ก่อนถึงลิเวอร์พูล: ยอดแชมป์พรีเมียร์ลีกที่แสนตราตรึงใจ

 

          รอนแรมมาเนิ่นนานเพียงหนึ่งใจ กับทางที่โรยเอาไว้ด้วยขวากหนาม .. ผ่านมา 30 ปีเต็มแห่งความยาวนาน ถึงเวลานี้ เหล่า “เดอะ ค็อป” ก็ได้ออกมาฉลองกันสุดเหวี่ยง แบบเลิกกลัวเชื้อโควิดไปชั่วขณะ เมื่อ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ฤดูกาลนี้มาครองได้สำเร็จ

 

 

 

            พูดถึงความยากเย็นแสนเข็ญในฤดูกาลนี้ของ ลิเวอร์พูล หาใช่เรื่องของฟอร์มการเล่นไม่ แต่เกิดจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 นี่แหละ ที่ทำให้ฟุตบอลอังกฤษ ต้องหยุดพักยาวไปถึง 3 เดือนเต็ม ท่ามกลางเครื่องหมายคำถามในตอนนั้นว่า ฟุตบอลจะกลับมาเตะกันได้อีกครั้งเมื่อไหร่ ?

 

 

            แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไป โปรเจครีสตาร์ทนำพาให้ พรีเมียร์ลีก กลับมาเตะได้อีกครั้ง และหลังจบแมตช์ที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไม่สามารถบุกไปพ่าย เชลซี ได้เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา นั่นหมายความว่าแต้มของรองจ่าฝูง และ จ่าฝูงนั้นได้ห่างเกินที่จะตามทันถึง 23 แต้ม ทั้งที่ฤดูกาลนี้ยังคงเหลือโปรแกรมเตะอีกถึง 7 เกม คงต้องขอแสดงความยินดีกับ เดอะ ค็อป ทุกท่านอีกครั้ง

 

 

หากย้อนกลับไปในศึก พรีเมียร์ลีก วันนี้ UfaArena จะพามาดูกันว่า สโมสรไหน และฤดูกาลใดบ้างที่ ทีมแชมเปี้ยนส์ สร้างความตราตรึงใจให้กับผู้เขียนจนถึงทุกวันนี้ 

 

 

 

 

แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ฤดูกาล 1994/95

 

ก่อนจะถึงยุคของ โรมัน อบราโมวิช ประธานสโมสร เชลซี  หรือ   ชีคห์ มานซูร์ ประธานสโมสรแแมนฯซิตี้ นี่คือทีม “เจ้าบุญทุ่ม” ในยุคแรกของลูกหนังพรีเมียร์ลีก อย่างแท้จริง การเข้ามาเทคโอเวอร์สโมสร “กุหลาบไฟ” ของ แจ็ค วอล์คเกอร์ เมื่อปี 1991 พร้อมดึง เคนนี่ ดัลกลิช เข้ามาคุมทัพ  นั่นทำให้พวกเขาก้าวทะยานขึ้นมาจาก ดิวิชั่นหนึ่ง สู่พรีเมียร์ลีก ได้สำเร็จ

 

จากนั้น แบล็คเบิร์น ได้กลายเป็นทีมลุ้นแชมป์แบบฉับไว หลังใช้เงินลงทุนไปกว่า 30 ล้านปอนด์ (ถ้าเป็นยุคนี้ก็คงราวๆ 200-300 ล้านปอนด์) โดยในฤดูกาล 1992/93 วอล์คเกอร์ ตัดสินใจใช้เงินเป็นสถิติฟุตบอลอังกฤษถึง 3.3 ล้านปอนด์ ทุ่มคว้า อลัน เชียเรอร์ สุดยอดดาวยิงทีมชาติอังกฤษจาก เซาธ์แฮมป์ตัน มาร่วมทัพ  จนกระทั่งในฤดูกาล 1994/95  ก็จัดเต็มอีกครั้งด้วยการคว้า คริส ซัตตัน มาด้วยค่าตัว 5 ล้านปอนด์ และกลายเป็นคู่กองหน้าที่อันตรายที่สุดในลีก

 

และฤดูกาลนี้เองก็ได้กลายเป็นที่จดจำตลอดกาลของแฟนบอล “เดอะโรเวอร์ส” เมื่อพวกเขาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ภายใต้การนำทัพของแข้งดังอย่าง  เชียร์เรอร์ ,ซัตตัน , ทิม เชอร์วู้ด, โคลิน เฮนดรี้, แกรม เลอโซ และทิม ฟลาวเวอร์ส  พร้อมกับก้าวขึ้นมาลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก เป็นสมัยแรก 

 

ซึ่งทุกอย่างมาไคลแม็กซ์ในเกมสุดท้าย เมื่อคู่แข่งอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำแต้มไล่จี้มา 2 คะแนน และแบล็คเบิร์น  ต้องไปเยือน ลิเวอร์พูล ที่แอนฟิลด์ ซึ่งถือเป็นงานที่หนักมากซึ่งแบล็คเบิร์น ก็ทำช็อคแฟนบอลตัวเองด้วยการพ่าย “หงส์แดง” ไปซะอย่างงั้น จากลูกทีเด็ดของ เจมี่ เรดแนปป์ ที่ยิงประตูชัยในช่วงท้ายเกม แต่ที่พีคคือผลอีกคู่ ยูไนเต็ด ดันทำได้เพียงเสมอ เวสต์แฮม นั่นทำให้ ทัพ “กุหลาบไฟ” เถลิงบัลลังก์แชมป์ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 81 ปี  นับตั้งแต่ปี 1914

 

ความสำเร็จของแบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ในครั้งนั้นถือว่ายิ่งใหญ่และน่าจดจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะมีเพียงไม่กี่ครั้งที่จะมีทีมเล็กๆก้าวขึ้นมาเป็นแชมป์ เพราะต่อจากนั้นกว่าจะมีอีกครั้ง ก็ต้องรอเกือบ 20 ปี จากการมาของ เลสเตอร์ ซิตี้  และไม่รู้เมื่อไหร่ที่เทพนิยายบทใหม่จะบังเกิดขึ้นอีก

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ฤดูกาล 1998/1999

 

ยูไนเต็ด ยุคทริปเปิ้ลแชมป์ ถือว่าเป็นสุดยอดทีมอย่างแท้จริง ถึงขนาดที่ว่าได้รับการโหวตจาก บีบีซี สื่อดังเมืองผู้ดี ให้เป็นทีมยอดเยี่ยมตลอดของ พรีเมียร์ลีก  เรียกว่าทุกตำแหน่งนั้นคือความลงตัวเริ่มจากมี ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล เฝ้าเสา ส่วนแนวรับ แกรี่ เนวิลล์ ,ยาป สตัม  ,รอนนี่ ยอห์นเซ่น และ เดนนิส เออร์วิน ส่วนแดนกลาง นำโดย รอย คีน ที่เล่นร่วมกับ พอล สโคลส์ และมี ไรอัน กิ๊กส์ กับ เดวิด เบ็คส์แฮม ขึ้นเกมริมเส้น ส่วนคู่หัวหอกที่เข้าขากันสุดขีดอย่าง แอนดี้ โคล  และ ดไวท์ ยอร์ค

 

 แม้ฤดูกาลนั้นลูกทีมของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จะเก็บแต้มได้เพียง 79 แต้ม (สมัยนั้นถือว่าเยอะมากๆแล้ว ) แต่หากย้อนความทรงจำไปใน นี่คือยุคดรีมทีมของ ยูไนเต็ด อย่างแท้จริง เพราะนอกจากแชมป์ลีกอังกฤษแล้ว ยังคงสร้างปาฏหารย์ทั้งในถ้วย เอฟเอ คัพ ที่พวกเขาเอาชนะ อาร์เซน่อล ในเกมรอบรองชนะเลิศ นัดที่ 2 ที่เกมนั้น ไรอัน กิ๊กส์ แหวกครึ่งสนามเข้าไปยิงในช่วงต่อเวลาพิเศษ

 

และที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือถ้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ซึ่งมีหลายเกมที่ภาพยังติดตาทั้งแมตช์รอบรองชนะเลิศ ที่พวกเขาบุกไปเอาชนะ ยูเวนตุส  ที่เดลเล่ อัลปิ (ชื่อสนามเหย้า ม้าลาย ในตอนนั้น) 3-2 ผ่าน เข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศ ที่กลายเป็นหนึ่งในแมตช์แห่งความทรงจำอย่างแท้จริงด้วยการพลิกเอาชนะ บาเยิร์น มิวนิค 2-1 ซึ่งผู้ยิงประตูชัยก็คือ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา กุนซือคนปัจจุบันนี่เอง

 

อาร์เซน่อล  ฤดูกาล 2003/04

 

              นิยามของ อาร์เซน่อล ชุดนี้คือ  The Invincible Champions  เพราะนี่คือทีมที่คว้าแชมป์ได้แบบไร้พ่ายเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก และหากนับตั้งแต่สมัยเป็น ดิวิชั่น 1  พวกเขาก็เป็นทีมแรกในรอบ 100 กว่าปี หรือนับตั้งแต่ปี 1889  ทื่เวลานั้นเป็น เปรสตัน นอร์ธเอนด์ ที่ทำได้สำเร็จ แต่เวลานั้นมีโปรแกรมลงสนามเพียง 22 เกมเท่านั้น หาใช้ 38 นัดไม่    

 

             ขุนพลแข้งของ อาร์แซน เวนเกอร์ ขงเบ้งแห่งฝรั่งเศส ในยุคนั้น เรียกว่ากลมกล่อมเหมือนบรั่นดี ที่ ได้รับการบ่มเอาไว้ยาวนาน   แบ็กโฟร์วาง โคโร่ ตูเร่ ยืนคู่กับ โซล แคมป์เบลล์ , โลร็องต์ เอตาเม่ กับ แอชลีย์ โคล ยืนเป็นแบ็ก 2 ฝั่ง ส่วนแดนกลาง เอมมานูเอล เปอร์ตีต์ ยืนผนึกกำลังห้องเครื่องกับ “กัปตันปั๊ต” ปาทริค วิเอร่า พร้อมมี เรย์ พาร์เลอร์ สลับกับ เฟรดดี้ ลุงเบิร์ก ยืนริมเส้นฝั่งขวา ส่วนฝั่งซ้ายใช้ โรแบร์ ปิแรส ทำเกม ร่วมกับ เดนนิส เบิร์กแคมป์ และ เธียร์รี่ อองรี ดาวยิงผู้ซึ่งกลายเป็นตำนานรูปปั้นหน้าสโมสร เอมิเรตท์ สเตเดี้ยมในปัจจุบัน 

 

 ตลอดฤดูกาล พวกเขาเอาชนะไป 26 นัด เสมอ 12 นัด และไม่แพ้ใครเลย ทำแต้มไปได้ทั้งสิ้น 90 คะแนน  เกมรุกยิงได้มากสุดในลีกที่ 73 ประตู ส่วนเกมรับก็เสียน้อยสุดในลีกที่ 26 ประตู  ก่อนที่สถิติดังกล่าวจะดำเนินไปถึงอีกฤดูกาล และหยุดลงที่  49 นัด

 

             โอเคหละ 90 แต้ม แม้จะไม่ได้ใช่การคว้าแชมป์ด้วยแต้มที่มากที่สุด แต่ผ่านมาถึงตอนนี้ยาวมา 16 ปีเต็ม ก็ยังคงไม่มีทีมไหนที่จะทำสถิติไร้พ่ายได้เช่นนี้เลย

 

 

เชลซี ฤดูกาล 2004/05

 

          ทัพ “สิงห์บูล์ส”  ภายใต้ยุคของ “เสี่ยหมี” โรมัน อบราโมวิช เจ้าของสโมสรชาวรัสเซีย ตัดสินใจไปทุ่มเงินคว้าตัว โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือไฟแรงแห่งเอฟซี ปอร์โต้ เข้ามาคุมทัพ เรียกว่ามาพร้อมกับการขนานนามตัวเองว่าเป็น “เดอะ สเปเชี่ยลวัน”

 

            มูรินโญ่ เข้ามาพร้อมยกเครื่องทีมขนานใหญ่ ด้วยการคว้าแข้งที่เขาคุ้นเคยจาก ปอร์โต้ ชุดแชมป์ยุโรปในเวลานั้นอย่าง ริคาร์โด คาร์วัลโญ่ ,เปาโล่ เฟร์เรร่า มาร่วมทัพ รวมไปถึงยังได้ ปีเตอร์ เช็ก ,โคล้ด มาเกเลเล่  , ,ดาเมี่ยน ดัฟฟ์ ,อาร์เยน ร็อบเบน ,โจ โคล และ ดีดิเยร์ ดร็อกบา มาร่วมทัพ โดยมีแกนหลักที่อยู่กับทีมอยู่แล้วอย่าง จอห์น เทอร์รี่ และ แฟรงค์ แลมพาร์ด เป็นผู้นำทีม

 

            ความสุดยอดของ มูรินโญ่ ในตอนนั้น เรียกว่านอกจากสกิลปากแล้ว แท็กติกของเขายังไม่เป็นรองใคร โอเคหละ นี่อาจไม่ใช่ทีมที่เล่นได้อย่างเอนเตอร์เทนในสายตาใคร แต่หากมองแล้วคือการยกระดับของทัพ “สิงห์บูล์ส” ขึ้นมาอย่างแท้จริง เพราะทั้งเกมรับและเกมรุกนั้นทำได้อย่างสุดยอด 

 

คู่เซ็นเตอร์อย่าง เจที กับ คาร์วัลโญ่ ก้าวขึ้นมาเป็นหมายเลข 1 ของลีกผู้ดีในตอนนั้นได้อย่างเต็มตัว ส่วนแนวรุกเอาง่ายๆ ร็อบเบน สมัยยังมีผมอยู่บนหัวนั้นโหดขั้นสุดกว่ายุคไหนทั้งสิ้น การเลี้ยงและการยิง แม้ผู้รักษาประตูทุกคนจะจับทางได้ว่าเขาจะยิงยังไง แต่น้อยคนที่จะรับได้ ส่วน ดร็อกบา นั้นคือกองหน้าที่เต็มไปด้วยความ แข็งแกร่ง ,ความเร็ว และความคม พร้อมสู้กับกองหลังทุกสโมสรบนโลก  

 

ฤดูกาลนั้นพวกเขาพ่ายเพียงเกมเดียวตลอดทั้งฤดูกาล เสียไปแค่ 16 ประตูเท่านั้น พร้อมทำแต้มไปได้ถึง 95 แต้ม พร้อมทำให้ เชลซี ก้าวขึ้นมาเป็นยักษ์ใหญ่แห่งพรีเมียร์ลีก ในสมัยนั้นแบบเต็มตัว

 

 

เลสเตอร์ ซิตี้ ฤดูกาล 2015/16

          หนึ่งในสโมสรที่ทำเรื่องเหลือเชื่อมากที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก จากทีมที่ไม่ได้อยู่ในสายตาการคว้าแชมป์ พร้อมบริษัทรับพนันถูกกฏหมายออกราคาคว้าแชมป์เอาไว้ถึง 5,000/ 1

 

            หากย้อนกลับไป 13 เดือนก่อน  “เดอะฟ็อกซ์” ยังจมอยู่ในอันดับ 20 ของตาราง ลุ้นหนีตกชั้นสุดขีดก่อนจะทำได้สำเร็จ ซึ่งหลังจากนั้นจุดเปลี่ยนก็เกิดขึ้นเมื่อเมื่อ ไนเจล เพียร์สัน กุนซือของทีมโดนปลดจากเหตุฉาวที่ เจมส์ ลูกชายของเขา เป็นหนึ่งในสามแข้ง ที่โดนแฉจากคลิปเที่ยวบริการผู้หญิง  ในระหว่างที่เดินทางมาประเทศไทยในช่วงปรีซีซั่น

 

แต่ใครจะไปเชื่อว่าการได้ “เดอะทิงเกอร์แมน” เคลาดิโอ รานิเอรี่ เข้ามาคุมทัพแทน จะทำให้สโมสร เลสเตอร์ ซิตี้ เปลี่ยนไปตลอดกาล สภาพทีมในตอนนั้นอาจจะไม่ได้มีนักเตะชื่อดัง แต่เรียกว่าทุกตำแหน่งเล่นเข้ากันได้อย่างสุดยอด เริ่มจาก แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล ที่ยืนเฝ้าเสา โดยมี เวสต์ มอร์แกน  ปราการหลังกัปตันทีม จับคู่กับ โรเบิร์ต ฮูธ ส่วนแดนกลาง แดนนี่ ดริงก์ วอเตอร์ ยืนเป็นห้องเครื่องร่วมกับ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ พร้อมมีแนวรุกอย่าง มาร์ค อัลไบรท์ตัน ,ริยาด มาห์เรซ และ เจมี่ วาร์ดี้ นำทัพ

 

จากสโมสรที่อยู่นอกสายตา ในช่วงแรกของฤดูกาลแม้พวกเขาจะฟอร์มร้อนแรงจนขึ้นมาเป็นจ่าฝูงของตาราง แต่เกือบทุกคนยังสร้างคำครหาขึ้นมาว่า ไม่มีทางที่ เลสเตอร์ จะยืนระยะยาวไปจนคว้าแชมป์ได้ แต่แล้ว รานิเอรี่ ก็สามารถตัดความกดดันของลูกทีมให้หายไปได้แบบหมดสิ้น ก่อนที่แสดงความคงเส้นคงวาให้เกิดขึ้นมาตลอดทั้งฤดูกาล พร้อมกับคว้าแชมป์ไปครองได้เป็นครั้งแรกในรอบ 132 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้งสโมสร

 

 

             หากใครจะเรียกสิ่งนี้ว่าปาฏิหารย์ ก็คงจะไม่แปลกนัก แต่บอกเลยว่าความพยายาม ความมุ่งมั่น ที่ไม่ยอมแพ้ ของทุกคนในทีมคือสิ่งสำคัญ และบอกกับเราว่า อะไรก็เกิดขึ้นได้บนโลกใบนี้จริงๆ 

 

 

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ฤดูกาล 2017/18

 

          หลังจากใช้เวลาสร้างทีมอยู่ร่วมหนึ่งดูกาลเต็ม เป๊ป กวาดิโอล่าห์ ก็ได้สร้างความยิ่งใหญ่ให้ “เรือใบสีฟ้า” พร้อมยกมาตรฐาน พรีเมียร์ลีก ขึ้นมาอีกระดับได้สำเร็จ เมื่อกลายเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ที่สามารถทำแต้มไปได้ถึง 100 แต้ม  พร้อมเก็บชนะได้ถึง 32 นัดใน 1 ฤดูกาล เสมอเพียง 4 นัด และแพ้ไป 2 นัดเท่านั้น

 

สไตล์การเล่นของเป๊ป อย่างที่เราทราบตั้งแต่สมัยที่เขาคุม บาร์เซโลน่า และ บาเยิร์น มิวนิค คือการ สร้างสรรค์รูปแบบการเล่นแบบ ติกิ ตาก้า ที่ให้ผู้เล่นเกมรับต่อบอล ขึนเกมจากแดนหลังมาสร้างเกมบุกทำประตู  

 

            ทีมชุดนี้นำโดย เอแดร์สัน ลงยืนเฝ้าเสา ส่วนแนวรับมี แวงซอง กอมปานี เป็นแกนหลัก ขณะที่แดนกลาง ดาบิด ซิลบา ,แฟร์นานดินโญ่ และ เควิน เดอบรอยน์ นั้นคือส่วนผสมที่ลงตัว โดยมี เลอรอย ซาเน่ ,ราฮีม สเตอร์ลิง และ เซร์คิโอ อเกวโร่ เป็นสามประสานในแนวรุก

 

 เรียกว่าเวลานั้นไม่มีใครหยุดพวกเขาได้เลย ยกเว้นตัวพวกเขาเองที่ต้องเจอปัญหาอาการบาดเจ็บเล่นงานในฤดูกาลต่อมาจนถึงปัจจุบัน

 

 

                                                DaboyG