ประกายความหวังสุดท้ายในฤดูกาลนี้ของ อาร์เซน่อล ได้จางหายไปแล้ว หลังผู้ตัดสินเป่านกหวีดจบเกมนาทีที่ 95 ในค่ำคืนที่ เอมิเรตท์ สเตเดี้ยม เมื่อวันพฤหัสบดี ที่ไม่มีลูกฟุตบอลกระแทกตาข่ายเกิดขึ้นแม้แต่ครั้งเดียว
สกอร์รวมสองนัดรวมกัน ทำให้ “เรือดำน้ำสีเหลือง” บีญาร์เรอัล ได้ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ ยูโรป้า ฤดูกาลนี้ได้สำเร็จ ท่ามกลางนักเตะ “ไอ้ปืนใหญ่” ที่เงยหน้ามองฟ้าพร้อมคำถามว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาในฤดูกาลนี้
ณ เวลานี้พวกเขาไม่เหลืออะไรให้ลุ้นอีกแล้ว ในพรีเมียร์ลีกยังจมปลักอยู่ในอันดับ 9 แม้ทางทฤษฏีจะยังมีความหวัง แต่ดูจาก 49 แต้มที่มีในมือ เราคงไม่ต้องคำนวณอะไรให้เสียเวลา เพราะทุกคนรู้ดีว่าสโมสรแห่ง นอร์ธ ลอนดอน ทีมนี้จะไม่ได้ไปเตะถ้วยยุโรปฤดูกาลหน้าเป็นแน่แท้ และมันก็เป็นครั้งแรกในรอบ 25 ปีที่นับตั้งแต่ฤดูกาล 1994/95 ที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ด้วย
เปิดฉากด้วยความหวัง
20 ธ.ค. 2019 สโมสรได้แต่งตั้ง มิเกล อาร์เตต้า เข้ามาคุมทีมแทน เฟรดริก ลุงเบิร์ก ท่ามกลางความหวังว่านี่จะเป็นแสงสว่างที่พาให้ทีมกลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้ง จากการที่ก่อนหน้านี้เขาเป็นมือขวาที่รู้ใจของ เป๊ป กวาดิโอล่า ยอดโค้ชแห่งยุคจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้
ทุกอย่างเริ่มต้นอย่างสวยงามเมื่อกุนซือชาวสแปนิช พาทีมประสบความสำเร็จตั้งแต่ฤดูกาลแรกที่เขาคุม ด้วยการพาทีมเอาชนะ เชลซี ในรอบชิงชนะเลิศ 2-1 คว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ สมัยที่ 14 มาครอง ถึงเวลานั้นทุกคนเชื่อว่าสโมสรมาถูกทางแล้ว
แต่สิ่งที่ผู้เขียนได้เห็นมาตลอดฤดูกาลนี้ ซึ่งเป็นปีที่ อาร์เตต้า ได้ทำหน้าที่กุนซือเต็มตัว เขากลับไม่สามารถทำให้นักเตะเชื่อมั่นในแท็กติกที่ตัวเองวางเอาไว้ได้เลย นั่นทำให้ศักยภาพตัวผู้เล่นไม่สามารถเกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง จนถึงตอนนี้จะจบฤดูกาลอยู่แล้ว เราก็ยังไม่ได้เห็น 11 ตัวจริงที่ อาร์เตต้า ต้องการ
นักเตะไม่เข้าใจแท็กติก
ไม่ว่าจะในระบบ 4-2-3-1 หรือ 3-4-3 มันคล้ายกับว่านักเตะในทีมนั้นเล่นตำแหน่งทับซ้อนกันไปหมด ไร้ซึ่งความเข้าใจในแผนที่ อาร์เตต้า วางเอาไว้ ขาดคุณภาพ ,แพสชั่น , ไอเดียสร้างสรรค์เกม ,ความเฉียบคมในการทำประตู สิ่งที่เป็นคำถามคือ การเปลี่ยนแท็กติกตามที่ อาร์เตต้า บอกนั้น ได้ผ่านการฝึกซ้อมและเตรียมตัวมาก่อนหรือไม่ หรือเป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
ฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่จะมีแผนแรกที่ดีที่สุด แต่ก็มีแผน 2 และ 3 ที่พร้อมปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ซึ่งแน่นอนว่าแต่ละแผนต้องผ่านการฝึกซ้อมทำความเข้าใจกันมาเป็นอย่างดีเพื่อให้การเล่นในสนามมีประสิทธิภาพ ไม่ใช่ว่าเล่นเหมือนไม่ได้ซ้อมกันมาแบบที่เป็นอยู่ และมันไม่ควรเกิดขึ้นมานานขนาดนี้
เล่นเหมือนไร้จิตวิญญาน
เกมที่พบ บีญาร์เรอัล ที่เปรียบเหมือนแมตช์ชี้ชะตาแห่งฤดูกาล แต่แผนการเล่นที่กุนซือชาวสแปนิช วางเอาไว้ไม่ได้แสดงให้เห็นเลยว่าพวกเขาต้องการชัยชนะ นักเตะทุกคนเล่นเหมือนกับว่าไม่จำเป็นต้องยิงประตู เซตบอล ต่อบอลกันไปมา พอเจาะไม่เข้าก็จ่ายบอลคืนหลัง วนลูปกันไป พอเสียบอลก็ไม่มีการเพรสซิ่งหนักเพื่อพยายามแย่งบอลกลับมา ทุกอย่างเล่นเหมือนไปเข้าทาง อูไน เอเมรี่ ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่า อดีตกุนซือของทีมผู้ช่ำชองในถ้วย ยูโรป้า ลีก นั้นมาที่นี่เพื่อผลเสมอเท่านั้น แล้วทำไมถึงไม่พยายามโหมบุกทำประตู
จนกว่าจะตื่นและมาเปิดเกมบุกแบบจริงจังก็นู่น ท้ายเกมและมันสายไปแล้ว
ที่แย่ไปกว่านั้นคือการเปลี่ยนตัวนักเตะที่มันมาเกิดขึ้นในช่วงนาที 80 นี่แหละ ทีมอยู่ในช่วงต้องการประตูที่สุด แต่อาร์เตต้า กลับเอา โอบาเมยอง ผู้เป็นดั่งความหวังสูงสุดในการลุ้นทำประตูในเกมนี้ หลังเขายิงชนเสาไปถึงสองครั้ง ออกจากทีม แถมยังให้ วิลเลี่ยน ที่แทบไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเสียข้าวสุก สองแสนปอนด์ต่อสัปดาห์ลงมาเล่น และก็อย่างที่คิดคือเราไม่ได้เห็นประโยชน์อะไรจากแข้งชาวบราซิลรายนี้เลย
หรือที่เห็นได้ชัดกว่าคือการเปลี่ยน เฮคตอร์ เบเญริน จุดอ่อนในวิงแบ็กฝั่งขวาตลอดเกมออกในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ และส่งเอ็ดดี้ เอ็นเคเทียห์ ลงมาเล่นแทนแก้เขิล ซึ่งต้องถามว่าในเวลาที่เหลือ 3-4 นาที กองหน้าดาวรุ่งรายนี้จะลงมาทำประโยชน์พระสงฆ์องค์เจ้าอะไร และสุดท้ายก็เล่นนอกเกมจนโดนใบเหลืองไปด้วย
นั่นทำให้นี่คือหนึ่งในปัญหาใหญ่ที่สุดเวลานี้ เพราะต่อให้คุณจะมีสุดยอดนักเตะระดับเก่งกาจแค่ไหนอยู่ในทีม แต่หาก ผู้จัดการทีมไม่สามารถปรุงแต่งออกมาให้ดีได้ มันก็ไร้ความหมาย
ดาวรุ่งแบกความหวังจนหลังหัก
แน่นอน บอร์ดบริหารของทีมอาจจะมองว่า การตั้ง อาร์เตต้า เข้าคุมทีมนั้นเป็นแผนระยะยาวที่คงต้องใช้เวลาซักระยะ เพื่อปรับจูนทุกอย่างให้ลงตัว ซึ่งก่อนจะถึงวันนั้นมันก็ควรจะมีอะไรที่พอแสดงออกมาให้เห็นว่าทีมที่เขาทำนั้นมีอนาคต แต่จากที่ผ่านมาเราแทบไม่ได้เห็นพัฒนาการที่ดีเลยแม้แต่น้อย
แม้ว่าจะมีการแจ้งเกิดเต็มตัวของ บูกาโย่ ซาก้า ,เอมิลล์ สมิธ โรว์ หรือ คีแรน เทียร์นีย์ รวมทั้งการยืมตัว มาร์ติน โอเดการ์ด เข้ามาก็ตาม แต่กลายเป็นว่ายอดดาวรุ่งเหล่านี้ กลับต้องแบกความหวังของสโมสรเอาไว้มากจนเกินไป ซึ่งเห็นได้ชัดว่าในเกมใหญ่ๆหลายต่อหลายครั้ง มันก็หนักหนาเกินไปที่จะรับไหว เนื่องจากนักเตะที่เป็นแกนหลักทั้งทีมกลับทำผลงานตกต่ำลงพร้อมกันอย่างน่าใจหาย อย่าง โอบาเมยอง ที่นับตั้งแต่ต่อสัญญาฉบับใหม่รับค่าเหนื่อยสูงสุดของทีม ดาวยิงกัปตันทีมก็ห่างไกลจากสิ่งที่เคยสร้างเอาไว้ รวมไปถึงยังต้องเจอปัญหานอกสนามทั้งเรื่องครอบครัว และเป็นโรค มาลาเรีย
ส่วน วิลเลี่ยน ที่ อาร์เตต้า มองว่าจะเข้ามาเป็นจิ๊กซอส์สำคัญก็ทำผลงานได้น่าผิดหวังสุดๆ เรียกว่าแข้งยอดแย่แห่งฤดูดูกาลก็คงไม่ผิดหนัก แดนกลางการได้ โธมัส ปาร์เตย์ เข้ามาเสริมทุกอย่างเหมือนจะดี แต่ดาวเตะกาน่า นั้นก็ได้รับบาดเจ็บบ่อยครั้งจนไม่ได้ลงเล่นไม่ต่อเนื่อง ทำให้จังหวะเกมของเขานั้นเหมือนจะช้าเกินไป ไม่นับไปถึง นิโกลาส เปเป้ ที่แม้บางเกมจะทำได้ดี แต่กับค่าตัว 72 ล้านปอนด์ที่จ่ายไปสโมสรควรได้เห็นอะไรที่มากกว่านี้
อนาคตต่อจากนี้
แน่นอนว่าการไม่ได้ไปเล่นถ้วยยุโรปในฤดูกาลหน้า จะทำให้สโมสรขาดเม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่จะได้นำมาเสริมทัพ ซึ่งเชื่อเหลือเกินว่าบอร์ดบริหารภายใต้การนำของ สแตน โครเอนเก้ คงไม่ยอมลงทุนทุบคลังยกเครื่องทีมครั้งใหญ่ในช่วงเวลาเช่นนี้แน่นอนและคงต้องยึดนักเตะชุดนี้เอาไว้เป็นแกนหลักต่อไป
ถ้าเป็นสโมสรใหญ่อื่นๆผลงานเช่นนี้เราคงไม่ได้เห็นผู้จัดการทีมได้อยู่กับทีมอีกต่อไปแล้ว แต่กับ อาร์เซน่อล ไม่ใช่เช่นนั้น (ถ้าการเทคโอเวอร์ของ ดาเนี่ยล เอค ยังไม่เกิดขึ้น) นั่นคือคำถามที่ว่าหาก อาร์เตต้า ไม่ประกาศลาออกด้วยตัวเอง เขาจะแบกความกดดันมหาศาลนี้และพัฒนาทีมชุดที่มีอยู่ต่อไปได้มากแค่ไหน
จากนี้ยังมีอีก 4 นัดที่ต้องลงสนามก่อนจบฤดูกาล เริ่มจากดวล เวสต์บรอมวิช อาทิตย์นี้ ต่อด้วยไปเยือน เชลซี ,เยือน คริสตัล พาเลซ และปิดท้ายในบ้านเจอ ไบรท์ตัน แม้จะไม่เหลืออะไรให้ลุ้นแล้ว แต่ถ้าทีมยังไม่แสดงให้เห็นถึงแพสชั่นที่เต็มไปด้วยความต้องการคว้าชัยชนะ และเรียกศรัทธาจากแฟนบอลกลับมาได้
มันก็คงไม่มีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ให้ อาร์เตต้า ได้เดินอีกต่อไป