช ในวัย 36 ปี, คาริม เบนเซม่า วัย 34 ปี, โทนี่ โครส (32) และ กาเซมิโร่ (30) โดยทั้ง 4 คนนี้เป็นตัวหลักและผู้เล่นคนสำคัญที่ช่วยให้ มาดริด ประสบความสำเร็จ จากประสบการณ์ที่ผ่านมา อีกทั้งยังสามารถแนะนำดาวรุ่งอย่าง วินิซิอุส จูเนียร์, เอดูอาร์โด้ คามาวิงก้า และ เฟเด บัลเบร์เด้ ให้ตามรอยพวกเขาได้
ส่วนตำแหน่งอื่นๆ ก็คือผู้เล่นหน้าเดิมที่หลายคนเห็นบ่อยๆ ทั้ง ธิโบต์ กูร์ตัวส์ ที่ยืดมือหนึ่งยาวๆ, เอแดร์ มิลิเตา ที่จับคู่กับ ดาวิด อลาบา ได้อย่างลงตัวในตำแหน่งเซนเตอร์แบ็ค โดยมี นาโช เฟร์นานเดซ เป็นตัวสอดแทรก
สร้างเกมรับที่แข็งแกร่ง
ช่วงที่ เรอัล มาดริด เสีย 2 แนวรับแกนหลักในช่วงซัมเมอร์ที่แล้วอย่าง เซร์คิโอ้ รามอส และ ราฟาแอล วาราน ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ มาดริดนิสต้า จะกังวลใจอย่างมาก เนื่องจากทั้งคู่คือหัวใจในแผงหลังที่ช่วยให้ทีมประสบความสำเร็จในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ทั้งในประเทศและรายการยุโรป
นั่นทำให้ อันเชล็อตติ เหลือแค่ เอแดร์ มิลิเตา ที่ฟอร์มเอาแน่เอานอนไม่ค่อยได้, นาโช่ ตัวสำรอง และ อลาบา ที่ได้เพิ่มมาแบบไร้ค่าตัว ทว่าการได้แนวรับสารพัดประโยชน์ทีมชาติออสเตรีย จึงมีความสำคัญอย่างมาก ไม่เพียงแต่ได้แนวรับที่แข็งแกร่งขึ้น แต่ยังช่วยดึงฟอร์มการเล่นของ มิลิเตา ให้ออกมาดีที่สุดด้วย โดยมี อลาบา เป็นผู้นำในจุดนี้
ณ เวลานี้ หลังผ่านไป 34 เกม มีเพียงแค่ เซบีย่า (28) ที่เสียประตูน้อยกว่า ‘ราชันชุดขาว’ (29) โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 0.85 ลูกต่อเกม ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สุดยอดมากๆ และต้องขอบคุณฟอร์มการเซฟที่ยอดเยี่ยมของ กูร์ตัวส์ ด้วย
แม้ ดานี่ การ์บาฆาล และ แฟร์กล็อง เมนดี้ มีปัญหาอาการบาดเจ็บพอสมควร แต่ตัวสำรองอย่าง ลูคัส บาสเกวซ และ นาโช่ เฟร์นานเดซ ก็สามารถทำหน้าที่ทดแทนได้ดีเยี่ยมในตำแหน่งแบ็คขวาและซ้ายตามลำดับ
เค้นฟอร์มวินิซิอุส
ดาวเด่นของ เรอัล มาดริด ในฤดูกาลนี้คงหนีไม่พ้น คาริม เบนเซม่า ที่ทำประตูให้ทีมเป็นกอบเป็นกำ กว่า 42 ประตู 13 แอสซิสต์ จาก 42 นัด แน่นอนว่าเขาเป็นตัวจบสกอร์หลักให้กับทีมมาตั้งแต่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ย้ายสโมสรเมื่อ 4 ปีที่แล้ว แต่สิ่งที่แตกต่างในครั้งนี้ภายใต้การกุมบังเหียนของ อันเชล็อตติ คือมีคู่หูอย่าง วินิซิอุส คอยช่วยเหลืออยู่ข้างกาย
ปีกทีมบราซิล มีพรสวรรค์ไม่แพ้ใคร แต่ยังขาดการขัดเกลาที่เหมาะสม รวมไปถึงประสบการณ์ยังไม่มากพอ ทำให้เขาดูขาดๆเกินๆยามลงสนาม โดยเฉพาะในพื้นที่สุดท้ายที่หวังผลไม่ค่อยนัก โดยช่วง 3 ฤดูกาลแรกในสเปน เขายิงไปเพียง 7 ประตูเท่านั้น
ทว่าในฤดูกาลปัจจุบัน ปีกวัย 21 ปี พัฒนาในด้านนี้ชัดเจน หลังซัดไปแล้ว 14 ตุง ซึ่งเป็นผลมาจากการติวเข้มของ กุนซือชาวอิตาเลี่ยน พร้อมทั้งความเชื่อมั่นที่มีให้ลูกทีม และที่สำคัญคือกระตุ้นให้ประสานร่วมกับ เบนเซม่า จนเกิดเป็นผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมเกินคาด
ไม่แปลกที่หลายคนจะเซอร์ไพรส์กับผลงานของ วินิซิอุส ในปัจจุบัน เพราะจากฤดูกาลก่อน ค่า xG (คาดหวังการทำประตู) -3.47 แต่ในตอนนี้เป็น 1.66 ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ มาดริด เดินหน้าสู่ความสำเร็จนั่นเอง
ความสม่ำเสมอเกินใคร
การเห็นหลายทีมทำแต้มหล่นยามดวลกับ เรอัล มาดริด แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเป็นทีมสามารถเอาชนะภายใต้ความกดดันได้ดีเยี่ยม แฟนบางคนที่ไม่ได้ติดตาม ‘โลส บลังโกส’ อย่างใกล้ชิด อาจได้เห็นการโกงตายหลายๆครั้งในบอลยุโรป แต่ในลาลีก้า นั่นไม่สิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยๆ
บียาร์เรอัล เป็นทีมเดียวที่แบ่งแต้มในการพบกับทีมแชมป์ได้ทั้ง 2 นัดที่พบกัน ด้วยสกอร์ 0-0 ขณะที่ บาร์เซโลน่า เป็นทีมเดียวจากท็อปซิกซ์ ที่บุกมาคว้า 3 แต้มได้ใน ซานติอาโก้ เบอร์นาเบว นั่นอาจเป็นความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ แต่นั่นก็เป็นแค่ 3 แต้มเดียวที่พวกเขาเสียให้กับทีม 6 อันดับแรกในลีก
ทีมของ คาร์เล็ตโต้ ทำแต้มหล่นอีกครั้งในเกมเสมอ เลบานเต้, โอซาซูน่า, กาดิซ และ เอลเช่ รวมไปถึงเกมพลิกล็อกพ่าย เอสปันญ่อล และ เกตาเฟ่ ซึ่งเกมเหล่านั้นคือเกมทั้งหมดที่พวกเขาควรเอาชนะได้ หากดูจากแค่หน้ากระดาษและชื่อชั้น
อย่างไรก็ตาม ‘ราชันชุดขาว’ ก็เป็นทีมที่แสดงให้เห็นมาตรฐานที่สม่ำเสมอกว่าทีมไหนๆเช่นกัน เพราะขณะที่ เซบีย่า, บาร์เซโลน่า หรือแม้แต่ แอตเลติโก้ มาดริด แชมป์เก่า ทำแต้มหล่น พวกเขาก็ยิงดาหน้าถล่มคู่แข่งที่พบกัน พร้อมเก็บคะแนนสำคัญได้ตลอด ซึ่งการทำแต้มถึงห่าง บาร์ซ่า ทีมอันดับ 2 ถึง 18 แต้ม โดยเหลือการแข่งขันเพียง 4 นัดในฤดูกาลก็น่าจะแสดงให้เห็นถึงเรื่องนี้ได้ดี
โชคช่วยเล็กๆ
อันเชล็อตติได้รับคำชมมากมายจากการคว้าแชมป์ลาลีก้าในฤดูกาลนี้ แต่ส่วนหนึ่งที่ทำให้พวกเขาคว้าแชมป์ได้ ก็พอจะบอกได้เช่นกันว่าเป็นเพราะพวกเขาไม่ได้เจอกับการแข่งขันที่เข้มข้นเท่าไหร่นัก โดยถือเป็นหนแรกในรอบ 4 ปีที่มีทีมคว้าแชมป์ตั้งแต่เนิ่นๆ และพูดได้เต็มปากกว่าทีมที่เบียดลุ้นแชมป์กับพวกเขามากที่สุดก็ยังเป็น บาร์เซโลน่า ซึ่งอยู่นอกพื้นที่ยุโรปในช่วงครึ่งแรกของฤดูกาล
แอตเลติโก้ มาดริด แชมป์เก่า ก็ฟอร์มหลุดจนน่าตกใจ ทั้งที่ ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ ขึ้นชื่อเรื่องการเน้นผลการแข่งขันเป็นทุนเดิม ก็สะดุดจนหมดลุ้นป้องกันแชมป์ไปก่อนใคร ส่วน เซบีย่า ก็ทำท่าว่าดูดีแค่ช่วงครึ่งแรกของซีซั่น ก่อนค่อยๆหลุดวงโคจรลุ้นแชมป์ไป หลังชนะแค่ 4 จาก 14 เกมหลังจากช่วงปีใหม่เป็นต้นมา
นั่นทำให้ เรอัล มาดริด ของ กุนซือชาวอิตาเลี่ยน กลายเป็นตัวเต็งคว้าแชมป์ลาลีก้า และคว้าแชมป์มาครองเหมือนเป็นเรื่องง่าย แต่ในเวลาเดียวกัน โชคก็เข้าข้างพวกเขาด้วย เพราะไม่มีทีมคู่แข่งทีมไหนทำให้ นายใหญ่ ‘โลส บลังโกส’ ต้องโรเตชั่นทีมเลย หรือกว่าจะทำได้ก็เข้าสู่ปลายซีซั่นที่รั้งจ่าฝูงลีกกระทิงอย่างเหนียวแน่นไปแล้ว
มีไม่น้อยเช่นกันที่พวกเขาถูกทดสอบจากทีมคู่แข่ง แต่ อันเชล็อตติ และเรอัล มาดริด ก็ก้มหน้าก้มตาแข่งขันกับสิ่งที่พวกเขาเผชิญหน้า โดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ก่อนทำมันได้อย่างยอดเยี่ยมจนประสบความสำเร็จอย่างที่หลายคนได้ประจักษ์แล้วในเวลานี้