เดินทางมาถึง นัดสุดท้ายของ รอบแบ่งกลุ่ม สำหรับศึก ยูโร 2020 หนนี้ เรียกว่าหลายชาติก็สร้างผลงานได้น่าประทับใจไม่ว่าจะทั้ง อิตาลี ,เบลเยี่ยม หรือ เนเธอร์แลนด์ ที่การันตีเข้ารอบน็อคเอาท์ 16 ทีมสุดท้ายแน่นอนแล้ว ขณะที่บางทีมที่เป็นตัวเต็งก่อนการแข่งขันกลับสร้างผลงานได้น่าผิดหวัง ไม่ว่าจะทั้ง อังกฤษ และ สเปน ซึ่งยังไม่แน่ว่าอาจเป็นม้าตีนปลายก็เป็นได้
นอกจากเหตุการณ์ที่น่าสนใจเราไปดูเเข้งฟอร์มเเจ่มในศึกยูโรกันบ้าง
อย่างไรซะตลอดระยะเวลากว่า 10 วันที่ผ่านมามีเหตุการณ์ที่น่าสนใจเกิดขึ้นมากมาย ทั้งในและนอกสนาม และวันนี้ UefaArena ได้รวบรวมมาให้ได้ดูกันว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
ปาฏิหารย์ เอริคเซ่น พร้อมสปิริตของแข้งโคนม
โลกยังคงไม่โหดร้ายเกินไปสำหรับ คริสเตียน เอริคเซ่น จอมทัพทีมชาติเดนมาร์ก ที่กลับมาฟื้นมีสติและมีชีวิตอยู่ต่อไป หลังเหตุการณ์ที่สร้างความตกใจให้กับแฟนบอลทั่วโลก เมื่อดาวเตะวัย 29 ปีนั้นล้มไม่ได้สติลงไปในช่วงครึ่งแรกของการแข่งขันในเกมที่ดวล ฟินแลนด์ ในนัดประเดิมสนามในกลุ่มบี
จากปาฏิหารย์ที่เกิดขึ้นกับ เอริคเซ่น เรายังได้เห็นภาพสปิริตรวมใจของทุกคน ไม่ว่าจะ ซิมง เคียร์ แนวรับกัปตันทีม กับภาวะความเป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยม ในการช่วยเหลือดูแลทุกคนในทีม หรือภาพของนักเตะเดนมาร์กที่ล้อมวงพร้อมกับผ้ากั้นที่เป็นธงชาติ ฟินแลนด์ ซึ่งแฟนบอลฟินแลนด์ ส่งลงมาให้ทีมแพทย์ เพื่อบังไม่ให้เห็นการทำงานของทีมแพทย์ในการช่วยชีวิตและCPR เอริคเซ่น ในหนนี้
โรนัลโด้ กับขวดโค้กเจ้าปัญหา
หนึ่งในกระแสไวรัลของ ยูโร หนนี้ นอกจากเพลงโฆษณา แอร์โร่ซอฟท์ ของลุง พลพล (เวลานี้เวอร์ชั่นอื่นให้ฟังแล้ว) ก็คือเหตุการณ์ในห้องแถลงข่าว ที่ คริสติอาโน่ โรนัลโด้ ซูเปอร์สตาร์ลูกหนังทีมชาติโปรตุเกส เอาขวดโค้ก หรือ โคคาโคล่า สปอร์เซอร์หลักของทัวร์นาเมนต์นี้ ขยับออกจากโต๊ะแถลงข่าว พร้อมกับยกน้ำเปล่าขึ้นมาหน้าตาเฉย จนหลังจากนั้นเพียงวันเดียวหุ้นของ โคคาโคล่า นั้นร่วงทะลุ 1 แสนล้านบาทเลยทีเดียว
จากเหตุการณ์ดังกล่าว ยังได้กลายเป็นพฤติกรรมเลียนแบบที่ดูแล้วเริ่มไม่เหมาะสม ไม่ว่าจะทั้ง ปอล ป๊อกบา กองกลางฝรั่งเศส ที่ขยับขวดเบียร์ไฮเนเก้น 0 เปอร์เซนต์ออก หรือ มานูเอล โลคาเตลลี กองกลางดาวรุ่งทีมชาติอิตาลี ที่ทำในลักษณะคล้ายๆกันกับ โด้ แต่ สตานิสลาฟ เชอร์เชซอฟ กุนซือทีมชาติรัสเซีย เลือกที่จะเปิดขวดดื้อ ๆ แล้วกินโชว์ต่อหน้าสื่อ จนทำให้ ยูฟ่า ต้องออกโรงเตือนชาติที่เข้าร่วมการแข่งขันว่า ห้ามมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีกเป็นอันขาด ไม่งั้นจะมีการลงโทษปรับแน่นอน
7 ปีที่รอคอยของ “อัศวินสีส้ม”
“อัศวินสีส้ม” ทีมชาติ เนเธอร์แลนด์ ห่างหายจากฟุตบอลรายการทัวร์นาเมนต์ใหญ่ไปถึง 7 ปีเต็ม หลังจากครั้งสุดท้ายที่ได้ร่วมสังคายนาในรายการระดับเมเจอร์ คือฟุตบอลโลก เมื่อปี 2014 นู่นเลยทีเดียว มาครั้งนี้แม้พวกเขาจะไม่ใช่ทีมเต็งแชมป์เหมือนที่ผ่านมา แต่ถึงเวลานี้ก็การันตีผ่านเข้ารอบ น็อคเอาท์ 16 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จแล้ว ด้วยการเอาชนะ ยูเครน 3-2 ก่อนที่จะบดคว่ำ ออสเตรีย 2-0 เรียกได้ว่ามาเงียบๆ แต่เต็มเปี่ยมไปด้วยทีเด็ดก็ว่าได้
แพทริค ชีค กับว่าที่ประตูยอดเยี่ยมของทัวร์นาเมนต์
ดาวยิงทีมชาติ สาธารณรัฐเช็ก กลายเป็นหนึ่งในแข้งฟอร์มร้อนของยูโร หนนี้ หลังยิงไปแล้ว 3 ประตู เป็นดาวซัลโวอยู่ในเวลานี้ แต่ที่ตรึงตราตรึงใจแฟนบอลมากที่สุด ก็คงจะเป็นประตูไหนไปไม่ได้นอกจากลูกยิงเกมที่เอาชนะ สกอตแลนด์ ซึ่งเขาซัดโค้งๆเกือบครึ่งสนาม ที่มีการวัดมาแล้วว่า ไกลถึง 49.7 หลา ทำให้ลูกยิงของเขาเป็นประตูที่ยิงไกลที่สุดที่เกิดขึ้นใน ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปรอบสุดท้าย และจะเป็นว่าที่ประตูยอดเยี่ยมแห่งทัวร์นาเมนต์อย่างไม่ต้องสงสัย
ฟินแลนด์ คว้าชัยหนแรกในประวัติศาสตร์
นี่คือครั้งแรกของพลพรรค “ฮูกายัค” กับ ทัวร์นาเมนต์ใหญ่ และมันคงเป็นความทรงจำที่สวยงามตลอดไป กับชัยชนะเหนือ เดนมาร์ก 1-0 ที่สังเวียน พาร์เก้น สเตเดียม ซึ่งเกมนี้ทัพ “โคนม” มีโอกาสลุ้นทำประตูมากถึง 21 ครั้ง ส่วน ฟินแลนด์ ต้องบอกว่าโป้งเดียวจอดของจริง เพราะประตูชัยของจากลูกโหม่งของ โจเอล โพห์ยันพาโล ซึ่งนั่นคือโอกาสยิงประตูเพียงครั้งเดียวตลอด 90 นาทีของพวกเขา และเป็นเครื่องยืนยันอีกครั้งว่า เกมฟุตบอล ครองบอลมากกว่า โอกาสมากกว่า ก็ไม่ใช่ผู้ชนะเสมอไป
วงการลูกหนังและการเมืองที่ตัดกันไม่ขาด
ศึก ยูโร 2020 หนนี้มีหลายเหตุการณ์ที่มีประเด็นการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง เริ่มจาก ยูเครน ที่เปิดตัวชุดแข่งก่อนที่ทัวร์นาเมนต์ จะเริ่มต้น ด้วยการใส่ลายเส้นลางๆ ของแผนที่ประเทศยูเครนที่รวมสาธารณรัฐไครเมียเข้าไปที่บริเวณหน้าอกเสื้อ โดยพื้นที่ไครเมียเป็นกรณีพิพาทระหว่างยูเครนกับรัสเซียมายาวนาน จนทำให้ รัสเซีย นั้นแสดงความไม่พอใจอย่างยิ่ง จากนั้นยูฟ่า ได้มีคำสั่งให้ถอดสัญลักษณ์ดังกล่าวออกก่อนที่การแข่งขันจะเริ่มต้นขึ้น
ขณะเดียวกันก็มีอีกเหตุการณ์ที่ดุเดือดไม่แพ้กันเมื่อ มาร์โก อาร์เนาโตวิชกองหน้าทีมชาติออสเตรีย แสดงพฤติกรรมก้าวร้าวหลังจากยิงประตูได้ ด้วยการไปตะโกนท้าทายใส่ เอซกาน อลิออสกี้ นักเตะนอร์ธ มาซิโดเนีย ที่แปลออกมาได้ใจความที่ว่า “กูจะเยแม่พวกมึงไอ้แอลเบเนี่ยน” จนทำให้ ดาวิด อลาบา กัปตันทีมชาติออสเตรีย ต้องเข้ามาปราม แต่ก็ไม่ทันแล้ว
เพราะหลังจากนั้น ยูฟ่า ได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบด้านวินัย และจริยธรรมและมีบทลงโทษกับแข้งวัย 32 ปี ด้วยการสั่งแบน 1 นัด ในความผิดข้อหาใช้ถ้อยคำเหยียดหยาม ดูถูกผู้เล่นคนอื่น จนทำให้เจ้าตัวไม่ได้ลงสนามช่วยชาติในเกมพ่าย เนเธอร์แลนด์ 0-2 นั่นเอง
DaboyG