การเป็นคนจอมทรยศ หรือที่เรียกว่างูพิษนั้นมีกันทุกวงการ ทุกกลุ่มสังคม รวมไปถึงวงการฟุตบอลที่มีให้เห็นบ่อยครั้งกับการย้ายไปอยู่กับทีมคู่แข่ง แต่ก็ขึ้นอยู่กับการวางตัว การกระทำว่าจะโดนตราหน้าเป็นพวกงูพิษหรือไม่
วันนี้ UFA ARENA จะพาไปรู้จักบรรดางูพิษที่กระทำการแว้งกัดใส่ทีมเก่าที่เคยค้าแข้งแบบเจ็บแสบ ว่าจะมีใคร มีพฤติกรรมใดบ้าง
เมื่อบอร์ดบริหารบอกผมว่าพวกเขาไม่ไว้วางใจผมอีกต่อไป มันเป็นเรื่องยากและผมไม่คาดคิดเลยว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมาก คูมัน โทรมาหาผมและบอกผมว่าพวกเขาไม่ไว้วางใจผม พวกเขาบอกผมว่าไม่ต้องไปซ้อม ผมบอกพวกเขาว่าตราบใดที่ผมมีสัญญา ผมจะซ้อม” นี้คือถ้อยคำหลังจากที่ หลุยซ์ ซัวเรซ โดนบาร์เซโลน่า ปล่อยออกจากทีมในยุคของ โรนัลด็ คูมัน ทั้งที่ตนไม่อยากย้ายออก
แน่นอนว่าจากบทสัมภาษณ์เจ้าตัวไม่ได้มีความแค้นเคืองอะไรกับทีมหรือแฟนบอล แต่เป็นตัวผู้จัดการทีมล้วนๆ ก่อนที่วันแห่งการแก้แค้นจะมาถึง หอกชาวอุรุกวัยได้ย้ายไปอยู่กับ แอตเลติโก มาดริด คู่แข่งร่วมลีก และมีคิวโคจรกับมาเจอกับนายใหญ่ชาวฮอลแลนด์ ในซีซั่นที่สองของเขากับทัพตราหมี หลังพาทีมคว้าแชมป์ลาลีกาไปในซีซั่นแรก
เป็นที่รู้กันว่าเวลาที่นักเตะยิงทีมเก่าตัวเองได้ พวกเขาจะไม่แสดงอาการดีใจอะไรมากมาย ซึ่ง ซัวเรซ เองก็ทำแบบนั้นในตอนแรกที่ยิงประตูที่ 2 ให้กับทีมออกนำ 2-0 เจ้าตัวได้ไปยกมือไหว้บรรดาแฟนบอลต่างดาว แต่หลังจากนั้นก็มองขึ้นไปบนอัฒจันทร์พร้อมทำท่ายกหูโทรศัพท์ ซึ่งเป็นการสื่อถึงการที่เขาถูกบอกให้แยกทางผ่านทางโทรศัพท์ อย่างไรก็ตามภายหลังตัวนักเตะได้ออกมาปฏิเสธว่าท่าดีใจดังกล่าวไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับประเด็นนี้ แต่เป็นสิ่งที่สัญญาไว้กับลูกๆเพียงเท่านั้น อย่างไรก็ตามภาพที่ออกไปก็ทำเอา คูมันเองก็ออกอาการเจ็บจี๊ดไม่น้อย
แนวรุกชาวอังกฤษเป็นนักเตะจากอคาเดมี่ของ ลิเวอร์พูล และนับว่าเป็นกำลังสำคัญของทีมนับตั้งแต่ถูกดันสู่ทีมชุดใหญ่เมื่อปี 2012 โดยเฉพาะในปี 2014/15 ที่ทีมต้องเสีย หลุยซ์ ซัวเรซไปให้กับบาร์เซโลน่า และ แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ที่โดนอาการบาดเจ็บเล่นงาน หนุ่มน้อยวัย 20 ปีกลายมาเป็นตัวแบกของทีมได้ในทันที
อย่างไรก็ตามหลังจบซีซั่นดังกล่าวสัญญาของ สเตอร์ลิ่งเหลืออีก 2 ปีและทางสโมสรต้องการขยายสัญญาเพิ่ม โดยยื่นค่าเหนื่อยให้ถึง 1 แสนปอนด์ต่อสัปดาห์นับเป็นค่าเหนื่อยที่เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า แต่เจ้าตัวก็ปฏิเสธ สโมสรพยายามตื้ออยู่สองรอบ แต่ฟางเส้นสุดท้ายมันดันมาขาดตอนที่แข้งลูกหม้อของสโมสรรายนี้ให้สัมภาษณ์ว่า “เรื่องเงินมันไม่เกี่ยวกันเลย สิ่งที่ผมต้องการคือโทรฟี่แชมป์ตลอดอาชีพการเล่นของผมต่างหาก”
คำพูดดังกล่าวทำเอาทั้งลิเวอร์พูลลุกเป็นไฟ ไม่ว่าจะเป็นแฟนบอลหรือตัวเก๋าในสโมสรอย่าง เจมี่ คาราเกอร์ ก็ได้มีการออกมาโจมตีเจ้าตัวถึงคำพูดเหล่านี้ ก่อนที่เวทีจะย้ายไปที่การฟาดปากกับเอเย่นต์นักเตะ แฟนบอลเองก็มีการแต่งเพลงด่าทางเอเย่นต์ผสมโรงไปด้วย ก่อนที่การทิ้งบอมบ์สุดท้ายจะมาจากเอเย่นต์ที่ได้พูดว่า “เขาไม่เซ็นสัญญากับลิเวอร์พูลแน่ๆ ต่อให้ได้เงิน 7 แสน, 8 แสน , 9 แสนปอนด์ต่อสัปดาห์ เขาก็ไม่เซ็น” สุดท้ายก็ย้ายไปอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ในซัมเมอร์นั้น แม้จะทำให้หงส์แดงได้เงินก้อนโต แต่ก็ไม่อาจดับเพลิงแค้นของแฟนบอลได้ ส่งให้ทุกครั้งที่เขามาเยือนแอนฟิลด์ ก็ยังโดนโห่ใส่เสมอ
แม้ว่าการย้ายข้ามฝั่งของสองทีมเมืองมิลานจะเป็นเรื่องปกติ แต่เพลย์เมคเกอร์ชาวตุรเคีย แต่เดิมก็ไม่ได้นับว่าเป็นคนโปรดของสาวกรอสโซเนลลี่อยู่แล้ว จากฟอร์มการเล่นที่หาความสม่ำเสมอไม่ได้ตลอด 4 ปีที่อยู่กับทีม เมื่อย้ายไปอยู่กับทีมคู่อริร่วมเมือง ก็เปิดช่องให้แฟนบอลโห่ใส่ได้อย่างเต็มที่ตั้งแต่เกมแรกที่โคจรมาเจอกันในซีซั่น 2021/22
ในเกมดังกล่าว คัลฮาโนกลู สามารถเรียกจุดโทษให้กับทีมได้ตั้งแต่นาทีที่ 11 ของการแข่งขัน ก่อนที่จะลุกขึ้นมาสังหารจุดโทษด้วยตัวเอง ท่ามกลางเสียงโห่จากแฟนบอล มิลาน และที่ทำเอาสนามเดือดก็คือการวิ่งไปดีใจของเขาคือการวิ่งไปให้แฟนบอลทีมเก่าตัวเอง พร้อมเอามือป้องหู เป็นการตอบโต้เสียงโห่ พฤติกรรมดังกล่าวไม่ได้ทำให้แค่แฟนบอลเดือดเท่านั้น แต่เดือดไปถึงนักเตะอย่าง อเลสซานโดร ฟลอเรนซี ที่ปรี่จากข้างสนามมาต่อว่าเจ้าตัวถึงการกระทำครั้งนี้
เรื่องราวความร้อนไม่ได้จบในสนาม เพราะหลังจบเกมเจ้าตัวก็ออกมาโพสต์ลูกจุดโทษ พร้อมท่าฉลองประตูดังกล่าวลงโซเชี่ยล แถมยังมีบทสัมภาษณ์เชิดชูทัพงูใหญ่ พร้อมลั่นว่าอยากคว้าแชมป์กับทีมสักครั้ง นอกจากนี้หลังจากปีศาจแดงดำเป็นฝ่ายคว้าแชมป์ไปได้ในซีซั่นล่าสุด ฮาคานก็โดนทัวร์ลงอย่างหนัก แต่ก็ออกมาตอบโต้โดยพุ่งเป้าไปที่ตัวเก๋าของทีมอย่าง ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ว่าไม่ได้มีส่วนร่วมกับแชมป์ แถมแก่เกินแกงไปแล้ว คาดว่าความเดือดคงยังไม่จบลงแค่นี้
ย้อนไปในปี 2018 การดีลสลับขั้วระหว่าง เฮนริค มคิทาร์ยาน ที่ย้ายจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปอาร์เซน่อล และ อเล็กซิส ซานเชสที่ย้ายจาก อาร์เซน่อล มาอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สร้างความฮือฮาให้กับแฟนบอลทั้งสองทีมไม่น้อย โดยเฉพาะดาวเตะชาวชิลี ที่เปิดตัวอลังการด้วยการโซโล่เปียโน่ พร้อมค่าเหนื่อยสูงถึง 560,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ แต่ฝันหวานก็อยู่ได้ไม่นาน เพราะผลงานสวนทางกับค่าเหนื่อยที่ได้รับเหลือเกิน ตลอดเวลา 2 ฤดูกาลกดไป 5 ประตู 9 แอสซิสต์จาก 45 นัดรวมทุกรายการ
สุดท้าย อเล็กซิสเลือกย้ายไปอยู่กับ อินเตอร์ มิลาน แบบยืมตัวพ่วงออปชั่นซื้อขาด ซึ่งหลังจากที่ไปอยู่กับงูใหญ่แบบถาวร แข้งวัย 33 ปีก็ได้ออกมาเปิดเผยถึงการย้ายไปอยู่ในถิ่น โอลด์แทรฟฟอร์ดว่า “ผมได้โอกาสไปเล่นกับ ยูไนเต็ด ทุกสิ่งดูน่าดึงดูดมาก มันเป็นอะไรที่ดีเพราะตอนที่ผมยังเด็ก ผมชอบทีมนี้มาก ผมเซ็นสัญญากับทีมโดยปราศจากข้อมูลใดๆ ซึ่งคุณคงไม่รู้ว่าจะได้เจออะไรบ้างตั้งแต่วันแรกที่ผมมาเจอเพื่อนร่วมทีม”
“ในการซ้อมครั้งแรก ผมได้รับรู้หลายสิ่งหลายอย่าง เมื่อกลับถึงบ้านผมบอกกับเอเย่นต์ของผมว่า เรายกเลิกสัญญากลับไปอยู่กับ อาร์เซนอล ไม่ได้แล้วใช่ไหม พวกเขาเริ่มหัวเราะ ผมบอกพวกเขาว่ามันมีอะไรบางอย่างที่ไม่เหมาะสม แต่เราก็เซ็นสัญญากันไปแล้ว”
เป็นที่รู้กันดีว่าเส้นทางการค้าแข้งของ ซลาตัน เดินทางผ่านบรรดาทีมใหญ่มาโดยตลอด แต่ทีมเดียวที่เจ้าตัวมีปัญหาด้วยมากที่สุดก็คือ บาร์เซโลน่า เนื่องจากตัวเขามีปัญหากับตัวกุนซือในเวลานั้นอย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่ขึ้นชื่อเรื่องความเนี๊ยบถึงขั้นที่ว่าออกกฏห้ามไม่ให้นักเตะคนไหนขับรถหรูมา
ซึ่งกฏดังกล่าวทำให้หัวหอกชาวสวีดิชไม่พอใจอย่างหนักถึงกับบีบให้สโมสรต้องขายออกไปหลังอยู่ได้แค่ฤดูกาลเดียวเท่านั้น ภายหลังเจ้าตัวได้ออกมาเปิดเผยว่า “ผมมีความฝันจะเล่นให้บาร์เซโลน่านะ แต่หลังจากนั้นผมก็คิดว่าบางทีคุณควรเก็บให้มันเป็นความฝันต่อไป แทนที่จะทำให้เป็นจริง”
“ผมมีความรู้สึกว่าการมา บาร์เซโลน่า เหมือนกับได้กลับไปที่อาแจ็กซ์อีกครั้ง เหมือนได้กลับมาที่โรงเรียน ไม่มีเด็กคนไหนที่ทำตัวเหมือนซุปเปอร์สตาร์ ซึ่งแปลกมาก เมสซี่, ชาบี, อิเนียสต้า ทั้งแก๊งเลย พวกเขาเป็นเหมือนเด็กนักเรียน นักฟุตบอลที่เก่งที่สุดในโลกก้มหัวลง และผมไม่เข้าใจเลย มันเป็นเรื่องตลก มันเป็นเรื่องไร้สาระ”
หลังสร้างชื่อกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ต่อด้วยการไปอยู่กับ เอซี มิลาน แม้ว่าจะมีนิสัยสุดเกรียน แต่ลิเวอร์พูล ในเวลานั้นก็อยากลองเสี่ยงดึงหอกชาวอิตาเลี่ยนรายนี้กลับมาบนเวทีพรีเมียร์ลีก แต่ผลงานของเขากลับทำไม่ได้ตามที่คาดหวังเลยสักนิด 28 นัดจากทุกรายการยิงไปแค่ 4 ประตู และถึงจะปล่อยกลับไปที่ทัพปีศาจแดงดำแบบยืมตัว ฟอร์มก็ไม่ได้ดีขึ้นมาเลยสุดท้ายก็ต้องตัดสินใจยกเลิกสัญญาปล่อยฟรีไปให้ นีซในลีกเอิง
แต่หลังจากที่ย้ายออกไป เกรียนโอ้ได้ให้สัมภาษณ์ว่า “มันเป็นความผิดพลาดที่สุดในชีวิตผม นอกจากแฟนบอลที่ยอดเยี่ยม กับบรรดาเพื่อนร่วมทีมที่ดีกับผมแล้ว ผมไม่ชอบสโมสรนี้เลย ผมได้ร่วมงานกับโค้ชสองคน แบรนเดน ร็อดเจอร์ส และ เจอร์เก้น คล็อปป์ พวกเขาไม่ได้ทำให้ผมประทับใจเลย ผมเข้ากับพวกเขาไม่ได้”
นับเป็นหัวหอกที่โดนแซวเรื่องการมีบ้านหลายหลังเหลือเกินหลังจากเพิ่งย้ายกลับมาที่ อินเตอร์ มิลาน เนื่องจากเจ้าตัวบอกว่าการกลับมาที่ทัพงูใหญ่ เหมือนเป็นการได้กลับบ้านอีกครั้ง ทั้งที่เป็นแค่การยืมตัวจาก เชลซี เท่านั้น ซึ่งก่อนหน้านี้ประโยครู้สึกเหมือนได้อยู่บ้าน เคยออกจากปากแข้งรายนี้แล้วหลายรอบด้วยกัน ไม่ว่าจะการไปอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และการกลับมาที่สแตมฟอร์ดบริดจ์ เป็นคำรบสอง
ยังไม่รวมวีรกรรมปากเสียตอนที่กลับมาอยู่กับเชลซีหนล่าสุด เมื่อในช่วงแรกตัวเขาระเบิดฟอร์มแจ่มจนเป็นความหวังของทีม ก่อนฟอร์มจะค่อยๆตกลงไปหลังอาการบาดเจ็บ แถมออมาให้สัมภาษณ์ในเชิงโจมตีแผนการทำทีมของ โะมัส ทูเคิ่ล ที่จับตนเล่นในสไตล์ที่ไม่ถนัด จนเกิดเป็นรอยร้าวกับทีมที่ทั้งผลงานก็ไม่ได้เรื่องแล้วปากยังแซ่บอีกต่างหาก สุดท้ายก็โดนปล่อยกลับมาให้งูใหญ่ยืมตัว ถือเป็นอีกหนึ่งดีลล้มเหลวของสิงห์บลูไปโดยปริยาย
ถ้าพูดถึงการทำตัวแสบสันใส่ทีมเก่าจะขาดนักเตะรายนี้เป็นไม่ได้ กับ เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ ที่ค้าแข้งกับ อาร์เซน่อลมาอย่างยาวนานถึง 3 ปี ในซีซั่น 2009/10 แข้งชาวโตโก ก็โดนปล่อยไปให้กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และการไปอยู่กับเรือใบสีฟ้า ก็ไม่ได้ทำให้เขารอนานกับการกลับมาเจอทีมเก่าอย่างปืนใหญ่ในเกมนัดที่ 5 ของฤดูกาล
เกมวันนั้น ซิตี้ สามารถชนะคู่แข่งไปได้ด้วยสกอร์ 4-2 และหนึ่งในนั้นมาจากฝีเท้าของ อเดบายอร์ ซึ่งนั่นเองที่กลายเป็นจังหวะจำไม่ลืมของแฟนปืน เมื่อเจ้าตัวยิงประตูได้แล้ว มุ่งมั่นวิ่งข้ามจากฝากสนามนึงไปอีกฝากนึง เพื่อไปสไลด์เข่าดีใจสุดเหวี่ยงใส่แฟนบอลทีมเก่า โดยไม่สนว่าจะมีข้าวของระดมปาใส่มากขนาดไหน
หลังจากนั้นเจ้าตัวได้ออกมาเปิดเผยถึงจุดแยกทางระหว่างตนกับอาร์เซน่อลว่า “ผมไปพบกับ อาร์แซน เวนเกอร์ แล้วเขาบอกกับผมว่าผมหมดอนาคตกับทีมแล้ว ผมต้องย้ายออกไป ทั้งที่ผมอยากอยู่แล้วสู้ต่อ แต่เขายืนกรานว่าผมต้องย้าย หรือไม่ก็โดนจับดองไปทั้งฤดูกาล”
เรียกว่าเป็นตำนานดาวยิงเจ้าของรางวัลบัลลงดอร์ที่ไม่มีทีมไหนเอาเพราะปากของตัวเองล้วนๆ โอเว่นเป็นนักเตะจากอคาเดมี่ของ ลิเวอร์พูล เจ้าตัวทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมกลายเป็นขวัญใจของแฟนบอลทันที แต่เมื่อเวลาเดินทางมาถึงปี 2004 เรอัล มาดริด เป็นทีมที่เข้ามาให้ความสนใจในตัวเขา ในขณะที่สัญญาเหลืออีกแค่ปีเดียว ซึ่งสิ่งที่แข้งเลือดผู้ดีเลือกทำคือการบีบให้สโมสรขายเขาออกไปในราคาแสนถูก หรือไม่ก็ต้องเสียเขาไปแบบฟรีๆ
สุดท้าย โอเว่น ก็ได้ออกไปอยู่กับราชันชุดขาวสมใจ แต่อาการบาดเจ็บทำให้เขาอยู่กับทีมได้แค่ปีเดียวก็ถูกเขี่ยทิ้งออกมา โดยในเวลานั้นมีข่าวว่าหงส์แดงจะดึงตัวเขาออกไป แต่จนแล้วจนรอดก็ไปจบที่ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด แทนและออกมากัดลิเวอร์พูลผ่านหนังสือชีวประวัติของตัวเองว่า ทัพหงส์ไม่มีความจริงใจที่จะพาเขากลับไป ทั้งที่ตนอยากกลับไปอยู่กับทีม นี้คือ 1 ดอกที่เจ้าตัวกัดทีมเก่า
หลังการไปอยู่กับ สาลิกาดงเป็นเวลา 4 ปี ผลงานของเขาก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย ก่อนที่เจ้าตัวจะแสดงฝีปากอีกครั้งจากการให้สัมภาษณ์ว่า “นักเตะในทีมฝีเท้าไม่ถึง องค์ประกอบในทีมก็แย่” สุดท้ายก็ปล่อยให้สัญญาหมดไป แถมยังมาทิ้งท้ายกับสิ่งที่เขาเขียนไว้ในหนังสือว่า “นิวคาสเซิ่ล เป็นทีมที่หลงคิดว่าตัวเองเป็นทีมใหญ่ ผมไม่เคยอยากไปที่นั่นเลย ผมอยากกลับลิเวอร์พูล ผมต้องจำใจไปอยู่กับนิวคาสเซิ่ล มันคือการก้าวถอยหลังอย่างแท้จริง” ทำเอาตำนานของทีมอย่าง อลัน เชียร์เรอร์ เดือดเป็นไฟกลายเป็นสงครามน้ำลายระหว่างทั้งคู่
วีรกรรมฝีปากแจ่มยังไม่จบแค่นั้น หลังอำลาสาลิกาดง โอเว่นเลือกย้ายไปอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คู่อริของทีมที่ปลุกปั้นเขามาโดยตรง พร้อมบทสัมภาษณ์สุดแสบว่า “ผมภูมิใจที่ได้ย้ายมาอยู่กับทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศ และหวังจะคว้าแชมป์ลีกร่วมกับทีม” และแม้จะได้สมหวังกับการคว้าแชมป์แดนผู้ดี รวมถึงได้ชื่อว่าเป็นแข้งหมายเลข 7 แต่ก็ไม่ได้ถูกจดจำอะไรมากไปกว่าเครื่องมือไว้ล้อเลียนทัพหงส์แดงเท่านั้น ความปากแจ๋วของเขาจนทุกวันนี้มันก็ยังไม่จบไม่สิ้น จนไม่มีสโมสรไหนเห็นหัว แม้แต่ทีมสุดท้ายอย่าง สโต๊ค ซิตี้
อีกหนึ่งตำนานลูกหนังไทย ที่แจ้งเกิดมากับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และมีส่วนช่วยทีมกวาดความสำเร็จเป็นแชมป์ไทยลีกมากมาย แต่มาจนถึงปี 2016 แข้งชาวไทยเกิดมีปัญหากับทางบอร์ดบริหารจนโดนปล่อยตัวไปให้กับคู่แข่งร่วมลีกอย่าง เมืองทอง ยูไนเต็ด และใช้เวลาไม่นานในการกลับมาเจอกับทีมเก่าบนเวทีไทยลีก
โดยในเกมดังกล่าว ฝั่งกิเลนผยองเป็นฝ่ายเฉือนเอาชนะไปได้ด้วยสกอร์ 3-2 แต่ประเด็นไม่ได้อยู่ในสนามแต่เป็นหลังจบเกมที่ โก๋อุ้ม เดินมาพูดกับกล้องว่า ‘สะใจครับ คำเดียว สะใจ’ ทำเอาเป็นประเด็นร้อนจัดในช่วงนั้น ก่อนที่ภายหลังจะได้มีการขอโทษขอโพยกันออกมา และในปัจจุบันเจ้าตัวก็ได้ย้ายกลับมาอยู่กับ ปราสาทสายฟ้าเป็นหนที่สอง หลังไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์มาจากเวทีเจลีก