กำลังได้รับความสนใจอย่างมากเกี่ยวกับอนาคตของดาวรุ่งตัวเก่ง เอฟเวอร์ตัน อย่าง แอนโทนี่ กอร์ดอน ที่ตกเป็นข่าวการย้ายทีมกับ เชลซี อย่างต่อเนื่อง หลังเขาแจ้งเกิดแบบเต็มตัวเมื่อซีซั่นที่แล้ว
ปฏิเสธไม่ได้ว่า เจ้าหนูวัย 21 ปี คืออีกหนึ่งผลผลิตที่ยอดเยี่ยมจากอะคาเดมี่ “ทอฟฟี่” แหล่งให้กำเนิดดาวรุ่งแห่งวงการฟุตบอลอังกฤษ มาแล้วหลายต่อหลายคน ซึ่งเวลานี้ กอร์ดอน คืออีกหนึ่งเด็กสร้างของสโมสรที่กำลังโชว์ฟอร์มได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ
โดยวันนี้ UFAARENA จะขอพาไปย้อนดูเหล่าสุดยอดนักเตะที่เติบโตมากจากผลผลิตในทีมเยาวชนของ เอฟเวอร์ตัน ว่าก่อนที่จะมาถึง แอนโทนี่ กอร์ดอน เคยมีใครผ่านจุดเดียวกันมาแล้วบ้าง แน่นอนว่าพวกเขาเหล่านั้นกลายเป็นนักเตะชื่อดังที่แฟนบอลรู้จักกันเป็นอย่างดีในเวลาต่อมา
โทนี่ ฮิบเบิร์ต
อยู่กับสโมสร : ปี 1991-2016
สถิติลงสนามรวมทุกถ้วย : 328 นัด ยิง 0 ประตู แอสซิสต์ 10 ประตู
นับตั้งแต่ถูดันขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่เมื่อปี 2001 โทนี่ ฮิบเบิร์ต ลงเล่นเกม พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ให้กับ เอฟเวอร์ตัน ไปทั้งหมด 265 นัด ตลอดระยะเวลา 16 ซีซั่น โดยที่เขาไม่เคยยิงได้เลยแม้แต่ประตูเดียว และถือเป็นสถิตินักเตะที่ยิงไม่ได้ติดต่อกันยาวนานสุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ
แบ็คขวาซึ่งเกิดที่เมืองลิเวอร์พูล อยู่กับสโมสรตั้งแต่ยังเป็นเยาวชน และเขาเคยพาทีมชุดเล็ก “ทอฟฟี่” คว้าแชมป์ เอฟเอ ยูธ คัพ เมื่อปี 1998 ก่อนกลายเป็นเจ้าของสถิตินักเตะที่อยู่กับสโมสรยาวนานสุดตลอดกาล 25 ปี นับตั้งแต่เข้ามาเป็นเด็กปั้นของทีมเมื่อปี 1991 จนกระทั่งอำลาไปในปี 2016
ภาพจำของแฟนบอลที่มีต่อ ฮิบเบิร์ต คือจังหวะเข้าบอลอันดุดัน เขาเป็นผู้เล่นที่มีทักษะการเล่นเกมรับยอดเยี่ยม เป็นที่รักของแฟนบอลและบรรดาเพื่อนร่วมทีมตลอดช่วงเวลากับสโมสร แต่น่าเสียดายที่เขาไม่เคยได้มีโอกาสก้าวขึ้นไปติดทีมชาติอังกฤษ เลยสักครั้ง
เจมส์ วอห์น
อยู่กับสโมสร : ปี 2002-2011
สถิติลงสนามรวมทุกถ้วย : 60 นัด ยิง 9 ประตู แอสซิสต์ 2 ประตู
เจมส์ วอห์น ถูกจับดันขึ้นมาเล่นกับชุดใหญ่ของสโมสรเมื่อปี 2005 โดยเกมแรกที่เขาลงสนามคือแมตช์พบกับ คริสตัล พาเลซ และสามารถทำประตูได้ทันที ซึ่งนั่นทำให้กองหน้าชาวอังกฤษ แซง เวย์น รูนีย์ และ เจมส์ มิลเนอร์ ครองตำแหน่งนักเตะอายุน้อยสุดที่ยิงใน พรีเมียร์ลีก อังกฤษ จนถึงปัจจุบัน ด้วยวัยแค่เพียง 16 ปี 8 เดือน กับอีก 27 วัน
ความเร็วและทัศนคติที่มุ่งมั่นกับการเล่นฟุตบอลของเขา ทำให้เจ้าตัวกลายเป็นขวัญใจแฟนบอล เอฟเวอร์ตัน อย่างรวดเร็ว และก้าวขึ้นมาเติมเต็มช่องว่างของ เวย์น รูนีย์ ที่เพิ่งย้ายไปอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก่อนหน้านั้นไม่นาน
น่าเสียดายที่ท้ายสุดแล้ว วอห์น ลงเล่นกับทีมแค่เพียง 60 นัด เท่านั้น หลังเขาต้องเจอการเจ็บตามเล่นงานต่อเนื่องตั้งแต่อายุยังน้อย ทั้งอาการเจ็บเอ็นหัวเข่า, ไหล่หลุด รวมถึงอาการเจ็บที่ข้อเท้า
หลังจากนั้นเขาถูกปล่อยยีมตัวไปอยู่กับทั้ง ดาร์บี้ เค้าท์ตี้, คริสตัล พาเลซ และ เลสเตอร์ ซิตี้ ก่อนเซ็นสัญญาถาวรกับ นอริช ซิตี้ เมื่อปี 2011
วิคเตอร์ อนิเชเบ้
อยู่กับสโมสร : ปี 2003-2013
สถิติลงสนามรวมทุกถ้วย : 168 นัด ยิง 26 ประตู แอสซิสต์ 20 ประตู
วิคเตอร์ อนิเชเบ้ เกิดที่ ไนจีเรีย ก่อนย้ายมาอยู่เมืองเวอร์พูล ตั้งแต่อายุยังน้อย และเข้ามาเป็นเด็กปั้นยอดทีมเมอร์ซีย์ไซด์ ในปี 2003 ก่อนถูกดันขึ้นชุดใหญ่อย่างเป็นทางการเมื่อปี 2006
ดาวเตะทีมชาติไนจีเรีย ถือเป็นกองหน้าสไตล์ดังเดิม ที่เน้นความแข็งแกร่งของร่างกายเป็นหลัก และสามารถเล่นในตำแหน่งกองกลางยามจำเป็นได้ด้วย
ทว่าภายหลังก้าวขึ้นมาเล่นกับทีมชุดใหญ่แบบเต็มตัว อนิเชเบ้ ไม่สามารถทำผลงานได้ตามที่แฟนบอลเคยคาดหวังไว้ และฟอร์มของเขาเริ่มดรอปลงเรื่อยๆ ก่อนที่จะถูกปล่อยให้กับ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ในปี 2013 หยุดสถิติลงสนามกับ เอฟเวอร์ตัน ไว้ที่ 168 เกม ยิง 26 ประตู เท่านั้น
.
ริชาร์ด ดันน์
อยู่กับสโมสร : ปี 1994-2000
สถิติลงสนามรวมทุกถ้วย : 72 นัด ยิง 0 ประตู แอสซิสต์ 0 ประตู
สุดยอดกองหลังชาวไอริช เข้ามาสู่ระบบอะคาเดมี่ เอฟเวอร์ตัน เมื่อปี 1994 ก่อนก้าวขึ้นมาเล่นชุดใหญ่อีก 2 ปี หลังจากนั้น โดยตลอดระยะเวลาในถิ่น กูดิสัน พาร์ค 5 ฤดูกาล เจ้าตัวลงสนามมากว่า 70 นัดรวมทุกรายกาน แต่ไม่เคยยิงได้แม้แต่ลูกเดียว
ริชาร์ด ดันน์ คือหนึ่งในขุมกำลัง “ทอฟฟี่” ชุดคว้าแชมป์ เอฟเอ ยูธ คัพ เมื่อปี 1998 เช่นเดียวกับ โทนี่ ฮิบเบิร์ต ซึ่งนั่นเป็นจุดเริ่มต้นก่อนที่เขาจะกลายเป็นอีกหนึ่งกองหลังระดับไอคอนของลีกเมืองผู้ดี
แนวรับทีมชาติไอร์แลนด์ อยู่กับสโมสรจนถึงช่วงหน้าร้อนปี 2000 ก่อนที่เขาจะถูกดึงไปอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยค่าตัว 3 ล้านปอนด์ ซึ่งเขาได้กลายเป็นกัปตันทีมระดับตำนานของ “เรือใบสีฟ้า” ในเวลาต่อมา ด้วยการลงสนามเกือบ 300 เกม และคว้ารางวัลผู้เล่นแห่งปีของสโมสรถึง 4 ครั้ง
นอกจากนั้น ดันน์ ยังเคยติดทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมฟุตบอลอังกฤษ เมื่อปี 2010 ส่วนระดับทีมชาติลงเล่นไปทั้งหมด 80 นัด และเคยผ่านการลงเล่นในศึกฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย เมื่อปี 2002 ที่ ญี่ปุ่น และ เกาหลีใต้ เป็นเจ้าภาพร่วม ซึ่งทีมของเขาผ่านเข้าถึงรอบ 16 ทีมสุดท้าย
ลีออน ออสแมน
อยู่กับสโมสร : ปี 1997-2016
สถิติลงสนามรวมทุกถ้วย : 433 นัด ยิง 58 ประตู แอสซิสต์ 39 ประตู
เช่นเดียวกับ ริชาร์ด ดันน์ และ โทนี่ ฮิบเบิร์ต มิดฟิลด์ชาวอังกฤษ คืออีกหนึ่งนักเตะจากทีมเยาวชน “เดอะ บลูส์” ชุดคว้าแชมป์ เอฟเอ ยูธ คัพ ปี 1998 หลังจากนั้นเขาถูกดันขึ้นมาเล่นกับชุดใหญ่และถูกส่งลงสนามเกมแรกช่วงกลางฤดูกาล 2002/2003 ในแมตช์บุกแพ้ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 4-3 ช่วงเดือนมกราคม ปี 2003
ลีออน ออสแมน เคยมีอาการเจ็บหนักที่บริเวณหัวเข่าช่วงที่เข้าเพิ่งเริ่มต้นค้าแข้งใหม่ๆ และมันเกือบทำให้เขาต้องยุติเส้นทางการเป็นนักฟุตบอลอาชีพไว้แค่นั้น
กระทั่งผ่านมาถึงปี 2012 ลีออน ออสแมน กลายเป็นกองกลางคนสำคัญของ เอฟเวอร์ตัน และเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ทำผลงานยอดเยี่ยมสุดคนหนึ่งของ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ณ เวลานั้น และมันมีส่วนทำให้เขาถูกเรียกติดทีมชาติอังกฤษ ภายใต้ยุคการคุมทีมของกุนซืออย่าง ฟาบิโอ คาเปลโล่
ออสแมน ลงสนามให้กับ “ทอฟฟี่” เป็นเวลากว่า 16 ซีซั่น เล่นไปทั้งหมด 433 นัด ยิง 58 ประตู กับอีก 39 แอสซิสต์ ก่อนที่เขาจะตัดสินใจแขวนสตั๊ดกับสโมสรหลังจบฤดูกาล 2015/2016
แจ็ค ร็อดเวลล์
อยู่กับสโมสร : ปี 1998-2012
สถิติลงสนามรวมทุกถ้วย : 109 นัด ยิง 8 ประตู แอสซิสต์ 6 ประตู
แจ็ค ร็อดเวลล์ เซ็นสัญญากับ เอฟเวอร์ตัน ตั้งแต่ 7 ขวบ เขาคือนักเตะที่มีพรสวรรค์มากสุดคนหนึ่งเท่าที่สโมสรเคยมีมา และทำผลงานโดดเด่นในทุกชุดที่ลงเล่น
เดิมที ร็อดเวลล์ เริ่มต้นการเล่นฟุตบอลด้วยการเป็นกองหลัง ก่อนที่เขาจะแจ้งเกิดได้แบบเต็มตัวในฐานะมิดฟิดล์ตัวรับ
เจ้าตัวถูกส่งลงสนามนัดแรกให้กับสโมสรในเกม ยูฟ่า คัพ ที่พบกับ อาแซด อัลค์มาร์ ช่วงเดือนธันวาคม ปี 2007 ด้วยวัยแค่เพียง 16 ปี 284 วัน ซึ่งนั่นทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นอายุน้อยสุดในลงเล่นเกมฟุตบอลยุโรป ให้กับ “ทอฟฟี่สีน้ำเงิน” จนถึงตอนนี้
โดยหนึ่งในประตูแห่งความทรงจำของ ร็อดเวลล์ เกิดขึ้นในเกมที่พบกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อปี 2010 ซึ่งเขาโชว์ความยอดเยี่ยมด้วยการลากบอลครึ่งสนามก่อนกระชากหนีกองหลังอย่าง จอนนี่ อีแวน และยิงเล่นทางผ่านมือ เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ เข้าเสาไกลแบบสุดสวย
จุดเปลี่ยนสำคัญบนเส้นทางการค้าแข้งของ ร็อดเวลล์ คือการย้ายไปอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในยุคก่อนเป็นมหาอํานาจลูกหนังบนเกาะอังกฤษ ซึ่งเขามีอาการเจ็บเล่นงานต่อเนื่อง และลงเล่นกับ “ เรือใบสีฟ้า” แค่เพียง 25 เกม เท่านั้น ตลอดระยะเวลา 2 ซีซั่น ก่อนต้องระหกระเหินไปเล่นกับทีมอย่าง ซันเดอร์แลนด์, แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส, เวสเทิร์น ซิดนีย์ วันเดอเรอร์ส และเพิ่งเซ็นสัญญากับ ซิดนี่ย์ เอฟซี ในวัย 31 ปี เมื่อช่วงต้นเดือนสิงหาคม ปี 2022 ที่ผ่านมา
รอสส์ บาร์คลี่ย์
อยู่กับสโมสร : ปี 2005-2018
สถิติลงสนามรวมทุกถ้วย : 179 นัด ยิง 27 ประตู แอสซิสต์ 28 ประตู
หาก แจ็ค ร็อดเวลล์ และ เวย์น รูนี่ย์ ถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในนักเตะจากอะคาเดมี่ “ทอฟฟี่” ที่ดีที่สุดตลอดกาล กองกลางดีกรีทีมชาติอังกฤษ อย่าง รอสส์ บาร์คลี่ย์ ก็คงอยู่ในระดับเดียวกัน
เขาเข้ามาอยู่กับทีมเยาวชนสโมสรเมื่อปี 2005 ด้วยวัยแค่เพียง 12 ปี และถูกส่งลงสนามเกมแรกให้กับทีมชุดใหญ่ในเกมนัดเปิดฤดูกาล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซีซั่น 2011/2012 ที่พบกับ ควีนส์ ปาร์ค เรนเจอร์ส
หลังจากนั้น บาร์คลี่ย์ ถูกปล่อยไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์กับทั้ง เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ และ ลีดส์ ยูไนเต็ด ก่อนที่เขาจะก้าวขึ้นมาเป็นแกนหลักของ “ทอฟฟี่” แบบเต็มตัวในฤดูกาล 2013/2014 ตามมาด้วยการถูกเรียกติดทีมชาติอังกฤษ ภายใต้ยุคการคุมทีมของเฮดโค้ชอย่าง รอย ฮอดจ์สัน
บาร์คลี่ย์ พัฒนาฝีเท้าของตัวเองจนกลายเป็นหนึ่งในกองกลางตัวรุกที่ดีที่สุดบนเกาะอังกฤษ และนั่นทำให้เขาถูกดึงไปอยู่กับ เชลซี ช่วงหน้าร้อนปี 2017 แต่นับตั้งแต่เขามาเล่นยังถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ ผลงานของเขากลับดรอปลงไปอย่างน่าใจหาย จากปัญหาอาการบาดเจ็บที่ตามรังควานต่อเนื่อง และโอกาสลงสนามที่น้อยลงเรื่อยๆ กับ “สิงห์บลูส์”
เวย์น รูนี่ย์
อยู่กับสโมสร : ปี 1996-2004 และ 2017-2018
สถิติลงสนามรวมทุกถ้วย : 117 นัด ยิง 28 ประตู แอสซิสต์ 8 ประตู
เวย์น รูนี่ย์ ถูกยกให้เป็นอีกหนึ่งนักเตะอังกฤษ ที่ประสบความสำเร็จมากสุดตลอดเส้นทางการค้าแข้งอาชีพ และแน่นอนว่าเขาคือความภาคภูมิใจมากที่สุดของ อะคาเดมี่ เอฟเวอร์ตัน ด้วยเช่นกัน
อดีตดาวยิงทีมชาติอังกฤษ ประเดิมลงเล่นชุดใหญ่กับสโมสรเมื่อปี 2002 ก่อนที่เขาจะก้าวขึ้นมาเป็นแกนหลักของทีมได้อย่างรวดเร็ว และเริ่มฉายแววความเป็นสุดยอดนักเตะของโลกลูกหนัง ด้วยการยิง 17 ประตู จากการลงเล่น 77 นัด ตลอดการลงเล่นฟุตบอลอาชีพสองซีซั่นแรกในสีเสื้อ “เดอ บลูส์”
กระทั่งปี 2004 เมื่อฝีเท้าของเขาโดดเด่นขึ้นเรื่อยๆ จนไปเข้าตาสุดยอดกุนซือ ณ เวลานั้น อย่าง เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ทำให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตัดสินใจคว้าเจ้าตัวมาร่วมทีม และหลังจากนั้นเขายกระดับตัวเองต่อเนื่อง จนกลายเป็นกองหน้าระดับเวิร์ดคลาสในถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด ได้สำเร็จ
ก่อนที่ฤดูกาล 2017/2018 รูนี่ย์ กลับมาอยู่กับทีมเก่าของเขาช่วงบั้นปลายอาชีพค้าแข้ง และทำผลงานน่าประทับใจ ด้วยการยิงถึง 11 ประตู จากการลงเล่น 40 นัดรวมทุกรายการ